[กระทู้มุงกองทุน] รายงาน NAV ประจำวันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2557

กระทู้คำถาม
สวัสดีพี่ๆมุงกองทุนทุกคนค่าาา  

วันนี้ก็ได้แต่มองดูทำตาปริบๆต่อไปค่ะ


♥♥BBL♥♥


♥♥Krungsri♥♥


♥♥TMB♥♥


♥♥ KBANK & SCB♥♥


♥♥KTB♥♥


♥♥SET  & Other♥♥
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 33
ขอเสริมเรื่องการช่วยตัวประกันของคุณภูติน้อยนะคะ  คือตอนนี้มันค่อนข้างเลยจุดที่จะขายออกไปมากแล้วค่ะ
ถ้าขายแล้วซื้อใหม่  ไม่คุ้มแล้วเพราะบางกองมีค่าธรรมเนียมทั้งซื้อ/ขาย  เราอยากแนะนำ 3 วิธี

1. ถือต่อไป  แต่อย่าไปดู

2. เปิดบัญชีผู้ถือหน่วยลงทุนอีกบัญชีนึง  แล้วซื้อตอนนี้เล่นรอบไป  เอากำไรมาชดเชยการขาดทุน อันนี้ไม่จำเป็น
    ต้องซื้อกองเดิม  อาจเป็นกองอื่นที่ไม่มีค่าธรรมเนียมซื้อขาย  และเด้งแรงค่ะ

3. ดำเนินยุทธการช่วยตัวประกัน   เราได้ลองตั้งโจทย์ว่า  สมมุติเราซื้อกองทุนกองหนึ่ง 100,000 ใน 12 บาท
    จะมีหน่วยลงทุนอยู่ 8,333.33 หน่วย  สมมุติว่าตอนนี้กองนี้ราคา 8 บาท

3.1 หาเงินมาอีก 100,000  ซื้อที่ราคา 8 บาท  ได้หน่วยมา 12,500 บาท  รวมหน่วยลงทุนที่มี  20,833.3333
     ราคาเฉลี่ยจะเหลือ  9.6  บาท

3.2 ถ้ากองนี้รีบาวน์ขึ้นมา  เป็น 8.5 บาท  (ซึ่งพอมีโอกาส)  ให้ขายออกมา 20% หรือ ~4166.67 หน่วย
     ได้เงิน 35,416.67 (ทุนเฉลี่ย 4 หมื่นขาดทุนเกือบ 5 พันบาท)  หน่วยลงทุนจะเหลือ  16,666.67

3.3 ถ้าราคาตกอีก  ให้ซื้อใหม่ที่ราคา 8 บาท (หรือต่ำกว่า)  ด้วยเงิน 35416.67  จะได้หน่วยเพิ่ม 4,427.08
     รวมเป็น 21,093.75  ราคาเฉลี่ยใหม่จะเป็น  9.48  เวลาคิดให้คิดว่าต้นทุนอยู่ที่ 2 แสน

3.4  ทำอย่างนี้ซ้ำอีกรอบนี้ ทุนเฉลี่ยจะลงมาที่ 9.37 ค่ะ  ทำซ้ำไปเรื่อยๆ

เหตุที่ทำได้เพราะตลาดเวลาตกมากๆ ก็จะรีบาวน์  การรีบาวน์รอบละ 0.50 บาท ย่อมเกิดขึ้นง่ายกว่าการรีบาวน์  4 บาท
ดังนั้น  ถ้าเรารอรีบาวน์ทีเดียว  คงเกิดขึ้นได้ยากมากยกเว้นแต่ใช้เวลาหลายปี  เราว่าอย่างน้อย 2-3  ปี  ซึ่งถ้าเรารับแรงกดดัน
ตรงนี้ได้  ก็ทำแบบข้อ 1  ถ้ารับไม่ได้และพอมีเงินบ้าง  ก็ทำแบบข้อ 2-3

