สวัสดีค่ะ คือตอนนี้เราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่อเมริกา แล้วก็เครียด
แต่ไม่รู้จะตั้งชื้อกระทู้ยังไงดี ฮ่า ๆ
#อาจจะเล่ามั่วๆ หน่อยนะคะ จุดๆนี้เรียบเรียงไม่ถูกจริงๆ
ก็คือเรามีความฝันค่ะ ว่าอยากจะไปเที่ยวรอบโลก เรียนรู้เรื่องภาษา เลยตัดสินใจมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน
ตอนนี้ก็เข้าเดือนที่ 5 แล้ว ทุกอย่างราบรื่นดี มีปัญหากับรูมเมทบ้าง ด้วยนิสัยที่ต่างกัน
อีกอย่างคือเขามาจากปากีสถาน ทำให้เรากินหมูไม่ได้ด้วย
ด้วยความที่เรามีญาติอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย เลยมีแผนจะไปเรียนต่อไฮสคูลปีสุดท้ายที่โน่น
จัดการเอกสารแล้ว หาโรงเรียนเรียบร้องแล้ว เหลือแต่รอคำตอบว่าเราจะมีสิทธิ์เรียนไหม
คือที่เราอยากเรียนต่อที่นี่ก็คิดว่าจะได้พัฒนาภาษาให้ดีขึ้น แล้วก็เรียนรู้หลายๆสิ่ง หลายๆอย่าง
ยังไงซะภาษาอังกฤษก็เป็นภาษาสากล เก่งไว้ก่อนใช้ได้จนตายแน่ๆ ในความคิดเรานะคะ
อีกอย่างคือชอบที่นี่ เมืองสะอาด เรียบร้อย (แต่ถึงยังไงก็รักเมืองไทยมากกว่า)
เลยบอกยาย (ญาติที่อยู่แคลิฟอร์เนีย เป็นน้องสาวของยายอีกทีค่ะ) ว่าอยากเรียนต่อที่นี่
ยายก็โอเค หาโรงเรียนให้เลย ยายบอกว่าอยู่ที่นี่ก็ดี อยู่เป็นเพื่อนยาย อีกอย่างเรียนซีเนียร์ที่นี่ก็จะได้ต่อมหาลัยที่นี่ไปด้วย
ไม่ต้องกลับไทยแล้วมาใหม่ มันยุ่งยาก ไหนจะทำวีซ่า หาโครงการ สอบ บลาๆๆ
แต่คือตอนที่เราคุยกับยายนี่เราไม่ได้บอกทางบ้านค่ะ ว่าอยากอยู่ที่นี่
พอที่บ้านรู้ทีหลังก็ไม่ค่อยอยากให้มาเท่าไหร่ เพราะเขาคิดถึง
อยากให้ไปเรียนม.6ที่ไทยก่อน แล้วค่อยมาต่อมหาลัยที่เมกา
ย้อนกลับไปก่อน เราไม่มีแม่ค่ะ แม่เสียด้วยโรคมะเร็งไปเมื่อสามปีก่อน
ตอนเด็กๆ ก็ต้องอยู่กับยาย ไม่ใช่ยายที่แคลิฟอร์เนียนะคะ
(คือจะอธิบายยังไงดีคะ ฮ่าๆ ทวดมีลูก 9 คนค่ะ บรรดายายๆ เลยเยอะมาก แต่ยายแท้ๆ จะเรียกแม่เฒ่าค่ะ)
เพราะพ่อกับแม่ก็หย่ากันตังแต่เราจำความได้
แต่คือเราโชคดีตรงที่ ทุกคนรักเราหมดทั้งฝ่ายพ่อ และฝ่ายแม่ เราเลยไม่มีปมด้อยอะไร
แต่คือแม่ต้องทำงานต่างจังหวัด
