Backpack เที่ยวลาว 3 วัน 2 คืน

      ในการเดินทางของผมครั้งนี้ ผมค่อนข้างมีเวลาเตรียมตัวน้อยมาก พอรู้ว่าลาสิ้นปีได้ก็ตัดสินใจไปเลย เป็นการเดินทาง Backpack ไปคนเดียวและเป็นการเดินทางคนเดียวครั้งแรกซะด้วยสิครับ ใจหนึงก็กลัวแต่อีกใจหนึงก็อยากไป พอมาอ่านรีวิวของคนอื่นๆที่มีประสบการณ์ในการท่องเที่ยวแบบนี้ก็ทำให้ผมได้รู้ว่าการท่องเที่ยวในต่างแดนนั้นมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด จนทำให้หลายๆสิ่งหลายๆอย่างดลบันดาลให้ผมตัดสินใจเก็บกระเป่าเสื้อผ้า ขาตั้งกล้อง กับกล้องคู่ใจ Canon 1000D + kit 18-55 + Fix 50/1.8 ออกเดินทาง เปิดโลก เปิดหูเปิดตาและเปิดใจ

        ในตอนแรกผมก็ได้มองหาประเทศที่น่าไปเที่ยวในแถบๆประเทศเพื่อนบ้านของเรา ซึ่งที่ผมดูอยู่ก็คือที่ เวียดนามและลาว เพราะว่าการเดินทางไม่ไกลมากนักและค่าใช้จ่ายไม่ค่อยสูง ในตอนนั้นผมได้ตัดสินใจที่จะไปเวียดนาม ผมเช็คราคาตั๋วเครื่องบินก็ ok เลยไม่แพงมากนักแต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ผมมารู้ทีหลังว่าจะไปเวียดนามต้องทำพาสปอต (ทีแรกนึกว่าจะทำบัตรผ่านแดนเข้าไปเที่ยวในประเทศเวียดนามได้เหมือนที่ลาว ซึ่งนี้ก็คือผมไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ เป็นการเที่ยวครั้งแรกจริงๆ 555) ผมก็เลยต้องเปลี่ยนไปเที่ยวที่ลาวแทนซึ่งก็เป็นประเทศที่ผมสนใจอยากจะไปอยู่เหมือนกัน (ลาก่อนเวียดนาม ปีหน้าค่อยว่ากันใหม่ T-T)

          *รูปภาพเป็นการปรับแต่งตามสไตล์ของผม รูปอาจจะผิดเพี้ยนไปจากสถานที่จริง แต่สถานที่จริงเดิมก็มีความสวยงามอยู่แล้ว
         *วิธีคิดเงิน กีบ เป็นเงิน บาท อย่างง่ายๆคือ ตัดศูนย์ 3 ตัวท้ายของเงินกีบออก แล้วนำจำนวนที่เหลือคูนด้วย 4

