เปิดงานมาสัปดาห์แรกนี้ ผมเจอกับงานช้างที่สุดท้าทายเข้าอย่างจังและด้วยความที่ต้องการคำตอบอย่างเร่งด่วน ทำให้ผมต้องรีดเร้นกำลังความสามารถที่มีอยู่น้อยนิดออกมาให้ถึงขีดสุด ... จนทำให้ผมนึกถึงคำคมบทหนึ่งขึ้นมา ซึ่งเป็นคำคมของยอดกุนซือในสามก๊กนามว่า
สุมาอี้ ที่ท่านกล่าวไว้ว่า...
"เลี้ยงทหารพันวัน เพื่อใช้ในสงครามวันเดียว" ที่ท่านกล่าวถึงการได้ชุบเลี้ยงทหารจ่ายเบี้ยหวัดให้แก่ทหารนานนับพันวัน เพื่อให้ในการศึกสงครามเพียงแค่ชั่วครู่ยาม ... แต่ในบทนี้คงไม่เกี่ยวกับเรื่องทางการทหาร เพราะในบทนี้ผมจะขอเปรียบเปรยคำคมดังกล่าวมาเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับ
“ความรู้” และ
“ประสบการณ์” ที่ผมสะสมมานานเพื่อที่จะใช้งานมันในวันนี้
ความรู้
ความรู้ในห้องเรียน ... กว่าจะเข้าสู่โลกของการทำงาน ถ้าเรียนจนถึงปริญญาตรีเราต้องอยู่ในระบบการศึกษาอย่างน้อยๆ 19 ปี (อนุบาล 3 ปี ประถม 6 ปี มัธยม 6 ปี มหาวิทยาลัย 4 ปี)ความรู้ในห้องเรียน เปรียบประหนึ่งการเพาะเลี้ยงความรู้ที่ยาวนานทดสอบแล้วทดสอบเล่าอ่านแล้วอ่านอีกนานนับสิบๆปี เราเรียนรู้สิ่งเหล่านี้เพื่อคาดหวังว่าจะนำความรู้เหล่านี้ไปประกอบอาชีพในอนาคต
ความรู้นอกห้องเรียน … ก็เป็นสิ่งสำคัญ ความรู้ที่ได้จากงานอดิเรกต่างๆ กิจกรรมยามว่างต่างๆ เช่น การอ่านหนังสือหนึ่งเล่มย่อมได้ความรู้กลับมาไม่มากก็น้อย อ่านหลายๆเล่มเข้าความรู้ก็จะพอกพูนขึ้นตามจำนวนเล่มที่อ่าน การท่องเที่ยวในแต่ละครั้งเรามักจะได้ความรู้เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากการเดินทางเสมอๆ
ในสมัยเรียนความรู้เหล่านี้โดยมากจะเป็นเอกเทศต่อกัน ความรู้จะไม่ได้ปะติดปะต่อมากนัก รู้เรื่องนี้บ้างเรื่องนั้นบ้าง สิ่งนั้นรู้ลึกสิ่งนี่รู้น้อยปะปนกันไป ... เราเพาะเลี้ยงองค์ความรู้ซุ่มซ้อมรบจนเจนสนามซ้อมมากว่า 19 ปี เพื่อทำสงครามในโลกของการทำงาน ... แต่ในโลกของการทำงานมันกลับกว้างใหญ่กว่าสิ่งที่เรียนมามากมายนัก เพราะ ในแต่ละสงครามแต่ละสนามรบก็ย่อมมีสมรภูมิที่ผิดแผกแตกต่างกัน เราอาจจะไม่รู้หรอกว่าเราจะเจอเข้ากับสมรภูมิรนแบบไหน หรือ การทำงานแบบใด ... ถ้าเราคาดการณ์อนาคตไม่ได้ว่าจะเป็นเช่นไร เมื่อถึงสงครามมาเยือน กองทัพใดเพาะบ่มกองกำลังได้เข้มแข็งกว่าพรักพร้อมกว่า กองกำลังนั้นกันย่อมได้เปรียบในสนามรบ หรือ ใครก็ตามที่มีความรู้ที่มากกว่าลุ่มลึกกว่า กว้างขวางครอบคลุมกว่าย่อมมีแต้มต่อในการทำงาน

(อ้างอิง และ เพิ่มเติมแหล่งที่มาภาพครับ ของ Hugh MacLeod
http://gapingvoid.com/infographic/
ขอบคุณคุณ สมาชิกหมายเลข 738367 มากๆครับ ...)
