31 ต.ค. 2556 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการต่อสู้เพื่อ “ขจัดระบอบทักษิณ”
เป็นวันที่ระบอบทักษิณต้องเปลี่ยนจาก “เดินหน้าสุดซอย” กลายเป็น “ถอยหลังสุดปากซอย”
เสียง“เป่านกหวีด”ระดมพลชุมนุมใหญ่ ต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมที่มีเจตนาลบล้างความผิดให้ทักษิณ
ชินวัตร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม2556 โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ร่วมกับมวลชนแนวร่วมภาคส่วน
ต่างๆ วันเดียวกับที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ผลักดันร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเข้าสู่สภาในวาระ 2
ตั้งเวทีปราศรัยบริเวณใกล้เคียงสถานีรถไฟสามเสน นับเป็นหลักกิโลเมตรที่มวลมหาประชาชนคนไทยตื่นรู้
ตื่นตัว และตื่นสู้ ไม่ว่าจะไทยตื่น ไทยเฉย ไทยหลับ และไทยทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ทุกภาคส่วน
เกิดความ “ตระหนักรู้” ว่าจะต้องร่วมด้วยช่วยกันขจัดระบอบทักษิณให้สิ้นจากแผ่นดินไทย
ประชาชนหลากหลายสาขาอาชีพ ทั้งนักธุรกิจ เกษตรกร ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ กรรมกร ผู้ใช้แรงงาน
ลูกจ้างบริษัทเอกชน ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ แพทย์ พยาบาล นิสิต นักศึกษา อาชีวะ มหาวิทยาลัย
ต่างๆ รวมทั้งศิษย์เก่าและคณาจารย์ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ต่างเดินทางเข้าร่วมชุมนุมต่อต้านการ
กระทำอันลุแก่อำนาจของรัฐบาลระบอบทักษิณอย่างคึกคัก ล้นหลาม เพิ่มจำนวนและคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุด สามารถรุกไล่ระบอบทักษิณ หยุดยั้งกฎหมายนิรโทษกรรมได้ชั่วคราว การแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็น
ที่มาและคุณสมบัติของ ส.ว. ที่หวังยึดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จก็ต้องหยุดชะงักลงไป กระทั่งรัฐบาลระบอบทักษิณ
ก็จำต้องยุบสภา หวังเอาตัวรอดในทางการเมือง แต่ยังไม่ยอมลาออก
อะไรคือจุดเปลี่ยน?
ก่อนจะถึงวันที่ 31 ต.ค.2556 จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ประชาชนคนไทยทนไม่ไหว กระทั่งออกมาแสดงพลัง
ขับไล่ระบอบทักษิณอย่างมีพลังที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยนั้น มิใช่เพราะกฎหมายนิรโทษกรรม
อย่างเดียวแต่เป็นเพราะมีความรู้สึกสะสม อึดอัด คับข้องใจ สะสม ตลอดระยะเวลาที่ระบอบทักษิณยึดครอง
อำนาจรัฐและกระทำต่อคนไทยมาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น
1)ถูกยัดเยียดนายกฯ หุ่นเชิด ไร้ความสามารถ ไร้ความมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อประชาชน ดีแต่สร้างภาพ
