ไม่ใช่แค่คุณที่เบื่องานประจำ แต่ลูกจ้างแทบทุกคนบนโลกนี้เบื่องานประจำและอยากจะลาออกไปให้พ้นจากวงจรหาเช้ากินค่ำที่ฝรั่งเรียกว่า 9-to-5 ไปไล่ล่าฝันและทำในสิ่งที่รัก ในขณะเดียวกันก็มีรายได้มากกว่างานประจำ แต่ปัญหาคือ คุณจะไปทำอะไร? และปัญหาที่หนักกว่าคือ จะหาเงินที่ไหนไปลงทุน?
2 ปัญหาที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนลาออกจากงานประจำไม่ได้
มนุษย์เงินเดือนจะมีสองโจทย์ที่วนเวียนอยู่ในหัวคือ ฉันจะไปทำอะไร และ ฉันจะหาเงินที่ไหนไปลงทุน
โจทย์ข้อที่ว่า ฉันจะไปทำอะไร:
ข้อนี้เกิดจากการที่คุณทำงานในตำแหน่งเดิมซ้ำๆ ย้ำๆ มาเป็น 5 ปี 10 ปี ทำให้คุณมีความรู้ในงานนั้นๆเพียงอย่างเดียว อาจจะเป็น บัญชี หรือ อาจจะเป็น ไอที แต่พอคิดถึงเรื่องจะทำธุรกิจส่วนตัวคุณจะเกิดความกลัวว่า ฉันหาลูกค้าไม่เป็น, ฉันทำการตลาดไม่เป็น, ฉันใช้ Social media ไม่เป็น, ฉันทำเว็บไซต์ไม่เป็น ฯลฯ ไม่เป็นๆๆ
นี่คือปัญหาที่ผมได้ยินบ่อยที่สุด
“ฉันไม่รู้จะไปทำอะไร เพราะฉันทำอะไรไม่เป็น” อาการแบบนี้น่าเป็นห่วงครับ เพราะมันจะทำให้คุณต้องเป็นลูกจ้างต่อไปจนเกษียณและเกษียณแล้วคุณก็ยังทำอะไรไม่เป็นอยู่ดี… ถ้าคุณไม่เริ่มคิดและหาทางเรียนรู้เดี๋ยวนี้!
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งทำงานประจำมานานมากและวางแผนจะลาออกจากงานไปเปิดร้านขายของที่ตลาดนัดจตุจักร เขาลงทุนค่าเซ้งร้านไปแสนกว่าบาท ซื้อสต็อกสินค้ามาอีกแสนกว่าบาท ปรากฏว่าพอสิ้นปี เพื่อนร่วมงานลาออก คนไม่พอ ตัวเองถูกรับงานควบสองตำแหน่ง ทำให้ต้องอยู่ทำงานต่อโดยลาออกไม่ได้ เขาบอกว่าถูกยึดค่าเซ้งร้านไปเลย เอาคืนไม่ได้ ผมจึงบอกกับเขาว่ายุคนี้มันยุคอินเตอร์เน็ตคุณไม่ต้องไปเปิดหน้าร้านแล้ว ทำเว็บไซต์ลงทุนหลักหมื่นเท่านั้นแล้วเอาสินค้าโชว์ขึ้นเว็บไปเลย คำตอบสั้นๆที่เขาพูดกลับมาคือ “ทำไม่เป็น” แล้วเขาก็เที่ยวเอาสินค้าไปเดินขายคนในออฟฟิศ และเป็นลูกจ้างต่อไป
โจทย์ข้อที่ว่า ฉันจะหาเงินที่ไหนไปลงทุน:
ข้อนี้เกิดจากหนี้ครับ สั้นๆเลยหนี้ คนเราทุกวันนี้เป็นหนี้ก้อนใหญ่ๆอย่างบ้านและรถกันเยอะมาก หนี้สองอย่างนี้รวมกันเป็นล้าน ภาระการผ่อนต่อเดินนั้นบางคนเกินครึ่งของเงินเดือน พอเป็นหนี้ก้อนใหญ่ผูกกันเยอะๆ จะกู้เงินไปทำธุรกิจก็กระอักกระอ่วนใจเพราะ ข้อ
1) มันเพิ่มภาระหนี้ และ ข้อ
2) เกิดเจ๊งขึ้นมาคงได้ตายกันคราวนี้
Knowledge is Money: ความรู้คือเงิน
