เชียร์ใครดี กลุ่มหัวรุนแรงเชื่อมโยงอัลกออิดะห์บุกยึดเมือง “ฟัลลูจาห์” ในอิรัก รบ.แบกแดดลั่นไม่ยอมแพ้

กระทู้ข่าว
เอเอฟพี/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 65 คนในวันเสาร์ (4) หลังเกิดการปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างทหารรัฐบาลอิรักกับกลุ่มติดอาวุธที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ท่ามกลางรายงานข่าวที่ระบุว่า เมืองฟัลลูจาห์ที่เป็นบ้านของประชากรมากกว่า 320,000 คนได้ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของพวกนักรบอิสลามิสต์แล้ว
       
       รายงานข่าวซึ่งอ้างเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงในรัฐบาลอิรักระบุว่า เมืองฟัลลูจาห์ในจังหวัดอันบาร์ ที่อยู่ห่างจากกรุงแบกแดดไปทางตะวันตกราว 69 กิโลเมตร ได้ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของนักรบอิสลามิสต์กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า Islamic State of Iraq and the Levant (ISIL) แล้ว โดยกลุ่มหัวรุนแรงดังกล่าว เป็นกลุ่มเดียวกับที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในซีเรียเวลานี้เพื่อโค่นล้มรัฐบาลซีเรียของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด และมุ่งสถาปนาระบอบการปกครองในรูปแบบของ “รัฐอิสลามสุดโต่ง” ขึ้นแทนที่
       
       การปะทะกันล่าสุดที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 65 ราย ถือเป็นเหตุนองเลือดที่สุดที่เกิดขึ้นในจังหวัดอันบาร์ในรอบหลายปี และยังถือเป็นครั้งแรกที่กลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรงสามารถยึดครองเมืองสำคัญในอิรักได้อย่างเปิดเผย นับตั้งแต่ที่สหรัฐฯ ส่งทหารบุกอิรักเพื่อโค่นล้มระบอบการปกครองของซัดดัม ฮุสเซน เมื่อปี 2003
       
       ด้านนายกรัฐมนตรีนูริ อัล-มาลิกิแห่งอิรักประกาศในวันเสาร์ (4) โดยยืนยันว่ากองทัพอิรักจะไม่ยอมจำนนต่อกลุ่มหัวรุนแรงที่บุกยึดเมืองฟัลลูจาห์ และหลายพื้นที่ในจังหวัดอันบาร์อยู่ในเวลานี้ พร้อมย้ำ กลุ่ม “ก่อการร้าย” จะต้องถูกกวาดล้างให้หมดสิ้นไป
       
       ก่อนหน้านี้ เมื่อวันศุกร์ (3) มีรายงานพบผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 คนทั้งในเมืองฟัลลูจาห์และรามาดี โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ออกคำแถลงประณามกลุ่ม Islamic State of Iraq and the Levant ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการกระทำที่ป่าเถื่อนโหดร้ายต่อประชาชน และกองกำลังความมั่นคงของรัฐบาลอิรัก
       
       ทั้งนี้ กองทัพสหรัฐฯ เคยต่อสู้อย่างหนักนานหลายปีกับกลุ่มหัวรุนแรงในเมืองฟัลลูจาห์แห่งนี้ เพื่อปกป้องเมืองดังกล่าวมิให้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของพวกสุดโต่ง แต่สถานการณ์ล่าสุดบ่งชี้ว่า ความพยายามของสหรัฐฯ ในการกำจัดพวกหัวรุนแรงออกจากเมืองฟัลลูจาห์ และจังหวัดอันบาร์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาอาจ “สูญเปล่า”

http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000001261
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่