ปัญหาของข้อ 2,3  เท่าที่เราคิดออกคือ
1. เงินหมดแล้ว  
2. ใจเสียไม่อยากยุ่งกับกองหุ้นแล้ว  
3. ถ้าเกิดซื้อที่ 8 บาท แล้วมันยังลงอีก  ทีนี้ทำไง   ปัญหานี้แก้ยากบอกตรงๆ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
จากการทดลอง ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุน
1.การกระจายทรัพย์สิน 2.การเลือกเวลาเข้าซื้อและขาย 3.การเลือกหุ้น
ปรากฏว่า 90% ข้อ 1 ชนะ (ข้อ 2+3 อาจจะทำยากเลยทำให้แพ้ไป อันนี้คิดเอง)
วันนี้เลยขอคุยเรื่องการกระจายทรัพย์สิน

ทฤษฏีแรก วิธีมีเงินใช้สำหรับคนเกษียณ ในช่วงปลายชีวิต
สมมุติว่าเรามีเงิน 5 ล้าน ให้แบ่ง เป็น 6 ส่วน
ส่วนแรก ไว้ในเงินฝาก 1.4 ล้าน แล้วเบิกมาใช้เดือนละ 23000 บาท ครบ 5 ปี เงินฝาก+ดอกเบี้ย ก็จะหมดพอดี
ส่วนที่สอง ไว้ในพันธบัตร 1.3 ล้าน เบิกมาใช้ในปีที่ 6-10
ส่วนที่สาม ไว้ในหุ้นปันผล 1 ล้าน เบิกมาใช้ในปีที่ 11-15
ส่วนที่สี่ ไว้ในหุ้นบิ๊กแค็ป 6.5 แสน ใช้ปีที่ 16-20
ส่วนที่ห้า ไว้ในหุ้นสมอลล์แค็ป 3.5 แสน ใช้ปีที่ 21-25
ส่วนที่หก ไว้ในการลงทุนทางเลือก (เข้าใจว่า สินค้าโภคภัณฑ์) 3 แสน ใช้ปีที่ 25+

ทฤษฏีที่สอง 4% rule คือให้ดึงเงินออกมาจากพอร์ต ปีละ 4%+เงินเฟ้อ (ประมาณ 3%)
คือให้ดึงเงินออกมาปีละประมาณ 7% พอร์ตที่เหลือจะสามารถสร้างรายได้ชดเชยส่วนที่หายไปได้

ทฤษฎีที่สาม (อันนี้ผมชอบที่สุด) แบ่งพอร์ตออกเป็น 3 ส่วน ส่วนละ 20% รวม 60%
1.กองหุ้นไทยและภูมิภาค (ตลาดกำลังพัฒนา)
2.กองหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว
3.กองตราสารหนี้
ส่วนที่เหลืออีก 40% ให้วิ่งไปมาใน 3 กองนี้ เช่น ปีนี้กองหุ้นไทยดี ก็ให้ลงในข้อ 1=20%+40%
หรืออย่างปีหน้า กองที่ 2 ดี ก็ให้ลงกองสองสำหรับ =20%+40%
หรือในกรณีที่ 1 ไม่ดี แบบตอนนี้ จะเฉลี่ยลง กอง 2+3 อย่างละ 20% ก็ได้ (โดยที่กอง 1 ยังคงสัดส่วน 20% ไว้)

ผมมาลองคิดต่อ โดยปรับจากแนวคิดด้านบน
1.แบ่งพอร์ตออกเป็นสามส่วน ส่วนละ 25%
2.แต่ละส่วนให้เลือกกองทุนได้ไม่เกิน 3 กอง ที่นโยบายการลงทุนแตกต่างกัน เช่น
   2.1 กองหุ้นไทย+กอง merging Markets Equity หรือ กองจีน
   2.2 กองหุ้นต่างประเทศ เช่น กอง s&p500+กองยุโรป+กองญี่ปุ่น+กอง World Equity Index
   2.3 กองตราสารหนี้ หรือกองทุนอื่นๆ เช่น bcare ,T-PREMIUM BRAND
3.ส่วนที่เหลืออีก 25% ให้เลือกลงทุนโดยอิสระ


ผลการวิจัยของ มอร์แกนฯ บอกว่าปี 2014 สหรัฐให้คงสัดส่วนการลงทุนไว้
ตลาดพัฒนาแล้ว (ญี่ปุ่น+ยุโรป) ให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุน
และสุดท้าย ตลาดกำลังพัฒนา ให้ลดสัดส่วนการลงทุน