วลีเก่าแก่ ความรู้คืออำนาจ นี่เรื่องจริง จากประสบการณ์ของผมแปลออกมาเป็นอีกมุมมองคือ ความรู้นั้นคือเงิน ความรู้หาเงินได้ เมื่อมีเงินคุณจะรู้สึกมีอิสรภาพมากขึ้น
งานประจำที่ทำให้คุณมีเงินเดือนใช้ทุกเดือนๆก็มาจากความรู้ เป็นการขายความรู้บวกแรงให้กับนายจ้างเพียงคนเดียว หรือ One source of income แต่ในขณะเดียวกันถ้าคุณลองคิดต่อยอด คุณสามารถขายความรู้นั้นออกไปในวงกว้าง กล่าวคือไม่ได้ขายให้นายจ้างเพียงคนเดียว แต่ขายให้ Private sector อื่นๆได้อีกด้วย… ทำอย่างไร? มี 2 วิธี ได้แก่
1) ขายความรู้ในรูปของ Service และ
2) ผลิตความรู้ออกมาในรูปของ Information product
ขายความรู้ในรูปของ Service
งานที่คุณทำอยู่จนเกิดเป็นความรู้ความชำนาญสามารถต่อยอดออกไปรับงานบริการอะไรได้บ้าง อาทิ
1 บัญชี: รับจ้างทำบัญชี ปรึกษาด้านบัญชี
2 ไอที: เก่งโปรแกรม เก่งเขียน Application รับจ้างเขียน Application
3 การตลาด: รับปรึกษาด้านการตลาด หรือ บริการ Organizer งานเล็กๆ
4 นำเข้าส่งออก: รับปรึกษาการนำเข้าส่งออก การเคลียร์สินค้า งานศุลกากร และระเบียบการนำเข้า
คุณลองมองเข้าไปในตัวเองว่าที่ผ่านมาคุณทำงานมามากมายจนเชี่ยวชาญอะไรแค่ไหน หรือมันต่อยอดแตกสาขาไปสู่การให้บริการอะไรได้บ้าง งาน Professional service เหล่านี้ทำในรูปของ Freelance รับจ้างเป็นคนๆ แต่ค่าจ้างของงาน Freelance ในสาขาเฉพาะทางมีค่าตอบแทนสูงกว่างานประจำประมาณ 5-10 เท่าตัวหากคิดเป็นรายชั่วโมง
ยกตัวอย่าง ผมทำงานที่ต้องใช้ภาษา และผมก็มีการรับงานแปลอิสระนอกเวลางาน ผมมีรายได้จากการแปลประมาณชั่วโมงละ 25-30 เหรียญหรือชั่วโมงละ 825-990 บาทโดยประมาณ ในขณะที่งานประจำของผมนั้นตกชั่วโมงละร้อยกว่าบาท
ขายความรู้ในรูปของ Information Product
Information product คือ ผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อหาเป็นจุดขาย สินค้าอยู่ในรูปของ หนังสือ, อีบุ๊ค, คลิปเสียง คลิปวิดีโอ, ไปจนถึง คอร์สสอนสด
Information product เป็นการรวบรวมองค์ความรู้และข้อมูลเฉพาะทางมาบรรจุเป็นชุดในรูปแบบที่ผมยกตัวอย่างไว้ข้างบนเพื่อขาย โดยกลุ่มลูกค้าคือผู้ที่ต้องการนำความรู้ไปใช้งานอาทิ เพื่อการเรียน, เพื่อการพัฒนาสายงาน, เพื่อการประกอบธุรกิจ เป็นต้น ดังนั้น Information product เป็นสินค้าทีฝรั่งเรียกว่า Scalable หรือ ขยายตัวได้ และขยายตัวได้ดีกว่างาน Service เพราะคุณผลิตตัวสินค้าขึ้นมาหนึ่งไอเทมและขายออกไปยังผู้คนหลายร้อยคนในคราวเดียว หรือถ้าคุณเป็นผู้จัดคอร์สอบรม คุณก็รับสอนคนคราวละ 10-50 คนซึ่งอาจสร้างรายได้ให้คุณสูงถึงคอร์สละ 2-3 หมื่น ถึงหลัก 100,000 บาทในวันเดียว