ตัวผมเองเรียนจบมาทางสายวิศวกรรมศาสตร์ แต่งานแรกที่ทำคือ
“พนักงานขาย” ขายของ ออกหาลูกค้า ปิดการขาย ... ผมโยงความรู้ทางวิศวกรรมบางส่วนที่ร่ำเรียนมากผนวกเข้ากับความรู้นอกห้องเรียนที่ได้จาการอ่านหนังสือ(หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ค)ในแขนงต่างๆเพื่อขายสินค้าเหล่านั้น ... ต่อมาได้กลายเป็นคน
“ชอบทำธุรกิจ” และ
“หลงใหลการลงทุน” ไปเสียอย่างนั้น ... จึงสนใจไปเรียน ป.โท บริหาร ควบคู่กับการทำงาน และ นำความรู้ชุดใหม่นี้เข้ามาผสมกับความรู้เดิมที่มีมาร้อยเรียงจัดกระบวนทัพ เพื่อเข้าสู่สนามรบแห่งโลกธุรกิจ
เมื่อถึงเวลา หรือ เมื่อก้าวเข้าสู่โลกแห่งการทำงาน ความรู้ต่างๆนาๆที่สั่งสมมาจะถูกหยิบโยงเข้าหากัน และเมื่อเวลาผ่านจะก่อให้เกิดประสบการณ์ … องค์ความรู้ที่ดียิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสจะสร้างประสบการณ์ที่แข็งแกร่งได้มาเท่านั้น
ประสบการณ์
เวลาที่ผ่านไปจะทำให้ความรู้และประสบการณ์ชีวิตของเราเพิ่มพูน ประสบการณ์ในอดีตจะมีค่ามากในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจอย่างขับขันเร่งด่วนจำเป็น ยิ่งความรู้ที่สะสมมาดีนั้นก้อนโตมีคุณภาพมากเท่าไหร่ ก้อนประสบการณ์ก็จะแข็งแกร่งและเหนียวแน่นมากขึ้นเท่านั้น
ขอยกตัวอย่างกรณีนี้ ด้วยสนามรบทางธุรกิจที่ผมเกริ่นไว้ต้นเรื่อง …
เมื่อวานพี่สาวผมโทรมาหาขอคำปรึกษา ว่า …
มีตึกปล่อยให้เช่าในทำเลน่าสนใจ ราคาน่าคบหา พอมีทุนรอน แต่ไม่รู้จะทำอะไรดี? และ เจ้าของตึกต้องการคำตอบใน 24 ชั่วโมง!!! ... ยอมรับว่าโจทย์ยาก งานนี้ไม่หมู ยิ่งด้วยระยะเวลาที่กระชั้นชิดแบบหายใจลดต้นคอแบบนี้ ยิ่งตัดสินใจได้ลำบาก มีความเสี่ยงที่จะตัดสินใจผิดพลาด จังหวะนี้จึงต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ
จุดเด่นของผมนอกจากการที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือสะสมความรู้แล้ว ผมยังมีจุดเด่นอีกจุดหนึ่งของผมคือผมชอบสะสมความรู้ด้วยการ
“หาเรื่องใส่ตัว” เช่น อยู่ดีๆ เดินเล่นอยู่ในตลาดก็ชอบคิดว่า ตลาดนี้ยังไม่มีอะไรมาขาย ถ้าเป็นเรา เราจะขายอะไร ... บ่อยครั้งที่ได้ยินว่าร้านนั้นร้านนี้ปิดตัวลง ก็ชอบไปหาเรื่องมาใส่ตัวชอบเก็บเรื่องราวไปคิดวิเคราะห์ว่าทำไมถึงปิดแล้วทดไว้ในใจ ... ผมทำอย่างนี้เรื่อยมาจน ข้อมูลเหล่านี้มันเก็บๆทบๆไว้ในสมอง หลายวันเข้าหลายวันเข้า
คลังข้อมูลความรู้ที่เก็บสะสมมานานหลายพันวัน ... จากความจำ จากการจดบันทึก ทั้งจากโจทย์จำลองที่เคยคิดวิเคราะห์ในเรื่องที่สมมติขึ้น เมื่อนำข้อมูลความรู้เหล่านี้มาร้อยเรียงเป็นแผ่นประสบการณ์ เพื่อเตรียมพร้อมและรอว่าวันหนึ่งผู้เป็นนายหยิบยกขึ้นมาใช้ . . . . . . . และ มันก็คือวันนี้!!!
