2 ปีก่อน ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ที่มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผมเป็นอย่างมาก ต้องขอโทษจริงๆ ที่ผมจำชื่อหนังสือเล่มนั้นไม่ได้ แต่เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ ได้พูดถึง การมุ่งสู่ “อิสรภาพทางการเงิน” คำหอมหวาน ที่หลายๆ คนมักชอบพูดถึงกัน โดยหนังสือเล่มนั้น มีการพูดถึง ส่วนประกอบของ ความเป็น อิสรภาพทางการเงิน ซึ่งประกอบไปด้วย 3 อิสรภาพ นั่นก็คือ
1) อิสรภาพทางการเงิน คือ มีสินทรัพย์ หรือ การลงทุน ที่สามารถสร้างรายได้ ได้เพียงพอ ต่อ รายจ่าย ของคนผู้นั้น
2) อิสรภาพทางเวลา คือ อยู่เหนือข้อจำกัดในด้านเวลา เช่น ไม่ต้องเข้างาน 8 โมงเช้า เลิกงาน 5 โมงเย็น อยากไปไหนเมื่อไหร่ก็ไปได้
3) อิสรภาพทางความคิด คือ สามารถทำในสิ่งที่ ตัวเองคิด ตัวเองฝัน ได้อย่างอิสระ ไม่ต้องคอยฟังคำสั่งจากใคร
จาก 3 ข้อ ที่กล่าวมานั้น ข้อที่น่าจะเป็นข้อที่สำคัญที่สุด ก็คงหนีไม่พ้น อิสรภาพทางการเงิน เพราะเมื่อมี อิสรภาพทางการเงิน แล้ว อีก 2 ข้อ ก็คงจะตามมาได้อย่างไม่ยาก ดังนั้น เมื่อหลายๆคน พูดถึงเรื่องนี้ ก็จะพูดรวมๆ ไปว่า “อิสรภาพทางการเงิน” นั่นเอง
ก่อนจะกล่าวต่อไป ผมขอพูดถึงตัวการ์ตูนตัวหนึ่ง ที่มีความเกี่ยวข้องกับคำว่า อิสรภาพ ซักหน่อย (จริงๆ แล้ว ผมก็เป็นนักอ่านการ์ตูน ตัวยง คนหนึ่งเหมือนกันครับ... ) ตัวการ์ตูนตัวนี้ มีชื่อว่า มาเอดะ เคย์จิ... มาเอดะ เคย์จิ เป็นนักรบที่มีความเก่งกล้าสามารถอย่างหาตัวจับได้ยาก ว่ากันว่า เขาสามารถขี่ม้าตัวใหญ่ยักษ์ นำพาทหารในสังกัดจำนวนเพียงไม่กี่คน บุกทะลวงฝ่าเข้าไปทำลายใจกลางทัพนับหมื่นของศัตรูได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ มาเอดะ เคย์จิ คนนี้ ยึดถือไว้มากที่สุดในชีวิตของเขา นั่นก็คือ การได้ใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ สามารถทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ไม่ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของใคร ในสมัยนั้น ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในญี่ปุ่น ก็คือ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ชื่อ ฮิเดโยชิ... ฮิเดโยชิปรารถนาที่จะได้ มาเอดะ เคย์จิ มาเป็นทหารคู่กายเป็นอย่างมาก ถึงกับออกปากชักชวนอยู่หลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง เคย์จิ ตอบปฏิเสธคำชักชวนของ ฮิเดโยชิ ต่อหน้าขุนนางหลายๆ คน จนเหล่าขุนนางคิดกันไปว่า เขาจะต้องถูกตัดหัวแน่ๆ เพราะว่าเป็นการฉีกหน้า ฮิเดโยชิ อย่างร้ายแรง แต่กลับกลายเป็นตรงกันข้าม ฮิเดโยชิ กลับหัวเราะชอบใจในความเด็ดเดี่ยวของ เคย์จิ พร้อมกับถามว่า ใช้ชีวิตอิสระ ไม่เกรงใจใครแบบนี้ ไม่กลัวตายเร็วรึไง ?... เคย์จิ ตอบกลับไปว่า
“คนอย่างข้าหากถูกฆ่าตายก็ไม่นึกเสียใจภายหลังแน่ ขอเพียงมีชีวิตที่เป็นอิสระก็เพียงพอแล้ว”