ส่วนคนที่support เราทุกอย่างนี่คือคุณปู่ค่ะ ทั้งค่าเรียน ค่าอยู่ ทุกอย่างช่วยเหลือเราทั้งหมด มากกว่าพ่อแท้ๆซะอีก
เพราะคุณปู่รักแม่เรามาก ตอนที่แม่หย่ากับพ่อนี่ปู่เพิ่งทราบเรื่อง
ท่านบอกว่าถ้าทราบว่ามีปัญหากันมาก่อน ท่านจะช่วยทุกอย่างไม่ให้หย่ากัน
ท่านก็เลยรักเรามากค่ะ แต่ปู่ก็แก่แล้ว
เข้าเรื่องต่อ ตอนเด็กๆนี่เราย้ายบ้านบ่อยค่ะ ย้ายบ้านที่ว่าคือไปอยู่กับยายคนโน้น คนนี้ และมาอยู่กับแม่เฒ่า
อยู่กับแม่เฒ่าได้ 7 ปีก็ย้ายมาอยู่กับปู่เพราะสะดวกเวลาไปโรงเรียนมากกว่า
เพราะแบบนี้เราเลยสนิทกับญาติๆ เกือบทุกคน มีแม่หลายคนด้วย ฮ่าๆ
ก็คนพวกนี้ที่เลี้ยงเรามานี่แหละค่ะ ไม่อยากให้มาเรียนต่อที่อเมริกา เพราะว่าคิดถึง กลัวต่างๆนานา ว่าจะอยู่ได้ไหม บลาๆๆ
อีกอย่งคือตอนที่เราไปสอบมาเป็นนร.แลกเปลี่ยนนี่ไม่ได้บอกใครเลยค่ะ คิดเองทำเองล้วนๆ
คนที่บ้านเพิ่งมาทราบเรื่องตอนที่ผลสอบออกว่าสอบได้ เขาก็ไม่อยากให้มา กังวล
เพราะเราเป็นเด็กดื้อค่ะ ฮ่าๆ กลัวจะมาอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้ กลัวมาดื้อกับโฮส ภาษาก็ไม่เก่ง ต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม
แต่ในที่สุดก็ได้มา พอได้มาแล้วยังไม่พอไงคะ จะอยู่ต่ออีก
ทีนี้แม่เฒ่าก็เริ่มดราม่าแล้วค่ะ แกบอกว่าแกแก่ลงทุกวัน
คือน้าเราเพิ่งหย่ากับสามี แม่เฒ่ากับพ่อเฒ่าเลยไปอยู่กับน้าที่กรุงเทพ เพราะน้าเราอยู่บ้านคนเดียว เป็นห่วง (เราเป็นคนตจว.)
ปกติตอนอยู่ตจว.ก็ไปทำสวน นั่งโม้กับเพื่อนบ้าน พอไปกรุงเทพก็เหงาค่ะ ไม่มีงานทำ แถมน้าไปทำงาน
ก็โทรมาดราม่ากับเราบ่อย
กลับมาก่อนดีไหม ค่อยไปเรียนปริญญาตรี , คนที่นี่เขาไม่อยากให้ไปอยู่ ห่างครอบครัว , แม่เฒ่าอยากให้กลับบ้าน มาทดแทนบุญคุณปู่ แม่เฒ่า พ่อเฒ่า แม่ๆ ยายๆทั้งหลายบ้าง แก่ๆกันแล้ว ไม่รู้จะอยู่ได้นานสักแค่ไหน
คือจุดอ่อนของเราจะอยู่ที่เรื่องแม่แท้ๆ ค่ะ เพราะแม่เสียแล้ว บุญคุณก็ยังไม่ได้ทดแทน ตอนที่แม่เสียเราก็ยังเด็ก ไม่ได้คิดเรื่องบุญคุณอะไรหรอกค่ะ แค่โทรคุยกับแม่ทุกวันก็โอเคแล้วสำหรับเราตอนนั้น