ผมมองเห็นช่องทางและความเป็นไปได้ในธุรกิจบางชนิด ... ผมโทรหาพี่สาวและนำเสนอแนวคิดทางธุรกิจที่ผมมองเห็นช่อง เธอเห็นด้วยที่จะทำและเห็นพ้องตามนั้น
ในอนาคตเราไม่รู้หรอกครับว่าเราจะเจอกับงานอะไร? หนักหนาแค่ไหน? หรือ เราจะต้องเข้าสู่สนามรบแบบใด? ... แต่จงเชื่อเถอะครับว่า ชัยชนะจะเป็นของคนที่พร้อมกว่าเสมอ ดังนั้น จงอย่าหน่ายที่จะเรียนรู้ อย่าเกียจคร้านที่จะร่ำเรียน และ ขอจงเรียนรู้อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสร้างองค์ความรู้ที่มีคุณค่าและประสบการณ์ที่ดี เพราะ สิ่งเหล่านี้จะเป็นแต้มต่อที่จะช่วยให้เราได้รับชัยชนะเมื่อถึงคราวที่สงครามมาเยือน ...
…[^_^]…
เพาะบ่ม “ความรู้” และ “ประสบการณ์” มานานนับสิบปี ... เพื่อใช้งานในวันนี้
ความรู้
ความรู้ในห้องเรียน ... กว่าจะเข้าสู่โลกของการทำงาน ถ้าเรียนจนถึงปริญญาตรีเราต้องอยู่ในระบบการศึกษาอย่างน้อยๆ 19 ปี (อนุบาล 3 ปี ประถม 6 ปี มัธยม 6 ปี มหาวิทยาลัย 4 ปี)ความรู้ในห้องเรียน เปรียบประหนึ่งการเพาะเลี้ยงความรู้ที่ยาวนานทดสอบแล้วทดสอบเล่าอ่านแล้วอ่านอีกนานนับสิบๆปี เราเรียนรู้สิ่งเหล่านี้เพื่อคาดหวังว่าจะนำความรู้เหล่านี้ไปประกอบอาชีพในอนาคต
ความรู้นอกห้องเรียน … ก็เป็นสิ่งสำคัญ ความรู้ที่ได้จากงานอดิเรกต่างๆ กิจกรรมยามว่างต่างๆ เช่น การอ่านหนังสือหนึ่งเล่มย่อมได้ความรู้กลับมาไม่มากก็น้อย อ่านหลายๆเล่มเข้าความรู้ก็จะพอกพูนขึ้นตามจำนวนเล่มที่อ่าน การท่องเที่ยวในแต่ละครั้งเรามักจะได้ความรู้เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากการเดินทางเสมอๆ
ในสมัยเรียนความรู้เหล่านี้โดยมากจะเป็นเอกเทศต่อกัน ความรู้จะไม่ได้ปะติดปะต่อมากนัก รู้เรื่องนี้บ้างเรื่องนั้นบ้าง สิ่งนั้นรู้ลึกสิ่งนี่รู้น้อยปะปนกันไป ... เราเพาะเลี้ยงองค์ความรู้ซุ่มซ้อมรบจนเจนสนามซ้อมมากว่า 19 ปี เพื่อทำสงครามในโลกของการทำงาน ... แต่ในโลกของการทำงานมันกลับกว้างใหญ่กว่าสิ่งที่เรียนมามากมายนัก เพราะ ในแต่ละสงครามแต่ละสนามรบก็ย่อมมีสมรภูมิที่ผิดแผกแตกต่างกัน เราอาจจะไม่รู้หรอกว่าเราจะเจอเข้ากับสมรภูมิรนแบบไหน หรือ การทำงานแบบใด ... ถ้าเราคาดการณ์อนาคตไม่ได้ว่าจะเป็นเช่นไร เมื่อถึงสงครามมาเยือน กองทัพใดเพาะบ่มกองกำลังได้เข้มแข็งกว่าพรักพร้อมกว่า กองกำลังนั้นกันย่อมได้เปรียบในสนามรบ หรือ ใครก็ตามที่มีความรู้ที่มากกว่าลุ่มลึกกว่า กว้างขวางครอบคลุมกว่าย่อมมีแต้มต่อในการทำงาน
(อ้างอิง และ เพิ่มเติมแหล่งที่มาภาพครับ ของ Hugh MacLeod http://gapingvoid.com/infographic/
ขอบคุณคุณ สมาชิกหมายเลข 738367 มากๆครับ ...)