แต่งตัวสวย จัดฉาก ถ่ายรูป ออกสื่อ อ่านโพย พูดผิดๆ ถูกๆ สวยแต่โง่ ไร้ประสบการณ์ ประวัติไม่เหมาะสม
กับความเป็นผู้นำฝ่ายบริหารเคยช่วยพี่ชายซุกหุ้น มีผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝงในการออกกฎหมาย
นิรโทษกรรม
2)อึดอัดกับนักการเมืองที่เล่นพรรคเล่นพวก เลือกปฏิบัติ แต่งตั้งโยกย้ายราชการไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็น
กรณีแต่งตั้งเครือญาติของตนดำรงตำแหน่งสำคัญ ตั้งแต่ ผบ.ตร. ไปจนถึงตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจต่างๆ
การกลั่นแกล้งข้าราชการที่ไม่ยอมตนเป็นขี้ข้าระบอบทักษิณ อาทิ นายถวิล เปลี่ยนสี เป็นต้น รวมถึงการ
อุ้มชูใช้งานข้าราชการที่ “เปลี่ยนสีตัวเอง” รับใช้ระบอบทักษิณอย่างออกนอกหน้า
3)เห็นอันตรายของการใช้รัฐตำรวจเป็นเครื่องมือทางการเมืองของระบอบทักษิณ ตำรวจที่เคยถูกชี้มูลความ
ผิดร้ายแรงก็ได้ดิบได้ดี ถูกนำมาทำงานรับใช้ระบอบทักษิณอย่างไม่คำนึงถึงหลักคุณธรรม นายตำรวจระดับ
สูงบิดเบือนใช้อำนาจสถาบันตำรวจเสมือนไปเป็นกองกำลังปกป้องตระกูลชินวัตร กลั่นแกล้ง ขัดขวาง
ทำร้ายประชาชน บิดเบือนข่าวสาร ใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ
4) รัฐสภาถูกครอบงำสั่งการ ถูกบิดผันไปเป็นสภาทาส ส.ส.และ ส.ว.บางส่วนไม่เป็นอิสระ ตกอยู่ใต้อาณัติ
สั่งการของบุคคลนอกรัฐธรรมนูญ นักโทษหลบหนีอาญาแผ่นดิน ผู้คนตะขิดตะขวงใจ เสื่อมศรัทธา สิ้นความ
เชื่อถือในการใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ
5) รัฐบาลระบอบทักษิณบริหารเศรษฐกิจแบบมือสมัครเล่น ดีแต่โม้ ข้าวของแพงทั้งแผ่นดิน ค่าพลังงานพุ่ง
กระฉูด สวนทางกับคำคุยโวหาเสียง ค่าแรงแพงไม่สมจริงในเขตชนบทและที่ต่างๆ นักลงทุนย้ายฐานการ
ผลิต การส่งออก การลงทุนเสื่อมทรุด ซ้ำยังสร้างหนี้ประเทศมากเป้นประวัติศาสตร์ ตรงข้ามกับที่เคยหา
เสียงว่าจะไม่กู้
นโยบายจำนำข้าว คือความผิดพลาดเสียหายใหญ่หลวง เก็บข้าวไว้ในโกดัง สร้างความเสียหาย ไม่สามารถ
ขายข้าวราคาแพงอย่างที่คุย ขาดทุนยับเยิน ไม่มีเงินไปจ่ายค่าข้าวชาวนา ทำให้ข้าวไทยเสียตลาดโลก
เสียการผลิตข้าวคุณภาพดี โกงกินมโหฬาร เกิดผลเสียหายต่อคลังแผ่นดิน นอกจากนี้ รัฐยังขาดแคลน
รายได้จากนโยบายลดแลกแจกแถมที่ไม่มีความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น รถคันแรก บ้านหลังแรก แจกแทปเล็ต
แจกเงินผ่านกองทุนต่างๆ ฯลฯ
6) การทุจริตโกงกินมโหฬาร อุกอาจ ไม่มีความละอาย ไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง
ภาคธุรกิจทนไม่ไหว ออกมาแฉว่าการจะได้รับงานจากภาครัฐต้องถูกเรียกเงินใต้โต๊ะสูงถึง 40-50%
ของมูลค่าโครงการ ขณะที่ดัชนีการทุจริตความไม่โปร่งใสของไทยในสายตาของโลกตกต่ำที่สุดเป็น
ประวัติการณ์
การทุจริตโดยนโยบาย ออกแบบโครงการที่เอื้อต่อการทุจริตโดยตรง อาทิ นโยบายจำนำข้าว พบการ