                      เช่น  30,000 กีบ = 30 x 4 = 120 บาท

การเดินทางวันแรก

       ผมจองตั๋วรถ บขส 999 ผ่านเว็ปไซต์ เส้นทาง กทม - หนองคาย ราคา 805 บาท (ความจริงมีตั๋วรถจาก กทม - เวียงจันทร์เลย 900 บาทแต่เต็ม) ผมขึ้นรถที่หมอชิต รถออก 20.30 น. ถึง ขนส่งหนองคายเวลาประมาณ 06.00 น. พอไปถึงก็จะมีคนขับรถสามล้อมาคอยตาม ถามเราว่าจะไปไหน ไปด่านรึเปล่า แบบชนิดที่ว่าไม่ให้เราทันได้ตัดสินใจ 555 ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจพวกเค้าผมจะไปถามตั๋วรถจาก หนองคาย - เวียงจันทร์ ซึ่งตั๋วรถจะถูกกว่าการที่เรานั่งรถสามล้อไปลงที่ด่านแล้วต่อรถไปซะอีก แต่สุดท้ายผมต้องกลับมาถามพวกเค้า เพราะที่ขายตั๋วรถ ยังไม่เปิดบริการ ต้องรอประมาณ 8 โมงเช้า ผมเลยตัดสินใจนั่งรถสามล้อจาก ขนส่งหนองคายไปด่านสะพานมิตรภาพ ค่ารถสามล้อ 80 บาท เค้าพาผมไปส่งทำบัตรผ่านแดนซึ่งไม่ไกลจากขนส่งเท่าไหร่ ไม่ได้ไปทำที่ด่านนะ แต่เค้าพาผมไปทำที่เป็นเหมือนบริษัททัวร์แต่เค้ารับทำบัตรผ่านแดนให้ ผมเสียค่าทำบัตรผ่านแดนอีก 150 บาทซึ่งผมอ่านดูในเว็ปไซต์มาปกติมันไม่ถึง 100 นะ อันนี้ผมไม่รู้ว่าถ้าเราไปทำที่ด่านจริงๆจะเสียเท่าไหร่ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น ผมต้องรอถึง 8 โมงอยู่ดีกว่าจะได้บัตรผ่าน แถมสามล้อเอาผมมาทิ้งไว้ไม่รอไปส่งที่ด่านอีก ให้สามล้ออีกคันมารับไปส่งที่ด่าน เสียอีก 20 บาท (ผมนึกในใจ โอ้ววไม่นะรู้งี้รอซื้อตั๋วรถที่ขนส่งซะดีกว่า T-T) แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี ผมได้มีโอกาศพูดคุยกับพระรูปหนึงซึ่งได้มาทำบัตรผ่านแดนที่นี้เหมือนกัน ท่านเดินทางมาจากจันทรบุรี มาทอดผ้าป่า ที่วัดในลาว ซึ่งผมก็ได้พูดคุยกับท่าน จนมารู้ว่าเมื่อก่อนท่านเคยทำงาน โรงงาน โรงกลั่น ทำมาแล้วหลายที่มากไม่ว่าจะเป็นบริษัทน้อยใหญ่ทำมาหมด แต่สุดท้ายท่านก็ตัดสินใจบวช ซึ่งงานที่ท่านทำเกี่ยวข้องกับอาชีพผมในตอนนี้ คือผมเป็นวิศวกรสร้างโรงแยกก๊าซอยู่ชลบุรี ซึ่งท่านก็เล่าประสบการณ์การทำงานให้ผมได้ฟัง ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่างานที่ได้รับ เงินทองที่ได้มา บางทีมันไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของซีวิตคนเรา ผมเองก็ยังต้องค้นหาคำตอบของชีวิตตัวเองต่อไป และผมเชื่อว่าการที่คนเราได้มาเจอกันมันไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญ ทุกคนที่เรารู้จักมันเป็นชะตาฟ้าลิขิต เราผูกกรรมผูกวาสนามาด้วยกันทั้งนั้น ฉนั้น อย่าเสียใจไปเลย หากเราได้พบใครซักคนที่ผ่านเข้ามา แล้วก็ผ่านไป ไม่เป็นอย่างที่เราหวังไว้ ถือว่าได้ใช้เวรใช้กรรมต่อกัน..ที่สำคัญเราควรทำดีต่อกันไว้เมื่อยังมีกันอยู่ และผมก็ได้ร่วมทำบุญกับพระอาจารย์ท่านในเช้าวันนั้นก่อนเดินทางข้ามไปลาว

       เมื่อทำบัตรผ่านแดนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไปทำการยื่นบัตรผ่านแดนชั่วคราวที่ ตม. เมื่อเสร็จการตรวจคนเข้าเมืองแล้วจะมีคนขายตั๋วรถที่จะรับเราจากด่านไทย ข้ามสะพานไปยังด่านลาว ราคา 20 บาท ระหว่างนั่งรถผ่านสะพานมิตรภาพ ภาพวิวแม่น้ำโขง มีหมอกบางๆยามเช้ามันยังสวยงามติดตาผมอยู่เลย พอไปถึงด่านฝั่งลาว ผมก็ไปยื่นเอกสารที่ ตม. ฝั่งลาว นักท่องเที่ยวทั้ง ฝรั่ง คนจีน เกาหลีคนไทยต่อแถวกันยาวเลยทีเดียว และเสียค่าบัตรผ่านอีก 40 บาท จะได้เป็นการ์ดเขียวๆมา หลังจากนั้นเราก็นำบัตรผ่านแดนชั่วคราวไปถ่ายเอกสารอีก 5 บาทแล้วเอาไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในตู้สี่เหลี่ยมเล็กๆ แล้วก็เดินไปเอาการ์ดสีเขียวมาสอดเพื่อเดินผ่านเข้าไปเหมือนที่รถไฟฟ้า BTS เลยหลังจากผ่านเข้าไป ก็จะมีคนขับรถโดยสารเข้ามาถามเราว่าจะไปไหน มีคนตะโกนถามไปตลาดเช้าไหมครับ ผมเข้ามาที่นี้ผมสัมผัสถึงความแตกต่างระหว่างคนที่นี้กับคนบ้านเราทันที เค้าไม่ตื้อจนเสียมารยาท เมื่อเราปฎิเสธไม่แสดงสีหน้าไม่พอใจ แถมยังแนะนำให้ผมแบบตรงไปตรงมา บอกผมถ้าขึ้นรถตู้ก็จะแพงหน่อยแต่ไวกว่าสะดวกกว่า แต่ถ้าอยากประหยัดก็ไปขึ้นรถโดยสารตรงนั้นตรงนี้จะถูกกว่า จนสุดท้ายผมได้นั่งรถไปตลาดเช้าในราคา 50 บาท ซึ่งประยัดเงินไปได้อีกมากเลย ความจริงใจคือเสนห์อย่างหนึงของคนที่นี้ที่ผมสัมผัสได้