มีอีกครั้งหนึ่ง ฮิเดโยชิ กำลังอยู่ในช่วงขยายอำนาจ ต้องการผู้มีฝีมือมาร่วมงานเพิ่ม จึงได้มาชักชวน เคจิย์ อีกครั้ง ครั้งนี้ ฮิเดโยชิ ชูนิ้ว (นิ้วชี้ ^ ^’) ให้ เคย์จิ 1 นิ้ว แล้วถามว่า เท่านี้ พอไหม ?... บรรดา เพื่อนๆ ของ เคย์จิ ล้วนตกใจ เนื่องจาก ทราบว่า ความหมายของ 1 นิ้ว นั่นก็คือ ศักดินา 1 ล้านโกะคุ ซึ่งนับว่าอยู่ในระดับที่สูงที่สุดของบรรดาขุนนางทั้งหมดในขณะนั้น ... แต่ เคย์จิ กลับชูนิ้วกลับไป 3 นิ้ว แล้วตอบว่า
“คนเรา ในวันนึงๆ กินข้าวแค่ 3 มื้อ ก็นับว่าอิ่มท้องแล้ว ยังจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีก”
กลับเข้าสู่เรื่อง อิสรภาพทางการเงิน กันอีกครั้งนะครับ ^ ^ สำหรับตัวเจ้าของกระทู้ ปัจจุบันอายุ 36 ปี เคยผ่านการใช้ชีวิตมาแล้ว หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ เป็น พนักงานบริษัทเอกชน พนักงานแบงค์ ขายของตลาดนัด จนถึง เคยเป็น เด็กเสิร์ฟในร้านอาหาร... หลังจากได้ใช้ชีวิตผ่านมาจนถึงจุดนี้ ผมบอกได้เลยว่า สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความสุขได้มากที่สุด ไม่ใช่ การมีเงินเยอะๆ ได้ซื้อของแพงๆ ได้ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง หรือ มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง มีหน้ามีตาในสังคม แต่สิ่งที่ทำให้ชีวิตเราพบกับความสุขที่แท้จริงได้ นั่นก็คือ การมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต (สำหรับเรื่องนี้ หลายๆ คนอาจไม่เห็นด้วยกับผม อย่างเช่น คนที่มีลูกแล้ว หรือ อยากจะมีลูก อาจบอกว่า ความสุขของพวกเขาคือ การที่ได้อยู่เพื่อลูก ซึ่งอันนี้ผมไม่เถียง เพราะ ความสุขในชีวิตของคนเราไม่เหมือนกัน และก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับพวกเขาที่คิดเช่นนั้น เพราะ ส่วนใหญ่เท่าที่ผมเห็น พวกเขาเหล่านั้นจะมี “ลูก” เป็นแรงขับเคลื่อนให้ไปสู่เป้าหมายความสำเร็จในชีวิต เหมือนที่บางคนบอกว่า ทำงานเหนื่อยแทบตาย กลับมาถึงบ้าน ก็หายเหนื่อยได้ทันที เมื่อได้เห็นหน้าลูก)
นอกจากนั้น หนังสือ เล่มนี้ ยังได้กล่าวถึง รายได้จาก 4 ทาง (ตามที่หลายๆ คนน่าจะรู้จักกันแล้วในเรื่อง เงิน 4 ด้าน) นั่นก็คือ
E – หมายถึง การเป็นลูกจ้างบริษัท หรือ มนุษย์เงินเดือน
S – หมายถึง การเป็นนายจ้างตัวเอง เช่น ทำกับข้าวขาย หรือ หาของมาขายตามตลาด ตามอินเตอร์เน็ต
B – หมายถึง การเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือ เจ้าของกิจการ
I – หมายถึง การลงทุนทางการเงิน ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ แต่ที่เป็นที่นิยมกัน ก็คือ การลงทุนใน ตลาดทุน ตลาดเงิน เช่น หุ้น หรือ กองทุนรวม เป็นต้น
(จะเห็นว่า B กับ S นั้นมีส่วนคล้ายกันในแง่ของการที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ B จะต่างจาก S คือ ไม่เน้นลงมือทำเอง แต่ต้องคุมคนงาน หรือ สร้างเครือข่าย... สำหรับ B ถ้าใหญ่หน่อยก็เป็นพวก ธุรกิจโรงงาน ถ้าไม่ใหญ่มากก็เป็นพวก ธุรกิจแฟรนไชน์ หรือ ธุรกิจเครือข่าย)