ทุจริตตั้งแต่ขั้นตอนการรับซื้อข้าว การเก็บข้าวในโกดัง และการระบายข้าว ขาดทุนมากกว่าที่ควรจะเป็น
ชาวนาได้ประโยชน์น้อยกว่าที่ควรจะได้ ประเทศชาติส่วนรวมเสียหายย่อยยับ
การทุจริตโดยเอาการช่วยเหลือเกษตรกรบังหน้า ยังเกิดกับพืชผลอื่นๆ ด้วย อาทิ กรณีมันสำปะหลัง เป็นต้น
7) รัฐบาลระบอบทักษิณสร้างหนี้คนไทยมโหฬาร ดีแต่กู้ ไม่ว่าจะเป็น เงินกู้โครงการน้ำ 3.5 แสนล้านล้าน
กฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท สร้างภาระหนี้รวมดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านบาท แบกหนี้ 50 ปี นำเงิน
ไปใช้ในโครงการที่ไม่คุ้มค่า และมีกระบวนการดำเนินโครงการที่ไม่โปร่งใส เปิดช่องให้มีการทุจริตรั่วไหล
8) ความไร้ฝีมือในการบริหารจัดการวิกฤติ เช่น วิกฤติน้ำท่วม รัฐบาลเอาไม่อยู่ เกิดความเสียหายมากกว่าที่
ควรจะเป็น ประชาชนเดือดร้อน เสียชีวิต ความเสียหายนับแสนล้านบาท, วิกฤติความขัดแย้งทางการเมือง
รัฐบาลสุมไฟให้บ้านเมือง เลือกปฏิบัติ เอาเงินไปปรนเปรอเยียวยาพวกพ้องของตนเอง 7.5 ล้านบาท
แต่ตัดโครงการในพื้นที่ที่ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย เช่น โครงการศูนย์ประชุมจังหวัดภูเก็ต เป็นต้น ไม่จริงใจ
กับประชาชน อ้างคนเสื้อแดง แต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของพี่ชายนายกรัฐมนตรี
9) การควบคุมครอบงำสื่อมวลชน ทั้งด้วยอิทธิพลอำนาจ ตัดละครเหนือเมฆ เซ็นเซอร์ฉากบางฉาก ตัดสกู๊ป
ที่แฉความไม่โปร่งใสของโครงการน้ำ ถอดรายการทีวี รายการวิทยุ กดดันเปลี่ยนตัวพิธีกร และด้วยผล
ประโยชน์จากเงินแผ่นดิน เงินโฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการของรัฐและรัฐวิสาหกิจ ทุ่มเงินสนับสนุนสื่อ
ที่ยอมเป็นพวกระบอบทักษิณ ร่วมโฆษณาสร้างภาพบวกให้รัฐบาล ยกยอปอปั้น เลิศลอยเกินจริง เชลียร์กัน
จนประชาชนเอือมระอา
10)ภาวะที่ผู้นำรัฐบาลไร้คุณธรรมจริยธรรม ไร้ยางอาย ไร้ความรู้สึกรู้สมถึงความทุกข์ยากของประชาชน
ลอยตัวเหนือปัญหา ไม่รู้ร้อนรู้หนาว รักษาผลประโยชน์ของพี่ชายมากกว่าจะปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวม
ของประเทศชาติ ไม่มีภาวะผู้นำ ไม่มีความสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม คนไทยต่างเห็นได้ชัด รับรู้ และ
รู้สึกได้
ทั้งหมดนี้ ทำให้ประชาชนคนไทยรู้สึกอึดอัด คับข้องใจ เอือมระอา เสมือนถูกรัฐบาลระบอบทักษิณทรยศ
ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มองไม่เห็นหัว ข่มเหงท้าทาย ในที่สุดจึงทนไม่ไหว เมื่อรัฐบาลระบอบทักษิณ
ผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมคนโกงผ่านสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านใดๆ เลย
(ยังมีต่อ) ......