ตัวอย่างของบุคคลที่ใช้ความรู้จากงานประจำต่อยอดสู่การเป็นนายตัวเอง
Pat Flynn:
คนแรกนั้นไม่กล่าวถึงไม่ได้เลย Pat Flynn ไอดอลผมเอง Pat Flynn เป็นอดีตสถาปนิกที่บันทึกความรู้จากการศึกษาวิชา LEED, หรือ Leadership in Energy & Environmental Design ลงในบล็อกของเขา การจดบันทึกเนื้อหาลงบล็อกทำให้ข้อมูลเหล่านั้นติด Google search engine และดึงดูดผู้คนจากทั่วสารทิศให้มาเยี่ยมชมและอ่านเอาความรู้จากบล็อกเป็นจำนวนมาก และในที่สุดเมื่อเขารวบรวมข้อมูลทั้งหมดบนบล็อกมาทำเป็นอีบุ๊ค ภายในเดือนแรกที่เปิดตัวเขาสามารถขายอีบุ๊คได้ถึง 7,126.91 เหรียญหรือกว่า 2 แสนบาท และจากปี 2008 ถึง 2013 ผ่านมา 5 ปีเขามียอดขายจากอีบุ๊คในซีรี่ LEED สะสมมากว่า 10 ล้านบาท
Brian Tracy:
คนนี้เป็นทั้ง นักเขียน, โค๊ช, และนักพูด มีผลงานมากมายในปัจจุบัน จากจุดเริ่มต้นของคนจนที่ต้องการสร้างเนื้อสร้างตัว เขาศึกษาหาความรู้อย่างหนักและพัฒนาเส้นทางอาชีพของตัวเองอย่างขยันขันแข็ง โดยสาขาอาชีพที่สร้างรายได้ให้เขามาที่สุดคือ Sales executive และนั่นทำให้เขากลายเป็น Sales expert และออกสอนผู้คนในการเป็น Sales ในเวลาต่อมา และตามมาด้วยหลักสูตรการสอนให้คน คิดบวก พัฒนาตัวเอง การสร้างเป้าหมาย ฯลฯ อีกมากมาย
Natalie Sisson:
เป็นอดีต Brand and Marketing Manager ให้บริษัทใหญ่โตแต่ทำงานไปนานๆรู้สึกว่าชีวิตไม่ Full fill จึงลาออกมาเป็น Consult ด้านการตลาด (ใช้ความรู้จากงานประจำมารับงาน Service) ช่วงนั้นเองที่ทำให้เธอได้เรียนรู้ Entrepreneurship และ Internet marketing มากมายก่ายกอง ซึ่งไม่เคยได้เรียนรู้เลยในสมัยทำงานประจำ และได้นำความรู้ด้าน Entrepreneurship และ Internet marketing มาสอนผู้คนผ่านเว็บไซต์
SuitCaseEntrepreneur.com และมีรายได้จากการเป็น โค๊ชธุรกิจ และ การขาย Information product
อย่าหยุดมองหาโอกาสจากงานประจำที่คุณทำอยู่
ผมอยากบอกคุณว่าอย่าหยุดหาช่องทางและโอกาสในการผลักดันตัวเองไปสู่อิสรภาพทางการงานจากงานประจำที่คุณทำอยู่ ตื่นไปไปทำงานอย่างมีเจตนารมณ์ที่จะเป็นนายตัวเอง ความคิดนี้จะช่วยให้คุณสนใจที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบๆตัวคุณในที่ทำงานมากขึ้นเพราะคุณรู้ว่าความรู้เหล่านี้จะต่อยอดคุณได้
สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้คุณเป็นนายตัวเองได้ไม่ใช่เงิน เงินเป็นรองสมองเป็นเอก ถ้าคุณมีสมอง มีปัญญา มีความรู้ คุณจะใช้มันหาเงินให้คุณจนได้ครับ