ทั้งนี้ เมื่อย้อนกลับมามองเป้าหมายในเรื่อง อิสรภาพทางการเงิน ที่เราพูดถึงกันอยู่ ว่าใน 4 อันนี้ อันไหนที่น่าจะตอบโจทย์ ในเรื่อง อิสรภาพทางการเงิน ได้มากที่สุด
คำตอบที่ได้จากสามัญสำนึก จะตอบได้ว่า I น่าจะเป็นข้อที่สามารถตอบโจทยได้มากที่สุด และในทางตรงกันข้าม E ก็น่าจะเป็นข้อที่ไม่สามารถตอบโจทย์ได้มากที่สุดเช่นกัน ส่วน S กับ B นั้น ไม่แน่… ขึ้นกับว่า ธุรกิจของคุณ ดึงเอาอิสรภาพ ออกไปจากตัวคุณมากน้อยแค่ไหน
ดังนั้น สิ่งที่ผู้ใฝ่หา อิสรภาพทางการเงิน ควรที่จะต้องทำ ก็คือ การเดินออกจาก รายได้ทางด้าน E แล้ว หาทางเพิ่มรายได้จากด้าน I ให้ได้มากที่สุด ส่วน รายได้จาก S กับ B นั้น ก็ควรจะต้องมีอยู่ด้วย แต่จะเลือกอันใดนั้น ผมตอบแทนไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับ ข้อจำกัด และต้นทุนชีวิต ของแต่ละคน
2 ปี ที่แล้ว ผมเป็นคนที่มีรายได้มาจากด้าน E เพียงอย่างเดียว
แต่หลังจากที่อ่านหนังสือเล่มนั้น ปัจจุบัน ผมสามารถผันตัวเองออกจากด้าน E ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ส่วนรายละเอียดในการเปลี่ยนแปลง ผมคงจะไม่กล่าวถึงในที่นี้ เพราะจะทำให้กระทู้มันยาวเกินไป เอาเป็นว่า ผมเปลี่ยนตัวเอง จาก E มาเป็น I + S ละกันครับ
สิ่งที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่ง ที่จะคอยขัดขวาง การมีอิสรภาพทางการเงิน นั่นก็คือ ปัญหาด้านรายจ่าย ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะสามารถหารายได้ มาได้มากแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้ายังคงน้อยกว่ารายจ่ายอยู่ เราก็ไม่สามารถที่จะมี อิสรภาพทางการเงิน ได้อยู่ดี
ดังนั้น สิ่งที่ผมอยากให้ผู้ที่ต้องการมีอิสรภาพทางการเงิน หลีกเลี่ยงไว้ นั่นก็คือ การสร้างรายจ่ายผูกพันในระยะยาว เช่นการผ่อนอะไรที่นานๆ เพราะนั่นเท่ากับทำให้คุณเข้าหา อิสรภาพทางการเงิน ได้ยากยิ่งขึ้น ซ้ำร้าย นั่นยังอาจทำให้คุณต้องติดอยู่ในวังวนของการต้องพึ่งพาเงินเดือนประจำ ไปอีกนานแสนนาน นอกจากนี้ การเลือกคู่ชีวิต ก็มีส่วนสำคัญไม่น้อย เมื่อสมัยเด็กๆ เรามักใช้ หัวใจ เป็นตัวตัดสินในการที่จะมองหาคู่ แต่เมื่อเราโตขึ้น เราอาจใช้ หัวใจ + สมอง ในการตัดสินใจในเรื่องนี้ เช่น ถ้าเราหาคู่ชีวิตที่มีแนวคิดทางการเงินเหมือนกัน หรือ มีไลฟ์สไตล์ คล้ายๆ กัน นั้น บางครั้งการที่คน 2 คน ชอบทำกิจกรรมแบบเดียวกัน ก็อาจช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ในการดำเนินชีวิตไปได้เช่นกัน
สุดท้าย ปีใหม่นี้ ขอฝากข้อคิดดีๆ ที่ผมเคยได้ฟังมาโดยบังเอิญ แต่ผมคิดว่า.. นี่แหละ... คือสัจธรรมที่แท้จริง ของชีวิตมนุษย์
“มี 2 สิ่ง ในชีวิตเรา ที่มีอยู่จริง และเป็นสิ่งที่เรารับรู้ได้อยู่ตลอด
นั่นก็คือ ความสุข กับ ความทุกข์
ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความทุกข์ก็เช่นกัน
ขอให้ทุกคนหาให้เจอว่า ความสุขในชีวิตของ ตนนั้น คืออะไร…
แล้วหาแนวทาง มุ่งไปสู่ความสุขนั้น
พร้อมกับหลีกเลี่ยง สิ่งที่จะก่อให้เกิดความทุกข์
เพื่อให้ความสุขนั้น อยู่กับเราได้ตราบนานเท่านาน...”