แต่มาตอนนี้นี่คิดเลยว่ามันสายไป เวลาที่เรามีวุฒิภาวะพอที่คิดเรื่องทดแทนบุญคุณก็สายไป
คิดถึงเรื่องแม่ หรือพูดถึงเรื่องแม่กับแม่เฒ่าก็จะร้องไห้ตลอดสองคนยายหลาน
เราเลยคิดมาก เพราะไม่อยากให้มันสายไปเหมือนเรื่องแม่
ทุกคนที่เลี้ยงเรามาก็ไม่ใช่อายุน้อยๆแล้วตอนนี้ ช่วงนี้ก็เริ่มโฮมซิคบ่อย
กลัวว่าถ้าเรียนที่นี่ต่อไปอีกอาจจะสายไป (กังวลไปไหมคะ)
แต่ถ้าไม่เรียนที่นี่ก็ยังไม่รู้จะทำไง ยายก็หารร.ให้แล้ว จะกลับคำก็คงดูไม่ดี
อีกอย่างคือมันเป็นความฝันของเราด้วย
อีกคำที่แม่เฒ่าพูดคือ ยังไงซะเราก็เลือกแล้ว กลับมาเยี่ยมบ้านบ้างนะ
เราก็บอกว่า แม่เฒ่าเราไม่ได้มาอยู่ตลอดชีวิตสักหน่อย เดี๋ยวรอรร.ใหม่เข้าที่เข้าทางก็จะกลับไปเยี่ยม
เหลือแต่เรื่องมหาลัยที่ยังไม่ชัวร์ว่าจะไปต่อที่ไทยดีไหม แล้วค่อยมาต่อปริญญาโทที่นี่..
แต่งานนี่จะกลับไปทำงานที่ไทยแน่นอน

ทีนี้คำถามของเราค่ะ
1.ถ้าเราเรียนซีเนียร์ที่นี่ แล้วกลับไปเรียนมหาลัยที่ไทยแล้วกลับมาเรียนปริญญาโทที่นี่ใหม่ กับ เรียนที่นี่ซีเนียร์จนถึงจบปริญญาโท อันไหนดีกว่ากันคะ (คือเราไม่รู้เรื่องระบบการศึกษาเท่าไหร่ ทั้งไทยทั้งเทศ)
*เกี่ยวกับอาชีพนะคะ
คือตอนเด็กๆเราอยากเป็นหมอค่ะ แต่สอบแผนวิทย์ที่ไทยไม่ติด เลยไม่มีโอกาส แต่ความฝันอีกอย่างของเราคืออยากเป็นนักเขียน เก่งภาษา แต่คิดว่าถ้าแต่งนิยายขายเนี่ยเอาเป็นงานอดิเรกดีกว่า เพราะมันไม่มั่นคง อีกอย่างคือเราชอบวาดรูป ถ่ายภาพ เล่นดนตรี
แต่น้าอยากให้เรียนบัญชี ส่วนยายอยากให้เรียนบริหารธุรกิจ แต่แม่เฒ่ากับพ่อเฒ่าอยากให้เรียนหมอ
ซึ่งถ้าเราเรียนต่อที่นี่ก็มีโอกาสสอบหมอถูกไหมคะ เพราะเมกาเขาไม่แบ่งสายการเรียน
แต่เอาจริงๆ เรายังไม่รู้เรียนว่าอยากเป็นอะไร เพราะเราไม่ชอบพวกบริหาร วิชาการอะไรแบบนี้อ่ะค่ะ
2.แนะนำสาขา หรืออาชีพให้หนูหน่อยได้ไหมค่ะ แค่พวกวิชาสาขาเกี่ยวกับศิลปะ ดนตรีประมาณนี้อ่ะค่ะ เดี๋ยวค่อยไปหาหนทางอาชีพเอาเอง แต่คิดว่าคงไม่มั่นคง (นางต้องการอะไร ? )
ก็คิดไม่ออกแล้วค่ะ ว่าเอาไงดีกับอนาคต เพราะคิดถึงบ้านด้วย เรื่องเรียนก็ยังไม่มีแผน คือเราก็ถามไม่ถูก ถือว่าระบายแล้วกันนะคะ