Source:
http://www.epicwriterr.com/from-employed-to-entrepreneur/
วิธีใช้งานประจำเป็นรากฐานไปสู่การเป็นนายตัวเอง
2 ปัญหาที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนลาออกจากงานประจำไม่ได้
มนุษย์เงินเดือนจะมีสองโจทย์ที่วนเวียนอยู่ในหัวคือ ฉันจะไปทำอะไร และ ฉันจะหาเงินที่ไหนไปลงทุน
โจทย์ข้อที่ว่า ฉันจะไปทำอะไร:
ข้อนี้เกิดจากการที่คุณทำงานในตำแหน่งเดิมซ้ำๆ ย้ำๆ มาเป็น 5 ปี 10 ปี ทำให้คุณมีความรู้ในงานนั้นๆเพียงอย่างเดียว อาจจะเป็น บัญชี หรือ อาจจะเป็น ไอที แต่พอคิดถึงเรื่องจะทำธุรกิจส่วนตัวคุณจะเกิดความกลัวว่า ฉันหาลูกค้าไม่เป็น, ฉันทำการตลาดไม่เป็น, ฉันใช้ Social media ไม่เป็น, ฉันทำเว็บไซต์ไม่เป็น ฯลฯ ไม่เป็นๆๆ
นี่คือปัญหาที่ผมได้ยินบ่อยที่สุด “ฉันไม่รู้จะไปทำอะไร เพราะฉันทำอะไรไม่เป็น” อาการแบบนี้น่าเป็นห่วงครับ เพราะมันจะทำให้คุณต้องเป็นลูกจ้างต่อไปจนเกษียณและเกษียณแล้วคุณก็ยังทำอะไรไม่เป็นอยู่ดี… ถ้าคุณไม่เริ่มคิดและหาทางเรียนรู้เดี๋ยวนี้!
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งทำงานประจำมานานมากและวางแผนจะลาออกจากงานไปเปิดร้านขายของที่ตลาดนัดจตุจักร เขาลงทุนค่าเซ้งร้านไปแสนกว่าบาท ซื้อสต็อกสินค้ามาอีกแสนกว่าบาท ปรากฏว่าพอสิ้นปี เพื่อนร่วมงานลาออก คนไม่พอ ตัวเองถูกรับงานควบสองตำแหน่ง ทำให้ต้องอยู่ทำงานต่อโดยลาออกไม่ได้ เขาบอกว่าถูกยึดค่าเซ้งร้านไปเลย เอาคืนไม่ได้ ผมจึงบอกกับเขาว่ายุคนี้มันยุคอินเตอร์เน็ตคุณไม่ต้องไปเปิดหน้าร้านแล้ว ทำเว็บไซต์ลงทุนหลักหมื่นเท่านั้นแล้วเอาสินค้าโชว์ขึ้นเว็บไปเลย คำตอบสั้นๆที่เขาพูดกลับมาคือ “ทำไม่เป็น” แล้วเขาก็เที่ยวเอาสินค้าไปเดินขายคนในออฟฟิศ และเป็นลูกจ้างต่อไป
โจทย์ข้อที่ว่า ฉันจะหาเงินที่ไหนไปลงทุน:
ข้อนี้เกิดจากหนี้ครับ สั้นๆเลยหนี้ คนเราทุกวันนี้เป็นหนี้ก้อนใหญ่ๆอย่างบ้านและรถกันเยอะมาก หนี้สองอย่างนี้รวมกันเป็นล้าน ภาระการผ่อนต่อเดินนั้นบางคนเกินครึ่งของเงินเดือน พอเป็นหนี้ก้อนใหญ่ผูกกันเยอะๆ จะกู้เงินไปทำธุรกิจก็กระอักกระอ่วนใจเพราะ ข้อ 1) มันเพิ่มภาระหนี้ และ ข้อ 2) เกิดเจ๊งขึ้นมาคงได้ตายกันคราวนี้
Knowledge is Money: ความรู้คือเงิน
วลีเก่าแก่ ความรู้คืออำนาจ นี่เรื่องจริง จากประสบการณ์ของผมแปลออกมาเป็นอีกมุมมองคือ ความรู้นั้นคือเงิน ความรู้หาเงินได้ เมื่อมีเงินคุณจะรู้สึกมีอิสรภาพมากขึ้น