ทั้งหมดคือความเลวร้ายของ รัฐบาลนี้และระบอบทักษิณ เลือกตั้งไปก็คงแพ้แน่ๆ ใช่ป่าว
ประชาชนปฏิวัติ 13 ม.ค.57 ยึดเมืองหลวง-ยึดอำนาจคืนจากระบอบทักษิณ .... ขอคิดด้วยฅน เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง แนวหน้าออนไลน์
เป็นวันที่ระบอบทักษิณต้องเปลี่ยนจาก “เดินหน้าสุดซอย” กลายเป็น “ถอยหลังสุดปากซอย”
เสียง“เป่านกหวีด”ระดมพลชุมนุมใหญ่ ต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมที่มีเจตนาลบล้างความผิดให้ทักษิณ
ชินวัตร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม2556 โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ร่วมกับมวลชนแนวร่วมภาคส่วน
ต่างๆ วันเดียวกับที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ผลักดันร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเข้าสู่สภาในวาระ 2
ตั้งเวทีปราศรัยบริเวณใกล้เคียงสถานีรถไฟสามเสน นับเป็นหลักกิโลเมตรที่มวลมหาประชาชนคนไทยตื่นรู้
ตื่นตัว และตื่นสู้ ไม่ว่าจะไทยตื่น ไทยเฉย ไทยหลับ และไทยทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ทุกภาคส่วน
เกิดความ “ตระหนักรู้” ว่าจะต้องร่วมด้วยช่วยกันขจัดระบอบทักษิณให้สิ้นจากแผ่นดินไทย
ประชาชนหลากหลายสาขาอาชีพ ทั้งนักธุรกิจ เกษตรกร ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ กรรมกร ผู้ใช้แรงงาน
ลูกจ้างบริษัทเอกชน ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ แพทย์ พยาบาล นิสิต นักศึกษา อาชีวะ มหาวิทยาลัย
ต่างๆ รวมทั้งศิษย์เก่าและคณาจารย์ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ต่างเดินทางเข้าร่วมชุมนุมต่อต้านการ
กระทำอันลุแก่อำนาจของรัฐบาลระบอบทักษิณอย่างคึกคัก ล้นหลาม เพิ่มจำนวนและคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุด สามารถรุกไล่ระบอบทักษิณ หยุดยั้งกฎหมายนิรโทษกรรมได้ชั่วคราว การแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็น
ที่มาและคุณสมบัติของ ส.ว. ที่หวังยึดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จก็ต้องหยุดชะงักลงไป กระทั่งรัฐบาลระบอบทักษิณ
ก็จำต้องยุบสภา หวังเอาตัวรอดในทางการเมือง แต่ยังไม่ยอมลาออก
อะไรคือจุดเปลี่ยน?
ก่อนจะถึงวันที่ 31 ต.ค.2556 จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ประชาชนคนไทยทนไม่ไหว กระทั่งออกมาแสดงพลัง
ขับไล่ระบอบทักษิณอย่างมีพลังที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยนั้น มิใช่เพราะกฎหมายนิรโทษกรรม
อย่างเดียวแต่เป็นเพราะมีความรู้สึกสะสม อึดอัด คับข้องใจ สะสม ตลอดระยะเวลาที่ระบอบทักษิณยึดครอง
อำนาจรัฐและกระทำต่อคนไทยมาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น
1)ถูกยัดเยียดนายกฯ หุ่นเชิด ไร้ความสามารถ ไร้ความมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อประชาชน ดีแต่สร้างภาพ