ปีหน้าอินโด จะมาแรงแซงไทย เพราะ
1.ประชากรมีมากกว่า อินโดมี 280 ล้านคน
2.ค่าแรงอินโดถูกกว่าไทยครึ่งหนึ่ง
3.น้ำมันเบนซิน อินโด ลิตรละ 19 บาท ดีเซล ลิตรละ 16 บาท

ตอนนี้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไป 33 บาท จะเห็นว่า ต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อ
เพราะสองสาเหตุ 1.กำไรจากค่าเงินที่อ่อนค่า+2.กำไรจากตลาดที่ปรับฐานลงมา
จะเห็นว่า กองทุนต่างชาติจะใช้กลยุทธ์ ทยอยซื้อ และทยอยขาย ตลอด

ส่วนเรื่องการเมือง ไม่ต้องกังวลครับ ชิวๆ ถ้าค่าเงินบาทเรายังอ่อนค่าไปเรื่อยๆ
(ตอน set 1600 ค่าเงินบาทอยู่ที่ 29.13 บาท มากกว่าตอนนี้ 4-5 บาท ค่าเงินบาทที่มาตราฐานคือ 32 บาท)
เพราะตอนน้ำท่วม ปี 2011 ตลาดเราก็ยัง +ได้ 0+10%
ตอนเผากรุงเทพปี 2010 ตลาดเราก็ยังขึ้นได้ +40%+50%

ทำเป็นช่วงเวลาผลตอบแทน +/- ตลอด 39 ปี ของตลาดหุ้นไทย
กำไร 22 ครั้ง ขาดทุน 17 ครั้ง คิดเป็น 56%/44%
ขาดทุนมากสุด 0-10% ขาดทุน 6 ครั้ง คิดเป็น 35% ของการขาดทุนทั้งหมด
ขาดทุนรองลงมาคือ -10-20% ขาดทุน 5 ครั้ง คิดเป็น 29% ของการขาดทุนทั้งหมด
สองข้อรวมกัน 0-20% จะเท่ากับขาดทุน 11 ครั้ง คิดเป็น 65% ของการขาดทุนทั้งหมดเกินกว่าครึ่งหนึ่ง

ถ้าดูตามตัวเลข ตลาดไม่น่าจะลงเกินกว่า 20%
(-10% อยู่ที่ 1168.84 จุด /-20% อยู่ที่ 1038.97 จุด)

(ขอโทษที่ตัวเลข set ไม่เป๊ะ เพราะไม่มีเวลาหาข้อมูล เลยได้แต่ทำข้อมูลเป็นช่วง)

สำหรับคนที่ติดดอยอยู่ ถ้าตอนนี้หมดแรง ก็พักไว้ก่อน รอสถานการณ์คลี่คลาย อาจจะใช้เวลานานสักหน่อย
ส่วนใครที่คันไม้คันมือแนะนำให้ใช้วิธีช่วยตัวประกันครับ
คือรอ set รีบาวน์กลับ ไปสัก 5% แล้วขายออกมาถือเงินไว้สัก 20%
พอ set ตกลงมาสัก 5% ทยอยซื้อเข้าไปทีละ 10% ครับ จะทำให้ดอยต่ำลงได้

หุ้นไทยตอนนี้เหมือนรถที่อยู่ในอู่ยังไม่รู้จะออกเมื่อไหร่ ใครที่กลัวตกรถ ก็ขึ้นไปนั่งรอก่อน
โดยลงขั้นต่ำ 20-25% ส่วนใครที่ยังไม่ไว้ใจรอให้คนขับสตาร์ทเครื่อง แล้วเราค่อยโดดขึ้นก็ได้
เพี้ยนฝันดี
          เป็นการง่าย ยิ้มได้ ไม่ต้องฝืน
          เมื่อชีพชื่น เหมือนบรรเลง เพลงสวรรค์
          แต่คน ที่ควรชม นิยมกัน
          ต้องใจมั่น ยิ้มได้ เมื่อภัยมา

                                             หลวงวิจิตรวาทการ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่