งานประจำที่ทำให้คุณมีเงินเดือนใช้ทุกเดือนๆก็มาจากความรู้ เป็นการขายความรู้บวกแรงให้กับนายจ้างเพียงคนเดียว หรือ One source of income แต่ในขณะเดียวกันถ้าคุณลองคิดต่อยอด คุณสามารถขายความรู้นั้นออกไปในวงกว้าง กล่าวคือไม่ได้ขายให้นายจ้างเพียงคนเดียว แต่ขายให้ Private sector อื่นๆได้อีกด้วย… ทำอย่างไร? มี 2 วิธี ได้แก่ 1) ขายความรู้ในรูปของ Service และ 2) ผลิตความรู้ออกมาในรูปของ Information product
ขายความรู้ในรูปของ Service
งานที่คุณทำอยู่จนเกิดเป็นความรู้ความชำนาญสามารถต่อยอดออกไปรับงานบริการอะไรได้บ้าง อาทิ
1 บัญชี: รับจ้างทำบัญชี ปรึกษาด้านบัญชี
2 ไอที: เก่งโปรแกรม เก่งเขียน Application รับจ้างเขียน Application
3 การตลาด: รับปรึกษาด้านการตลาด หรือ บริการ Organizer งานเล็กๆ
4 นำเข้าส่งออก: รับปรึกษาการนำเข้าส่งออก การเคลียร์สินค้า งานศุลกากร และระเบียบการนำเข้า
คุณลองมองเข้าไปในตัวเองว่าที่ผ่านมาคุณทำงานมามากมายจนเชี่ยวชาญอะไรแค่ไหน หรือมันต่อยอดแตกสาขาไปสู่การให้บริการอะไรได้บ้าง งาน Professional service เหล่านี้ทำในรูปของ Freelance รับจ้างเป็นคนๆ แต่ค่าจ้างของงาน Freelance ในสาขาเฉพาะทางมีค่าตอบแทนสูงกว่างานประจำประมาณ 5-10 เท่าตัวหากคิดเป็นรายชั่วโมง
ยกตัวอย่าง ผมทำงานที่ต้องใช้ภาษา และผมก็มีการรับงานแปลอิสระนอกเวลางาน ผมมีรายได้จากการแปลประมาณชั่วโมงละ 25-30 เหรียญหรือชั่วโมงละ 825-990 บาทโดยประมาณ ในขณะที่งานประจำของผมนั้นตกชั่วโมงละร้อยกว่าบาท
ขายความรู้ในรูปของ Information Product
Information product คือ ผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อหาเป็นจุดขาย สินค้าอยู่ในรูปของ หนังสือ, อีบุ๊ค, คลิปเสียง คลิปวิดีโอ, ไปจนถึง คอร์สสอนสด
Information product เป็นการรวบรวมองค์ความรู้และข้อมูลเฉพาะทางมาบรรจุเป็นชุดในรูปแบบที่ผมยกตัวอย่างไว้ข้างบนเพื่อขาย โดยกลุ่มลูกค้าคือผู้ที่ต้องการนำความรู้ไปใช้งานอาทิ เพื่อการเรียน, เพื่อการพัฒนาสายงาน, เพื่อการประกอบธุรกิจ เป็นต้น ดังนั้น Information product เป็นสินค้าทีฝรั่งเรียกว่า Scalable หรือ ขยายตัวได้ และขยายตัวได้ดีกว่างาน Service เพราะคุณผลิตตัวสินค้าขึ้นมาหนึ่งไอเทมและขายออกไปยังผู้คนหลายร้อยคนในคราวเดียว หรือถ้าคุณเป็นผู้จัดคอร์สอบรม คุณก็รับสอนคนคราวละ 10-50 คนซึ่งอาจสร้างรายได้ให้คุณสูงถึงคอร์สละ 2-3 หมื่น ถึงหลัก 100,000 บาทในวันเดียว
ตัวอย่างของบุคคลที่ใช้ความรู้จากงานประจำต่อยอดสู่การเป็นนายตัวเอง