แต่งตัวสวย จัดฉาก ถ่ายรูป ออกสื่อ อ่านโพย พูดผิดๆ ถูกๆ สวยแต่โง่ ไร้ประสบการณ์ ประวัติไม่เหมาะสม
กับความเป็นผู้นำฝ่ายบริหารเคยช่วยพี่ชายซุกหุ้น มีผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝงในการออกกฎหมาย
นิรโทษกรรม
2)อึดอัดกับนักการเมืองที่เล่นพรรคเล่นพวก เลือกปฏิบัติ แต่งตั้งโยกย้ายราชการไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็น
กรณีแต่งตั้งเครือญาติของตนดำรงตำแหน่งสำคัญ ตั้งแต่ ผบ.ตร. ไปจนถึงตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจต่างๆ
การกลั่นแกล้งข้าราชการที่ไม่ยอมตนเป็นขี้ข้าระบอบทักษิณ อาทิ นายถวิล เปลี่ยนสี เป็นต้น รวมถึงการ
อุ้มชูใช้งานข้าราชการที่ “เปลี่ยนสีตัวเอง” รับใช้ระบอบทักษิณอย่างออกนอกหน้า
3)เห็นอันตรายของการใช้รัฐตำรวจเป็นเครื่องมือทางการเมืองของระบอบทักษิณ ตำรวจที่เคยถูกชี้มูลความ
ผิดร้ายแรงก็ได้ดิบได้ดี ถูกนำมาทำงานรับใช้ระบอบทักษิณอย่างไม่คำนึงถึงหลักคุณธรรม นายตำรวจระดับ
สูงบิดเบือนใช้อำนาจสถาบันตำรวจเสมือนไปเป็นกองกำลังปกป้องตระกูลชินวัตร กลั่นแกล้ง ขัดขวาง
ทำร้ายประชาชน บิดเบือนข่าวสาร ใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ
4) รัฐสภาถูกครอบงำสั่งการ ถูกบิดผันไปเป็นสภาทาส ส.ส.และ ส.ว.บางส่วนไม่เป็นอิสระ ตกอยู่ใต้อาณัติ
สั่งการของบุคคลนอกรัฐธรรมนูญ นักโทษหลบหนีอาญาแผ่นดิน ผู้คนตะขิดตะขวงใจ เสื่อมศรัทธา สิ้นความ
เชื่อถือในการใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ
5) รัฐบาลระบอบทักษิณบริหารเศรษฐกิจแบบมือสมัครเล่น ดีแต่โม้ ข้าวของแพงทั้งแผ่นดิน ค่าพลังงานพุ่ง
กระฉูด สวนทางกับคำคุยโวหาเสียง ค่าแรงแพงไม่สมจริงในเขตชนบทและที่ต่างๆ นักลงทุนย้ายฐานการ
ผลิต การส่งออก การลงทุนเสื่อมทรุด ซ้ำยังสร้างหนี้ประเทศมากเป้นประวัติศาสตร์ ตรงข้ามกับที่เคยหา
เสียงว่าจะไม่กู้
นโยบายจำนำข้าว คือความผิดพลาดเสียหายใหญ่หลวง เก็บข้าวไว้ในโกดัง สร้างความเสียหาย ไม่สามารถ
ขายข้าวราคาแพงอย่างที่คุย ขาดทุนยับเยิน ไม่มีเงินไปจ่ายค่าข้าวชาวนา ทำให้ข้าวไทยเสียตลาดโลก
เสียการผลิตข้าวคุณภาพดี โกงกินมโหฬาร เกิดผลเสียหายต่อคลังแผ่นดิน นอกจากนี้ รัฐยังขาดแคลน
รายได้จากนโยบายลดแลกแจกแถมที่ไม่มีความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น รถคันแรก บ้านหลังแรก แจกแทปเล็ต
แจกเงินผ่านกองทุนต่างๆ ฯลฯ
6) การทุจริตโกงกินมโหฬาร อุกอาจ ไม่มีความละอาย ไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง
ภาคธุรกิจทนไม่ไหว ออกมาแฉว่าการจะได้รับงานจากภาครัฐต้องถูกเรียกเงินใต้โต๊ะสูงถึง 40-50%
ของมูลค่าโครงการ ขณะที่ดัชนีการทุจริตความไม่โปร่งใสของไทยในสายตาของโลกตกต่ำที่สุดเป็น
ประวัติการณ์
การทุจริตโดยนโยบาย ออกแบบโครงการที่เอื้อต่อการทุจริตโดยตรง อาทิ นโยบายจำนำข้าว พบการ