เป็นลูกคนเดียวก็งี้ เก็บกด ฮ่าๆ
ขอคำแนะนำ กับแนวทาง + ระบายค่ะ (อเมริกา)
แต่ไม่รู้จะตั้งชื้อกระทู้ยังไงดี ฮ่า ๆ
#อาจจะเล่ามั่วๆ หน่อยนะคะ จุดๆนี้เรียบเรียงไม่ถูกจริงๆ
ก็คือเรามีความฝันค่ะ ว่าอยากจะไปเที่ยวรอบโลก เรียนรู้เรื่องภาษา เลยตัดสินใจมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน
ตอนนี้ก็เข้าเดือนที่ 5 แล้ว ทุกอย่างราบรื่นดี มีปัญหากับรูมเมทบ้าง ด้วยนิสัยที่ต่างกัน
อีกอย่างคือเขามาจากปากีสถาน ทำให้เรากินหมูไม่ได้ด้วย
ด้วยความที่เรามีญาติอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย เลยมีแผนจะไปเรียนต่อไฮสคูลปีสุดท้ายที่โน่น
จัดการเอกสารแล้ว หาโรงเรียนเรียบร้องแล้ว เหลือแต่รอคำตอบว่าเราจะมีสิทธิ์เรียนไหม
คือที่เราอยากเรียนต่อที่นี่ก็คิดว่าจะได้พัฒนาภาษาให้ดีขึ้น แล้วก็เรียนรู้หลายๆสิ่ง หลายๆอย่าง
ยังไงซะภาษาอังกฤษก็เป็นภาษาสากล เก่งไว้ก่อนใช้ได้จนตายแน่ๆ ในความคิดเรานะคะ
อีกอย่างคือชอบที่นี่ เมืองสะอาด เรียบร้อย (แต่ถึงยังไงก็รักเมืองไทยมากกว่า)
เลยบอกยาย (ญาติที่อยู่แคลิฟอร์เนีย เป็นน้องสาวของยายอีกทีค่ะ) ว่าอยากเรียนต่อที่นี่
ยายก็โอเค หาโรงเรียนให้เลย ยายบอกว่าอยู่ที่นี่ก็ดี อยู่เป็นเพื่อนยาย อีกอย่างเรียนซีเนียร์ที่นี่ก็จะได้ต่อมหาลัยที่นี่ไปด้วย
ไม่ต้องกลับไทยแล้วมาใหม่ มันยุ่งยาก ไหนจะทำวีซ่า หาโครงการ สอบ บลาๆๆ
แต่คือตอนที่เราคุยกับยายนี่เราไม่ได้บอกทางบ้านค่ะ ว่าอยากอยู่ที่นี่
พอที่บ้านรู้ทีหลังก็ไม่ค่อยอยากให้มาเท่าไหร่ เพราะเขาคิดถึง
อยากให้ไปเรียนม.6ที่ไทยก่อน แล้วค่อยมาต่อมหาลัยที่เมกา
ย้อนกลับไปก่อน เราไม่มีแม่ค่ะ แม่เสียด้วยโรคมะเร็งไปเมื่อสามปีก่อน
ตอนเด็กๆ ก็ต้องอยู่กับยาย ไม่ใช่ยายที่แคลิฟอร์เนียนะคะ
(คือจะอธิบายยังไงดีคะ ฮ่าๆ ทวดมีลูก 9 คนค่ะ บรรดายายๆ เลยเยอะมาก แต่ยายแท้ๆ จะเรียกแม่เฒ่าค่ะ)
เพราะพ่อกับแม่ก็หย่ากันตังแต่เราจำความได้
แต่คือเราโชคดีตรงที่ ทุกคนรักเราหมดทั้งฝ่ายพ่อ และฝ่ายแม่ เราเลยไม่มีปมด้อยอะไร
แต่คือแม่ต้องทำงานต่างจังหวัด