อิสรภาพ... ความสุขที่แท้จริงของชีวิต
1) อิสรภาพทางการเงิน คือ มีสินทรัพย์ หรือ การลงทุน ที่สามารถสร้างรายได้ ได้เพียงพอ ต่อ รายจ่าย ของคนผู้นั้น
2) อิสรภาพทางเวลา คือ อยู่เหนือข้อจำกัดในด้านเวลา เช่น ไม่ต้องเข้างาน 8 โมงเช้า เลิกงาน 5 โมงเย็น อยากไปไหนเมื่อไหร่ก็ไปได้
3) อิสรภาพทางความคิด คือ สามารถทำในสิ่งที่ ตัวเองคิด ตัวเองฝัน ได้อย่างอิสระ ไม่ต้องคอยฟังคำสั่งจากใคร
จาก 3 ข้อ ที่กล่าวมานั้น ข้อที่น่าจะเป็นข้อที่สำคัญที่สุด ก็คงหนีไม่พ้น อิสรภาพทางการเงิน เพราะเมื่อมี อิสรภาพทางการเงิน แล้ว อีก 2 ข้อ ก็คงจะตามมาได้อย่างไม่ยาก ดังนั้น เมื่อหลายๆคน พูดถึงเรื่องนี้ ก็จะพูดรวมๆ ไปว่า “อิสรภาพทางการเงิน” นั่นเอง
ก่อนจะกล่าวต่อไป ผมขอพูดถึงตัวการ์ตูนตัวหนึ่ง ที่มีความเกี่ยวข้องกับคำว่า อิสรภาพ ซักหน่อย (จริงๆ แล้ว ผมก็เป็นนักอ่านการ์ตูน ตัวยง คนหนึ่งเหมือนกันครับ... ) ตัวการ์ตูนตัวนี้ มีชื่อว่า มาเอดะ เคย์จิ... มาเอดะ เคย์จิ เป็นนักรบที่มีความเก่งกล้าสามารถอย่างหาตัวจับได้ยาก ว่ากันว่า เขาสามารถขี่ม้าตัวใหญ่ยักษ์ นำพาทหารในสังกัดจำนวนเพียงไม่กี่คน บุกทะลวงฝ่าเข้าไปทำลายใจกลางทัพนับหมื่นของศัตรูได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ มาเอดะ เคย์จิ คนนี้ ยึดถือไว้มากที่สุดในชีวิตของเขา นั่นก็คือ การได้ใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ สามารถทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ไม่ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของใคร ในสมัยนั้น ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในญี่ปุ่น ก็คือ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ชื่อ ฮิเดโยชิ... ฮิเดโยชิปรารถนาที่จะได้ มาเอดะ เคย์จิ มาเป็นทหารคู่กายเป็นอย่างมาก ถึงกับออกปากชักชวนอยู่หลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง เคย์จิ ตอบปฏิเสธคำชักชวนของ ฮิเดโยชิ ต่อหน้าขุนนางหลายๆ คน จนเหล่าขุนนางคิดกันไปว่า เขาจะต้องถูกตัดหัวแน่ๆ เพราะว่าเป็นการฉีกหน้า ฮิเดโยชิ อย่างร้ายแรง แต่กลับกลายเป็นตรงกันข้าม ฮิเดโยชิ กลับหัวเราะชอบใจในความเด็ดเดี่ยวของ เคย์จิ พร้อมกับถามว่า ใช้ชีวิตอิสระ ไม่เกรงใจใครแบบนี้ ไม่กลัวตายเร็วรึไง ?... เคย์จิ ตอบกลับไปว่า
“คนอย่างข้าหากถูกฆ่าตายก็ไม่นึกเสียใจภายหลังแน่ ขอเพียงมีชีวิตที่เป็นอิสระก็เพียงพอแล้ว”
มีอีกครั้งหนึ่ง ฮิเดโยชิ กำลังอยู่ในช่วงขยายอำนาจ ต้องการผู้มีฝีมือมาร่วมงานเพิ่ม จึงได้มาชักชวน เคจิย์ อีกครั้ง ครั้งนี้ ฮิเดโยชิ ชูนิ้ว (นิ้วชี้ ^ ^’) ให้ เคย์จิ 1 นิ้ว แล้วถามว่า เท่านี้ พอไหม ?... บรรดา เพื่อนๆ ของ เคย์จิ ล้วนตกใจ เนื่องจาก ทราบว่า ความหมายของ 1 นิ้ว นั่นก็คือ ศักดินา 1 ล้านโกะคุ ซึ่งนับว่าอยู่ในระดับที่สูงที่สุดของบรรดาขุนนางทั้งหมดในขณะนั้น ... แต่ เคย์จิ กลับชูนิ้วกลับไป 3 นิ้ว แล้วตอบว่า
