ภาคเอกชน รุก “เลิกแร่ใยหิน” ผู้บริโภคมีสิทธิเลือก

กระทู้ข่าว
ภาคเอกชน รุก “เลิกแร่ใยหิน” ผู้บริโภคมีสิทธิเลือก ขณะที่ ศูนย์ข้อมูลไครโซไทล์ ย้ำจุดยืน เดินหน้าเสนอข้อเท็จจริง “แร่ใยหิน” ขณะที่ภาควิชาการพบข้อมูลใหม่ ตัวเลขผู้ป่วยจริงในไทยอาจสูงถึง 1 พันราย

ภาคเอกชนหลายรายหันมาตระหนักถึงอันตรายและพิษภัยของ “แร่ใยหิน” ส่วนประกอบในวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง โดยเฉพาะกระเบื้องมุงหลังคา และท่อซีเมนต์ ที่เป็นสาเหตุสำคัญในโรคระบบทางเดินหายใจในมนุษย์ และร้ายแรงถึงกับการเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเยื้อหุ้มปอด โดยมีผลสรุปจากภาควิชาการตลอดจนการออกมายืนยันถึงอันตรายที่เกิดขึ้น จากองค์การอนามัยโลก WHO แห่งสหประชาชาติ กับการยกเลิกไปแล้วก่อนหน้านี้กว่า 50 ประเทศ โดยมี “ฮ่องกง” เป็นเมืองใหญ่ล่าสุด ที่มีผลบังคับใช้ทางกฏหมายอย่างเป็นรูปธรรมเกี่ยวกับการให้แร่ใยหินเป็นสารอันตราย ขณะที่ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีการใช้แร่ใยหินอย่างแพร่หลาย จนมีมติคณะรัฐมนตรีในปี 2554 ที่ให้มีการยกเลิกการใช้แร่ใยหิน แต่ยังไม่เป็นผลในทางบังคับใช้เท่าที่ควร

ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแร่ใยหิน จึงถูกกำหนดให้มี “ฉลาก”เพื่อเตือนให้ผู้บริโภคได้รับทราบถึงอันตรายจากการใช้ และเป็น“มาตรฐานเดียว” ที่จะช่วยให้ประชาชน และกลุ่มผู้ใช้แรงงานปลอดภัยจากโรคร้ายเกี่ยวกับทางเดินหายใจ และโรคมะเร็งเยื้อหุ้มปอด ที่ร้ายแรงจนทำให้มีผู้เสียชีวิตที่ตรวจพบแล้วในประเทศไทย กำลังเป็นกระแสให้ภาคเอกชนหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ค้าวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง รวมถึง ภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ตระหนักถึงกระแส CSR และธรรมาภิบาลในส่วนของความรับผิดชอบต่อสังคม ขณะที่ร้านค้าวัสดุก่อสร้างเริ่มตื่นตัว และหันมาแนะนำลูกค้าให้เลือกสินค้าที่ปลอดจากแร่ใยหิน เพราะมีความปลอดภัยและราคาไม่ต่างกัน

สมมาก อ้วนสกุลเสรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรายทอง วัสดุภัณฑ์ จำกัด กล่าวว่า ทางร้านเน้นขายกระเบื้อง และฝ้า ที่ปลอดใยหิน เพราะรู้ว่าแร่ใยหินทำลายระบบทางเดินหายใจ มีสารก่อมะเร็ง ทำให้เกิดภูมิแพ้ และแนะนำลูกค้าให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดแร่ใยหินเพื่อความปลอดภัย อีกทั้งราคาผลิตภัณฑ์ไม่ต่างกันมากนัก มีใยสังเคราะห์มาเสริม ทำให้ผลิตภัณฑ์แตกหักเสียหายน้อยลง

         "ผมอยากให้มีการติดฉลากยกเลิกการใช้แร่ใยหิน เพราะพ่อค้าอย่างผมก็ห่วงใยสุขภาพของลูกค้าที่ซื้อสินค้าจากร้านของเราไปเช่นกัน ถ้าเราแนะนำลูกค้าให้ใช้แต่ของดีๆ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลูกค้าก็จะเชื่อใจและกลับมาอุดหนุนสินค้าที่ร้านเราอีก ผมจึงเห็นด้วยกับการยกเลิกการใช้แร่ใยหินในประเทศไทย”