ตัวผมเองเรียนจบมาทางสายวิศวกรรมศาสตร์ แต่งานแรกที่ทำคือ “พนักงานขาย” ขายของ ออกหาลูกค้า ปิดการขาย ... ผมโยงความรู้ทางวิศวกรรมบางส่วนที่ร่ำเรียนมากผนวกเข้ากับความรู้นอกห้องเรียนที่ได้จาการอ่านหนังสือ(หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ค)ในแขนงต่างๆเพื่อขายสินค้าเหล่านั้น ... ต่อมาได้กลายเป็นคน “ชอบทำธุรกิจ” และ “หลงใหลการลงทุน” ไปเสียอย่างนั้น ... จึงสนใจไปเรียน ป.โท บริหาร ควบคู่กับการทำงาน และ นำความรู้ชุดใหม่นี้เข้ามาผสมกับความรู้เดิมที่มีมาร้อยเรียงจัดกระบวนทัพ เพื่อเข้าสู่สนามรบแห่งโลกธุรกิจ
เมื่อถึงเวลา หรือ เมื่อก้าวเข้าสู่โลกแห่งการทำงาน ความรู้ต่างๆนาๆที่สั่งสมมาจะถูกหยิบโยงเข้าหากัน และเมื่อเวลาผ่านจะก่อให้เกิดประสบการณ์ … องค์ความรู้ที่ดียิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสจะสร้างประสบการณ์ที่แข็งแกร่งได้มาเท่านั้น
ประสบการณ์
เวลาที่ผ่านไปจะทำให้ความรู้และประสบการณ์ชีวิตของเราเพิ่มพูน ประสบการณ์ในอดีตจะมีค่ามากในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจอย่างขับขันเร่งด่วนจำเป็น ยิ่งความรู้ที่สะสมมาดีนั้นก้อนโตมีคุณภาพมากเท่าไหร่ ก้อนประสบการณ์ก็จะแข็งแกร่งและเหนียวแน่นมากขึ้นเท่านั้น
ขอยกตัวอย่างกรณีนี้ ด้วยสนามรบทางธุรกิจที่ผมเกริ่นไว้ต้นเรื่อง …
เมื่อวานพี่สาวผมโทรมาหาขอคำปรึกษา ว่า … มีตึกปล่อยให้เช่าในทำเลน่าสนใจ ราคาน่าคบหา พอมีทุนรอน แต่ไม่รู้จะทำอะไรดี? และ เจ้าของตึกต้องการคำตอบใน 24 ชั่วโมง!!! ... ยอมรับว่าโจทย์ยาก งานนี้ไม่หมู ยิ่งด้วยระยะเวลาที่กระชั้นชิดแบบหายใจลดต้นคอแบบนี้ ยิ่งตัดสินใจได้ลำบาก มีความเสี่ยงที่จะตัดสินใจผิดพลาด จังหวะนี้จึงต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ
จุดเด่นของผมนอกจากการที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือสะสมความรู้แล้ว ผมยังมีจุดเด่นอีกจุดหนึ่งของผมคือผมชอบสะสมความรู้ด้วยการ “หาเรื่องใส่ตัว” เช่น อยู่ดีๆ เดินเล่นอยู่ในตลาดก็ชอบคิดว่า ตลาดนี้ยังไม่มีอะไรมาขาย ถ้าเป็นเรา เราจะขายอะไร ... บ่อยครั้งที่ได้ยินว่าร้านนั้นร้านนี้ปิดตัวลง ก็ชอบไปหาเรื่องมาใส่ตัวชอบเก็บเรื่องราวไปคิดวิเคราะห์ว่าทำไมถึงปิดแล้วทดไว้ในใจ ... ผมทำอย่างนี้เรื่อยมาจน ข้อมูลเหล่านี้มันเก็บๆทบๆไว้ในสมอง หลายวันเข้าหลายวันเข้า
คลังข้อมูลความรู้ที่เก็บสะสมมานานหลายพันวัน ... จากความจำ จากการจดบันทึก ทั้งจากโจทย์จำลองที่เคยคิดวิเคราะห์ในเรื่องที่สมมติขึ้น เมื่อนำข้อมูลความรู้เหล่านี้มาร้อยเรียงเป็นแผ่นประสบการณ์ เพื่อเตรียมพร้อมและรอว่าวันหนึ่งผู้เป็นนายหยิบยกขึ้นมาใช้ . . . . . . . และ มันก็คือวันนี้!!!
ผมมองเห็นช่องทางและความเป็นไปได้ในธุรกิจบางชนิด ... ผมโทรหาพี่สาวและนำเสนอแนวคิดทางธุรกิจที่ผมมองเห็นช่อง เธอเห็นด้วยที่จะทำและเห็นพ้องตามนั้น
ในอนาคตเราไม่รู้หรอกครับว่าเราจะเจอกับงานอะไร? หนักหนาแค่ไหน? หรือ เราจะต้องเข้าสู่สนามรบแบบใด? ... แต่จงเชื่อเถอะครับว่า ชัยชนะจะเป็นของคนที่พร้อมกว่าเสมอ ดังนั้น จงอย่าหน่ายที่จะเรียนรู้ อย่าเกียจคร้านที่จะร่ำเรียน และ ขอจงเรียนรู้อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสร้างองค์ความรู้ที่มีคุณค่าและประสบการณ์ที่ดี เพราะ สิ่งเหล่านี้จะเป็นแต้มต่อที่จะช่วยให้เราได้รับชัยชนะเมื่อถึงคราวที่สงครามมาเยือน ...
…[^_^]…