“คนเรา ในวันนึงๆ กินข้าวแค่ 3 มื้อ ก็นับว่าอิ่มท้องแล้ว ยังจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีก”
กลับเข้าสู่เรื่อง อิสรภาพทางการเงิน กันอีกครั้งนะครับ ^ ^ สำหรับตัวเจ้าของกระทู้ ปัจจุบันอายุ 36 ปี เคยผ่านการใช้ชีวิตมาแล้ว หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ เป็น พนักงานบริษัทเอกชน พนักงานแบงค์ ขายของตลาดนัด จนถึง เคยเป็น เด็กเสิร์ฟในร้านอาหาร... หลังจากได้ใช้ชีวิตผ่านมาจนถึงจุดนี้ ผมบอกได้เลยว่า สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความสุขได้มากที่สุด ไม่ใช่ การมีเงินเยอะๆ ได้ซื้อของแพงๆ ได้ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง หรือ มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง มีหน้ามีตาในสังคม แต่สิ่งที่ทำให้ชีวิตเราพบกับความสุขที่แท้จริงได้ นั่นก็คือ การมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต (สำหรับเรื่องนี้ หลายๆ คนอาจไม่เห็นด้วยกับผม อย่างเช่น คนที่มีลูกแล้ว หรือ อยากจะมีลูก อาจบอกว่า ความสุขของพวกเขาคือ การที่ได้อยู่เพื่อลูก ซึ่งอันนี้ผมไม่เถียง เพราะ ความสุขในชีวิตของคนเราไม่เหมือนกัน และก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับพวกเขาที่คิดเช่นนั้น เพราะ ส่วนใหญ่เท่าที่ผมเห็น พวกเขาเหล่านั้นจะมี “ลูก” เป็นแรงขับเคลื่อนให้ไปสู่เป้าหมายความสำเร็จในชีวิต เหมือนที่บางคนบอกว่า ทำงานเหนื่อยแทบตาย กลับมาถึงบ้าน ก็หายเหนื่อยได้ทันที เมื่อได้เห็นหน้าลูก)
นอกจากนั้น หนังสือ เล่มนี้ ยังได้กล่าวถึง รายได้จาก 4 ทาง (ตามที่หลายๆ คนน่าจะรู้จักกันแล้วในเรื่อง เงิน 4 ด้าน) นั่นก็คือ
E – หมายถึง การเป็นลูกจ้างบริษัท หรือ มนุษย์เงินเดือน
S – หมายถึง การเป็นนายจ้างตัวเอง เช่น ทำกับข้าวขาย หรือ หาของมาขายตามตลาด ตามอินเตอร์เน็ต
B – หมายถึง การเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือ เจ้าของกิจการ
I – หมายถึง การลงทุนทางการเงิน ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ แต่ที่เป็นที่นิยมกัน ก็คือ การลงทุนใน ตลาดทุน ตลาดเงิน เช่น หุ้น หรือ กองทุนรวม เป็นต้น
(จะเห็นว่า B กับ S นั้นมีส่วนคล้ายกันในแง่ของการที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ B จะต่างจาก S คือ ไม่เน้นลงมือทำเอง แต่ต้องคุมคนงาน หรือ สร้างเครือข่าย... สำหรับ B ถ้าใหญ่หน่อยก็เป็นพวก ธุรกิจโรงงาน ถ้าไม่ใหญ่มากก็เป็นพวก ธุรกิจแฟรนไชน์ หรือ ธุรกิจเครือข่าย)
ทั้งนี้ เมื่อย้อนกลับมามองเป้าหมายในเรื่อง อิสรภาพทางการเงิน ที่เราพูดถึงกันอยู่ ว่าใน 4 อันนี้ อันไหนที่น่าจะตอบโจทย์ ในเรื่อง อิสรภาพทางการเงิน ได้มากที่สุด
