หงอก ฦ แก้ไขไม่ได้

กระทู้สนทนา
เมื่อกล่าถึงคนคนแพ้หงอก  คนส่วนใหญ่หรือแม้แต่เจ้าตัวก็จะพูดกันว่าป็นเพราะกรรมพันธุ์  ความเป็นจริงสาเหตุเกิดจากความเครียดเพราะหลายสาเหตุ  ความเศร้าโศก ความวิตกกังวล  เหล่านี้นั้นมีต้นต่อเพราะใช้งานสมองความคิดมากจนเกินไปนั่นเอง  สมองส่วนความคิดที่ใช้งานตลอดเวลาไม่ได้รับการพักผ่อน  ทำให้อุณหภูมิขึ้นสูง  ยีนส่วนนี้ทำงานตลอดเวลา  เป็นที่ทราบกันดีว่าสมองทำงานเหมือนกระแสไฟฟ้า  เมื่อทำงานตลอดเวลาไม่ได้พักผ่อนจึงเกิดความร้อนขึ้นสูงตลอดการทำงานของสมองส่วนนั้นๆ  เป็นผลต่อเนื่องทำให้ร่างกายต้องหาทางระบายความร้อนส่วนเกินนี้ออกมาให้ได้  ซึ่งการขจัดความร้อนส่วนสมองก็คือการคายความร้อนจากน้ำร่างกายที่เราเรียกว่าเหงื่อนั่นเอง  ในยามพักผ่อนหลับนอน  คนที่เคลียดมากๆก็จะมีเหงื่อออกบริเวณศรีษะมากทำให้หมอนที่ใช้เปียกและชื่นอับ
คนโบราณภูมิปัญญาชาวบ้านจึงสอนให้ใช้น้ำเย็นๆราดศรีษะก่อนนอนและหลังตื่นนอน  ครั้งละห้าถึงสิบนาทีเพื่อช่วยปัดเป่าอุณภูมิของสมองให้ลดเป็นประจำทุกวัน   อีกวิธีหนึ่งที่กล่าวกันไว้ก็คือใช้หมอนที่หนุนศรีษะนั้นสามารถดูดความชื้นที่เกิดจากศรีษะยามนอนเป็นประจำก็จะช่วยได้มาก  หมอนที่ใช้นุนยัดไม่เหมาะสม  เพราะนุนแม้จะดูดความชื่นได้ดีแต่มีข้อดีว่าเก็บรักษาอุณภูมิไว้ด้วย  จึงกลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดีถ้าใช้ทำหมอนหนุนศรีษะ
เขียนมาเพียงเท่านี้ผู้ที่เห็นช่องทางรวยสามาถนำไปประยุกต์  ผลิตหมอนที่ให้ความเย็นและสามารถขจัดความชื้นพร้อมในตัว  อีกทั้งสามารถทำความสะอาดได้ง่ายด้วย  สำหรับภูมิปัญญาชาวบ้านก็คิดวิธีง่ายๆ  ผลิตหมอนที่สามรถดูดความชื่นและให้ความเย็นโดยหมอนผ้าฝ้าย  ซึ่งปัจจุบันควรหลีกเลี่ยงผ้าฝ้าย  วัสดุที่ใช้ยัดภายในเคยเก็บเป็นความลับของตระกูลอยู่หลายยุคสมัย  จนเมื่อไม่นานมานี้ได้รับการเปิดเผย  เพราะต่างชาติสังเกตเห็นความผิดปกติและให้ความสำคัญเรื่องหงอก  ทั้งญี่ปุ่น เกาหลีต่างหาหนทางแก้ไข  เมื่อนั้นแหละความลับของตระกูลจึงถูกนำมาพัฒนาและเป็นช่องทางทำมาหากินของคัมภีร์วิถีรวย  โดยไม่ต้องไปโพทนาทำสื่อโฆษณาให้สิ้นเปื่อง  พูดยืดยาวจนกล่าวได้ว่าน้ำลายแตกฟองก็ยังติดที่  “เขาใช้วัสดุอะไร”  มันเป็นความจริงหรือแค่พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก?