Pat Flynn:
คนแรกนั้นไม่กล่าวถึงไม่ได้เลย Pat Flynn ไอดอลผมเอง Pat Flynn เป็นอดีตสถาปนิกที่บันทึกความรู้จากการศึกษาวิชา LEED, หรือ Leadership in Energy & Environmental Design ลงในบล็อกของเขา การจดบันทึกเนื้อหาลงบล็อกทำให้ข้อมูลเหล่านั้นติด Google search engine และดึงดูดผู้คนจากทั่วสารทิศให้มาเยี่ยมชมและอ่านเอาความรู้จากบล็อกเป็นจำนวนมาก และในที่สุดเมื่อเขารวบรวมข้อมูลทั้งหมดบนบล็อกมาทำเป็นอีบุ๊ค ภายในเดือนแรกที่เปิดตัวเขาสามารถขายอีบุ๊คได้ถึง 7,126.91 เหรียญหรือกว่า 2 แสนบาท และจากปี 2008 ถึง 2013 ผ่านมา 5 ปีเขามียอดขายจากอีบุ๊คในซีรี่ LEED สะสมมากว่า 10 ล้านบาท
Brian Tracy:
คนนี้เป็นทั้ง นักเขียน, โค๊ช, และนักพูด มีผลงานมากมายในปัจจุบัน จากจุดเริ่มต้นของคนจนที่ต้องการสร้างเนื้อสร้างตัว เขาศึกษาหาความรู้อย่างหนักและพัฒนาเส้นทางอาชีพของตัวเองอย่างขยันขันแข็ง โดยสาขาอาชีพที่สร้างรายได้ให้เขามาที่สุดคือ Sales executive และนั่นทำให้เขากลายเป็น Sales expert และออกสอนผู้คนในการเป็น Sales ในเวลาต่อมา และตามมาด้วยหลักสูตรการสอนให้คน คิดบวก พัฒนาตัวเอง การสร้างเป้าหมาย ฯลฯ อีกมากมาย
Natalie Sisson:
เป็นอดีต Brand and Marketing Manager ให้บริษัทใหญ่โตแต่ทำงานไปนานๆรู้สึกว่าชีวิตไม่ Full fill จึงลาออกมาเป็น Consult ด้านการตลาด (ใช้ความรู้จากงานประจำมารับงาน Service) ช่วงนั้นเองที่ทำให้เธอได้เรียนรู้ Entrepreneurship และ Internet marketing มากมายก่ายกอง ซึ่งไม่เคยได้เรียนรู้เลยในสมัยทำงานประจำ และได้นำความรู้ด้าน Entrepreneurship และ Internet marketing มาสอนผู้คนผ่านเว็บไซต์ SuitCaseEntrepreneur.com และมีรายได้จากการเป็น โค๊ชธุรกิจ และ การขาย Information product
อย่าหยุดมองหาโอกาสจากงานประจำที่คุณทำอยู่
ผมอยากบอกคุณว่าอย่าหยุดหาช่องทางและโอกาสในการผลักดันตัวเองไปสู่อิสรภาพทางการงานจากงานประจำที่คุณทำอยู่ ตื่นไปไปทำงานอย่างมีเจตนารมณ์ที่จะเป็นนายตัวเอง ความคิดนี้จะช่วยให้คุณสนใจที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบๆตัวคุณในที่ทำงานมากขึ้นเพราะคุณรู้ว่าความรู้เหล่านี้จะต่อยอดคุณได้
สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้คุณเป็นนายตัวเองได้ไม่ใช่เงิน เงินเป็นรองสมองเป็นเอก ถ้าคุณมีสมอง มีปัญญา มีความรู้ คุณจะใช้มันหาเงินให้คุณจนได้ครับ
Source: http://www.epicwriterr.com/from-employed-to-entrepreneur/