คำตอบที่ได้จากสามัญสำนึก จะตอบได้ว่า I น่าจะเป็นข้อที่สามารถตอบโจทยได้มากที่สุด และในทางตรงกันข้าม E ก็น่าจะเป็นข้อที่ไม่สามารถตอบโจทย์ได้มากที่สุดเช่นกัน ส่วน S กับ B นั้น ไม่แน่… ขึ้นกับว่า ธุรกิจของคุณ ดึงเอาอิสรภาพ ออกไปจากตัวคุณมากน้อยแค่ไหน
ดังนั้น สิ่งที่ผู้ใฝ่หา อิสรภาพทางการเงิน ควรที่จะต้องทำ ก็คือ การเดินออกจาก รายได้ทางด้าน E แล้ว หาทางเพิ่มรายได้จากด้าน I ให้ได้มากที่สุด ส่วน รายได้จาก S กับ B นั้น ก็ควรจะต้องมีอยู่ด้วย แต่จะเลือกอันใดนั้น ผมตอบแทนไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับ ข้อจำกัด และต้นทุนชีวิต ของแต่ละคน
2 ปี ที่แล้ว ผมเป็นคนที่มีรายได้มาจากด้าน E เพียงอย่างเดียว
แต่หลังจากที่อ่านหนังสือเล่มนั้น ปัจจุบัน ผมสามารถผันตัวเองออกจากด้าน E ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ส่วนรายละเอียดในการเปลี่ยนแปลง ผมคงจะไม่กล่าวถึงในที่นี้ เพราะจะทำให้กระทู้มันยาวเกินไป เอาเป็นว่า ผมเปลี่ยนตัวเอง จาก E มาเป็น I + S ละกันครับ
สิ่งที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่ง ที่จะคอยขัดขวาง การมีอิสรภาพทางการเงิน นั่นก็คือ ปัญหาด้านรายจ่าย ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะสามารถหารายได้ มาได้มากแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้ายังคงน้อยกว่ารายจ่ายอยู่ เราก็ไม่สามารถที่จะมี อิสรภาพทางการเงิน ได้อยู่ดี
ดังนั้น สิ่งที่ผมอยากให้ผู้ที่ต้องการมีอิสรภาพทางการเงิน หลีกเลี่ยงไว้ นั่นก็คือ การสร้างรายจ่ายผูกพันในระยะยาว เช่นการผ่อนอะไรที่นานๆ เพราะนั่นเท่ากับทำให้คุณเข้าหา อิสรภาพทางการเงิน ได้ยากยิ่งขึ้น ซ้ำร้าย นั่นยังอาจทำให้คุณต้องติดอยู่ในวังวนของการต้องพึ่งพาเงินเดือนประจำ ไปอีกนานแสนนาน นอกจากนี้ การเลือกคู่ชีวิต ก็มีส่วนสำคัญไม่น้อย เมื่อสมัยเด็กๆ เรามักใช้ หัวใจ เป็นตัวตัดสินในการที่จะมองหาคู่ แต่เมื่อเราโตขึ้น เราอาจใช้ หัวใจ + สมอง ในการตัดสินใจในเรื่องนี้ เช่น ถ้าเราหาคู่ชีวิตที่มีแนวคิดทางการเงินเหมือนกัน หรือ มีไลฟ์สไตล์ คล้ายๆ กัน นั้น บางครั้งการที่คน 2 คน ชอบทำกิจกรรมแบบเดียวกัน ก็อาจช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ในการดำเนินชีวิตไปได้เช่นกัน
สุดท้าย ปีใหม่นี้ ขอฝากข้อคิดดีๆ ที่ผมเคยได้ฟังมาโดยบังเอิญ แต่ผมคิดว่า.. นี่แหละ... คือสัจธรรมที่แท้จริง ของชีวิตมนุษย์
“มี 2 สิ่ง ในชีวิตเรา ที่มีอยู่จริง และเป็นสิ่งที่เรารับรู้ได้อยู่ตลอด
นั่นก็คือ ความสุข กับ ความทุกข์
ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความทุกข์ก็เช่นกัน
ขอให้ทุกคนหาให้เจอว่า ความสุขในชีวิตของ ตนนั้น คืออะไร…
แล้วหาแนวทาง มุ่งไปสู่ความสุขนั้น
พร้อมกับหลีกเลี่ยง สิ่งที่จะก่อให้เกิดความทุกข์
เพื่อให้ความสุขนั้น อยู่กับเราได้ตราบนานเท่านาน...”