ทุจริตตั้งแต่ขั้นตอนการรับซื้อข้าว การเก็บข้าวในโกดัง และการระบายข้าว ขาดทุนมากกว่าที่ควรจะเป็น
ชาวนาได้ประโยชน์น้อยกว่าที่ควรจะได้ ประเทศชาติส่วนรวมเสียหายย่อยยับ
การทุจริตโดยเอาการช่วยเหลือเกษตรกรบังหน้า ยังเกิดกับพืชผลอื่นๆ ด้วย อาทิ กรณีมันสำปะหลัง เป็นต้น
7) รัฐบาลระบอบทักษิณสร้างหนี้คนไทยมโหฬาร ดีแต่กู้ ไม่ว่าจะเป็น เงินกู้โครงการน้ำ 3.5 แสนล้านล้าน
กฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท สร้างภาระหนี้รวมดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านบาท แบกหนี้ 50 ปี นำเงิน
ไปใช้ในโครงการที่ไม่คุ้มค่า และมีกระบวนการดำเนินโครงการที่ไม่โปร่งใส เปิดช่องให้มีการทุจริตรั่วไหล
8) ความไร้ฝีมือในการบริหารจัดการวิกฤติ เช่น วิกฤติน้ำท่วม รัฐบาลเอาไม่อยู่ เกิดความเสียหายมากกว่าที่
ควรจะเป็น ประชาชนเดือดร้อน เสียชีวิต ความเสียหายนับแสนล้านบาท, วิกฤติความขัดแย้งทางการเมือง
รัฐบาลสุมไฟให้บ้านเมือง เลือกปฏิบัติ เอาเงินไปปรนเปรอเยียวยาพวกพ้องของตนเอง 7.5 ล้านบาท
แต่ตัดโครงการในพื้นที่ที่ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย เช่น โครงการศูนย์ประชุมจังหวัดภูเก็ต เป็นต้น ไม่จริงใจ
กับประชาชน อ้างคนเสื้อแดง แต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของพี่ชายนายกรัฐมนตรี
9) การควบคุมครอบงำสื่อมวลชน ทั้งด้วยอิทธิพลอำนาจ ตัดละครเหนือเมฆ เซ็นเซอร์ฉากบางฉาก ตัดสกู๊ป
ที่แฉความไม่โปร่งใสของโครงการน้ำ ถอดรายการทีวี รายการวิทยุ กดดันเปลี่ยนตัวพิธีกร และด้วยผล
ประโยชน์จากเงินแผ่นดิน เงินโฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการของรัฐและรัฐวิสาหกิจ ทุ่มเงินสนับสนุนสื่อ
ที่ยอมเป็นพวกระบอบทักษิณ ร่วมโฆษณาสร้างภาพบวกให้รัฐบาล ยกยอปอปั้น เลิศลอยเกินจริง เชลียร์กัน
จนประชาชนเอือมระอา
10)ภาวะที่ผู้นำรัฐบาลไร้คุณธรรมจริยธรรม ไร้ยางอาย ไร้ความรู้สึกรู้สมถึงความทุกข์ยากของประชาชน
ลอยตัวเหนือปัญหา ไม่รู้ร้อนรู้หนาว รักษาผลประโยชน์ของพี่ชายมากกว่าจะปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวม
ของประเทศชาติ ไม่มีภาวะผู้นำ ไม่มีความสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม คนไทยต่างเห็นได้ชัด รับรู้ และ
รู้สึกได้
ทั้งหมดนี้ ทำให้ประชาชนคนไทยรู้สึกอึดอัด คับข้องใจ เอือมระอา เสมือนถูกรัฐบาลระบอบทักษิณทรยศ
ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มองไม่เห็นหัว ข่มเหงท้าทาย ในที่สุดจึงทนไม่ไหว เมื่อรัฐบาลระบอบทักษิณ
ผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมคนโกงผ่านสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านใดๆ เลย
(ยังมีต่อ) ...... ทั้งหมดคือความเลวร้ายของ รัฐบาลนี้และระบอบทักษิณ เลือกตั้งไปก็คงแพ้แน่ๆ ใช่ป่าว