ชาเป็นเครื่องดื่มของชาวจีนมาตั้งแต่บรรพกาล  เรื่องเล่ามีอยู่ว่ากษัตริย์จีนองค์หนึ่งหรือปราชญ์จีนท่านหนึ่งชื่อเสียงเรียงนามอันใดไม่แน่ชัดต้องไปถาม”กูเกิ้ล”  ขณะผ่อนคล่อยอริยาบทอยู่ภายใต้เก๋งจีนแปดเหลี่ยม  อยากกระหายน้ำเป็นกำลัง  บ่าวไพร่จึงจัดน้ำร้อนๆใส่ถ้วยเดินจากโรงครัวไปเก๋งจีน  ซึ่งระยะทางน่าจะไกลพอสมควรที่จะทำให้น้ำร้อนกลายเป็นน้ำเย็นพอใช้ดื่มได้  ระหว่างทางลมได้หอบใบชาตกลงไปในถ้วยน้ำร้อน  จึงเกิดเป็นเรื่องเล่าขานสืบต่อๆกันมาถึงน้ำมธุรสสวรรค์ประทานแก่มนุษย์
ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีถึงคุณสมบัตินานับประการของชา  ในก่อนยุคล่าอาณานิคม มาโคโปโลก็เคยนำชากลับไปเผยแพร่ให้ชาวตะวันตก  จนถึงยุคล่าอาณานิคมชาก็เป็นหนึ่งในข้ออ้างถึงสาเหตุฉนวนสงความระหว่างจีนและอังกฤษ  เขียนไปได้เรื่อยๆเมื่อพูดถึงชา  อยากเขียนกี่หน้ากระดาษจนเป็นเขียนแต่งตำราขายเป็นอีกช่องทางคัมภีร์วิถีรวย

วกกลับมาถึงความสัมพันธ์ของ ”หงอก หมอน ชา”     ความเกี่ยวโยงกันหากคำในเครื่องหมายตัดหงอกออก ก็คือไม่เอาหงอกท่านที่ติดตามมาถึงตรงนี้ก็น่าจะถึงบางอ้อนะครับ  ผมถือว่าfollowingผมทุกท่านมีความเท่าเทียมความคิดของผม  จึงไม่ต้องชี้โพรงกันให้มากมาย หมอนชาเป็นความลับที่สมัยก่อนเก็บกันเป็นเวลานอน  การใช้หมอนชามีเคล็ดลับในความลับด้วยหากไม่แบให้หมดใส่พุงก็ไม่รักกันจริง  ความลับนี้อันที่จริงก็ไม่น่าเป็นความลับสักเท่าใด  ด้วยสัจจธรรมความจริงก็คือ  ใดใดในโลกล้วนไม่มีความลับ  สักวันหนึ่งความจริงก็จะเปิดเผย  เมื่อไหร่เวลาใดจึงเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่กล่าวความลับจักรวาลยังไม่อาจแพร่งพรายได้ในเวลานี้  น้ำเริ่มท่วมทุ่งได้เวลาเก็บเกี่ยวกันแล้ว  การใช้หมอนชาทุกครั้งที่ใช้ต้องนำไปฆ่าเชื้อโรคและขจัดความชื้นให้ออกให้หมดเท่านั้นเอง  พูดแบบภาษาชาวบ้านและลงทุนต่ำก็คือทุกวันนำออกไปตากแดด ตกบ่ายแก่ๆก็เก็บเข้าให้คลายความร้อนเป็นอันว่านำกลับมา reuse  ทุกๆวัน  
อายุการใช้งาน  ของทุกอย่างย่อมต้องมีอายุการใช้  ไม่ควรเกินสองถึงสามปีแต่หากเก็บใช้รักษาอย่างที่พูดมา  ห้าปีเนี้ยะก็น่าจะพอไหว ว่ากันแบบง่ายๆก็คือสิ้นกลิ่นสิ้นอายุขัยเท่านั้นเอง   ยกเว้นประเภทที่นำมาเป็นของชำร่วยที่ไม่มีวันหมดอายุครับ  สิ่งที่ขาดไม่ได้ที่จำเป็นต้องเน้นเป็นพิเศษคือหมอนมีไว้ใช้หนุนต้นคอไม่ใช่หนุนหัว  ดังนั้นหมอนชาก่อนใช้ต้องจัดรูปร่างทรงให้หนุนต้นคอเป็นประการสำคัญ  ศรีษะแค่เกยให้รับและดูดซึมเหงื่อ  และอย่าลืมเคล็ดน้ำเย็นด้วยนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่