ส่วนคนที่support เราทุกอย่างนี่คือคุณปู่ค่ะ ทั้งค่าเรียน ค่าอยู่ ทุกอย่างช่วยเหลือเราทั้งหมด มากกว่าพ่อแท้ๆซะอีก
เพราะคุณปู่รักแม่เรามาก ตอนที่แม่หย่ากับพ่อนี่ปู่เพิ่งทราบเรื่อง
ท่านบอกว่าถ้าทราบว่ามีปัญหากันมาก่อน ท่านจะช่วยทุกอย่างไม่ให้หย่ากัน
ท่านก็เลยรักเรามากค่ะ แต่ปู่ก็แก่แล้ว
เข้าเรื่องต่อ ตอนเด็กๆนี่เราย้ายบ้านบ่อยค่ะ ย้ายบ้านที่ว่าคือไปอยู่กับยายคนโน้น คนนี้ และมาอยู่กับแม่เฒ่า
อยู่กับแม่เฒ่าได้ 7 ปีก็ย้ายมาอยู่กับปู่เพราะสะดวกเวลาไปโรงเรียนมากกว่า
เพราะแบบนี้เราเลยสนิทกับญาติๆ เกือบทุกคน มีแม่หลายคนด้วย ฮ่าๆ
ก็คนพวกนี้ที่เลี้ยงเรามานี่แหละค่ะ ไม่อยากให้มาเรียนต่อที่อเมริกา เพราะว่าคิดถึง กลัวต่างๆนานา ว่าจะอยู่ได้ไหม บลาๆๆ
อีกอย่งคือตอนที่เราไปสอบมาเป็นนร.แลกเปลี่ยนนี่ไม่ได้บอกใครเลยค่ะ คิดเองทำเองล้วนๆ
คนที่บ้านเพิ่งมาทราบเรื่องตอนที่ผลสอบออกว่าสอบได้ เขาก็ไม่อยากให้มา กังวล
เพราะเราเป็นเด็กดื้อค่ะ ฮ่าๆ กลัวจะมาอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้ กลัวมาดื้อกับโฮส ภาษาก็ไม่เก่ง ต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม
แต่ในที่สุดก็ได้มา พอได้มาแล้วยังไม่พอไงคะ จะอยู่ต่ออีก
ทีนี้แม่เฒ่าก็เริ่มดราม่าแล้วค่ะ แกบอกว่าแกแก่ลงทุกวัน
คือน้าเราเพิ่งหย่ากับสามี แม่เฒ่ากับพ่อเฒ่าเลยไปอยู่กับน้าที่กรุงเทพ เพราะน้าเราอยู่บ้านคนเดียว เป็นห่วง (เราเป็นคนตจว.)
ปกติตอนอยู่ตจว.ก็ไปทำสวน นั่งโม้กับเพื่อนบ้าน พอไปกรุงเทพก็เหงาค่ะ ไม่มีงานทำ แถมน้าไปทำงาน
ก็โทรมาดราม่ากับเราบ่อย
กลับมาก่อนดีไหม ค่อยไปเรียนปริญญาตรี , คนที่นี่เขาไม่อยากให้ไปอยู่ ห่างครอบครัว , แม่เฒ่าอยากให้กลับบ้าน มาทดแทนบุญคุณปู่ แม่เฒ่า พ่อเฒ่า แม่ๆ ยายๆทั้งหลายบ้าง แก่ๆกันแล้ว ไม่รู้จะอยู่ได้นานสักแค่ไหน
คือจุดอ่อนของเราจะอยู่ที่เรื่องแม่แท้ๆ ค่ะ เพราะแม่เสียแล้ว บุญคุณก็ยังไม่ได้ทดแทน ตอนที่แม่เสียเราก็ยังเด็ก ไม่ได้คิดเรื่องบุญคุณอะไรหรอกค่ะ แค่โทรคุยกับแม่ทุกวันก็โอเคแล้วสำหรับเราตอนนั้น
แต่มาตอนนี้นี่คิดเลยว่ามันสายไป เวลาที่เรามีวุฒิภาวะพอที่คิดเรื่องทดแทนบุญคุณก็สายไป