ในขณะที่ ศูนย์ข้อมูลไครโซไทล์ (Chrysotile Information Center) โดย “เมธี อุทโยภาส” ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร ศูนย์ข้อมูลไครโซไทล์ ประเทศไทย  กรณีการนำแร่ใยหินขาว (ไครโซไทล์) มาใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งประเทศไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน มีการใช้แร่ใยหินดังกล่าวมาแล้วไม่ต่ำกว่า 70 ปี ซึ่งจากข้อมูลที่ผ่านมาไม่เคยมีหลักฐานใดที่ยืนยันชัดเจนถึงตัวเลขการเสียชีวิต หรือผู้ป่วยที่ได้รับสาเหตุมาจากแร่ใยหินชนิดไครโซไทล์  ศูนย์ข้อมูลฯ เตรียมเอกสารบทความทางวิชาการต่างๆ เพื่อชี้แจ้งข้อเท็จจริง อย่างต่อเนื่องต่อไป

ในขณะที่ข้อมูลจากภาควิชาการกลับพบข้อเท็จจริงอีกด้านเกี่ยวกับ “ผู้ป่วย” ที่ได้รับอันตรายจาก “แร่ใยหิน” ในประเทศซึ่งเป็นข้อมูลใหม่ล่าสุด ได้รับการเปิดเผยโดยโดย ศ.นพ.สุรศักดิ์ บูรณตรีเวทย์ ผู้แทนสมาคมโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย ระบุว่า “จำนวนของผู้ป่วยจากแร่ใยหินในประเทศไทยปัจจุบัน ยังยากที่จะสำรวจ เรื่องจากโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอดเป็นโรคที่ต้องใช้เวลาและค่อยๆ สั่งสม และอาจใช้เวลาแสดงอาการนานถึง 20 ปี จึงมีตัวเลขผู้ป่วยจากโรคดังกล่าวในปัจจุบันไม่สูงมากนักซึ่งคาดว่าในประเทศไทย อาจเป็นไปได้ที่จะมีผู้ป่วยจริงอยู่ประมาณ 1 พันราย“ คนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต้องระมัดระวังตัวเอง คอยสังเกตการณ์ กลุ่มเสี่ยงได้แก่ คนทำงานในโรงงานผลิตกระเบื้องมุงหลังคา ท่อซีเมนต์ที่มีใยหิน   ตัดเจียกระเบื้องมุงหลังคา ถ้าทำงานต่อเนื่อง 20-30 ปี หายใจหอบเหนื่อย น้ำหนักตัวลด ก็อาจต้องมาตรวจสุขภาพ”

เช่นเดียวกับ  รศ.เฉลิมชัย ชัยกิตติภรณ์ นักวิชาการคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงจุดยืนเพื่อเสนอให้รัฐบาลยกเลิกการนำเข้าและผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหิน รวมทั้งยกเลิกการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบด้วย เนื่องจากเห็นว่าหลายประเทศทั่วโลกต่างได้รับบทเรียนอันตรายจากแร่ใยหิน อีกทั้งองค์การอนามัยโลก องค์การแรงงานระหว่างประเทศ และสำนักวิจัยโรคมะเร็งสากล ต่างก็ออกมายืนยันตรงกันว่า แร่ใยหิน มีส่วนประกอบของสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์จริง

ทั้งนี้มีการอ้างอิงถึงข้อมูลจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และจากสำนักโรคจากการประกอบอาชีพ และสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุว่า ในประเทศไทย ได้ตรวจพบ ผู้ป่วยตั้งแต่ปี 2552-2555 พบผู้ป่วย 5 ราย และอยู่ระหว่างการวินิจฉัยอีก 7 ราย ในจำนวนนี้มีการวินิจฉัยสาเหตุแล้วว่าเกิดจาก 1 ราย ขณะที่ปี 2556 พบเพิ่มอีก 1 ราย

แม้ว่า “มหากาพย์”แห่ง “แร่ใยหิน” จะยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในเชิงวิชาการ แต่สำหรับผู้บริโภคนั้น “การป้องกัน” ซึ่งเป็นแนวทางที่ดีที่สุด ที่มีอยู่ในขณะนี้ และเปิดทางให้ผู้บริโภคได้มีโอกาส “เลือก” ผ่าน “ฉลากผลิตภัณฑ์”ปลอดภัย ที่เป็น “ตัวช่วย” ป้องกันไม่ให้คนไทย ต้องเผชิญกับสภาวะเสี่ยงกับ “โรคมะเร็งเยื้อหุ้มปอด” และนี่เป็น “กระแสธารแห่งสำนึกความรับผิดชอบร่วมกันในสังคม” ที่จะช่วยยกระดับสุขภาวะอนามัยของคนไทย หลังจากที่ กว่า 50 ประเทศทั่วโลก ได้ก้าวนำไปแล้วก่อนหน้านี้

อ้างอิง : นสพ.คมชัดลึก ฉบับวันที่ 21 ธันวาคม 2556
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่