คิดถึงเรื่องแม่ หรือพูดถึงเรื่องแม่กับแม่เฒ่าก็จะร้องไห้ตลอดสองคนยายหลาน
เราเลยคิดมาก เพราะไม่อยากให้มันสายไปเหมือนเรื่องแม่
ทุกคนที่เลี้ยงเรามาก็ไม่ใช่อายุน้อยๆแล้วตอนนี้ ช่วงนี้ก็เริ่มโฮมซิคบ่อย
กลัวว่าถ้าเรียนที่นี่ต่อไปอีกอาจจะสายไป (กังวลไปไหมคะ)
แต่ถ้าไม่เรียนที่นี่ก็ยังไม่รู้จะทำไง ยายก็หารร.ให้แล้ว จะกลับคำก็คงดูไม่ดี
อีกอย่างคือมันเป็นความฝันของเราด้วย
อีกคำที่แม่เฒ่าพูดคือ ยังไงซะเราก็เลือกแล้ว กลับมาเยี่ยมบ้านบ้างนะ
เราก็บอกว่า แม่เฒ่าเราไม่ได้มาอยู่ตลอดชีวิตสักหน่อย เดี๋ยวรอรร.ใหม่เข้าที่เข้าทางก็จะกลับไปเยี่ยม
เหลือแต่เรื่องมหาลัยที่ยังไม่ชัวร์ว่าจะไปต่อที่ไทยดีไหม แล้วค่อยมาต่อปริญญาโทที่นี่..
แต่งานนี่จะกลับไปทำงานที่ไทยแน่นอน
ทีนี้คำถามของเราค่ะ
1.ถ้าเราเรียนซีเนียร์ที่นี่ แล้วกลับไปเรียนมหาลัยที่ไทยแล้วกลับมาเรียนปริญญาโทที่นี่ใหม่ กับ เรียนที่นี่ซีเนียร์จนถึงจบปริญญาโท อันไหนดีกว่ากันคะ (คือเราไม่รู้เรื่องระบบการศึกษาเท่าไหร่ ทั้งไทยทั้งเทศ)
*เกี่ยวกับอาชีพนะคะ
คือตอนเด็กๆเราอยากเป็นหมอค่ะ แต่สอบแผนวิทย์ที่ไทยไม่ติด เลยไม่มีโอกาส แต่ความฝันอีกอย่างของเราคืออยากเป็นนักเขียน เก่งภาษา แต่คิดว่าถ้าแต่งนิยายขายเนี่ยเอาเป็นงานอดิเรกดีกว่า เพราะมันไม่มั่นคง อีกอย่างคือเราชอบวาดรูป ถ่ายภาพ เล่นดนตรี
แต่น้าอยากให้เรียนบัญชี ส่วนยายอยากให้เรียนบริหารธุรกิจ แต่แม่เฒ่ากับพ่อเฒ่าอยากให้เรียนหมอ
ซึ่งถ้าเราเรียนต่อที่นี่ก็มีโอกาสสอบหมอถูกไหมคะ เพราะเมกาเขาไม่แบ่งสายการเรียน
แต่เอาจริงๆ เรายังไม่รู้เรียนว่าอยากเป็นอะไร เพราะเราไม่ชอบพวกบริหาร วิชาการอะไรแบบนี้อ่ะค่ะ
2.แนะนำสาขา หรืออาชีพให้หนูหน่อยได้ไหมค่ะ แค่พวกวิชาสาขาเกี่ยวกับศิลปะ ดนตรีประมาณนี้อ่ะค่ะ เดี๋ยวค่อยไปหาหนทางอาชีพเอาเอง แต่คิดว่าคงไม่มั่นคง (นางต้องการอะไร ? )
ก็คิดไม่ออกแล้วค่ะ ว่าเอาไงดีกับอนาคต เพราะคิดถึงบ้านด้วย เรื่องเรียนก็ยังไม่มีแผน คือเราก็ถามไม่ถูก ถือว่าระบายแล้วกันนะคะ
เป็นลูกคนเดียวก็งี้ เก็บกด ฮ่าๆ