       ผมใช้เวลาเดินทางจากด่านลาวไปตลาดเช้าประมาน 20-30 นาที พอไปถึงตลาดเช้าผมก็ไปหาอะไรกินเพราะตอนนี้ก็สายแล้วผมได้ไปนั่งกิน "ข้าวเปียก" แถวๆขนส่งหลังตลาดเช้าในเวียงจันทร์ ซึงเป็นอาหารท้องถิ่นของที่นี้ ลักษณะคล้ายๆกับก๋วยเตียวน้ำใสบ้านเรา แต่เส้นจะเหมือนเส้นขนมจีน เส้นจะใหญ่กว่าขนมจีนใหญ่หน่อยหนึ่ง ผมบอกเลยว่าอร่อยมาก ผมกินร้านนี้ราคา ชามละ 10,000 กีบ (40 บาท) หลังจากนั้นผมก็ถามเจ้าของร้านว่าประตูชัยไปทางไหน เค้าก็บอกผมว่า " สู๋ย่างซื่อไป่นี้ เจอไฟแดงเลียวซ่าย ซื่อไป่เจอไฟแดงอีกเลียวขวาสู๋ก่อสิเห็น " ดีที่ผมเป็นคนเหนือก็พอฟังออกบ้าง ผมก็เดินไปแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินกีบที่ ธนาคาร ผมแลกไป 3,000 บาท ได้เงินกีบมา 7 แสนกว่าบาท เราสามารถหาแลกเงินได้ตาม ธนาคาร ร้านทอง ร้านค้า หรือแม้แต่ร้านขายยา หลังจากนั้นผมก็เดินไปที่ประตูชัย จากตลาดเช้ามาประมาณ กิโล หนึงพอไปถึงผมก็ถ่ายรุปคู่กับประตูชัยและขึ้นไปเดินชมด้านบนประตูชัย เสียค่าเข้าอีก 3000 กีบ (12 บาท) ขึ้นไปมองจากด้านบนลงมาเห็นวิวเมืองเวียงจันทร์มันสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง ประตูชัยก็สวยงามยิ่งใหญ่สมชื่อ หลังจากเที่ยวชมประตูชัยเสร็จ เวลาประมาณ 11.00 น. ผมก็เดินกลับมาที่ขนส่งตลาดเช้ามาหารถจะไป วังเวียงสอบถามราคารถโดยสาร เวียงจันทร์ - วังเวียง ราคา 160 บาทเป็นรถเมย์ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง แต่ในระหว่างผมยืนดูตารางเดินรถก็มีน้าผู้ชายเดินมาถามผม ว่าจะไปไหน ผมบอกจะไปวังเวียง เค้าก็บอกว่ามีรถตู้จะไปวังเวียง 300 บาท พร้อมไปส่งถึงที่พัก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3-4 ชั่วโมงผมไปครั้งแรกและยังไม่ได้จองที่พักไว้ เลยตัดสินใจนั่งรถตู้ไป เพราะสะดวกดีและอีกอย่างเค้าไปส่งหาที่พักให้ด้วย



        ผมเลือกที่จะนั่งเบาะหลังสุดข้างหน้าต่างเพราะจะได้เห็นความเป็นไปของการดำเนินชีวิตของคนลาวตลอดเส้นทางที่ผ่านและความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมของคนแต่ละชาติภายในรถที่ได้โดยสารมาด้วยกัน ในรถมีทั้งนักท่องเที่ยว ชาวไทย ฝรั่ง ชาวจีน และรวมถึงชาวลาวด้วย ระหว่างนั่งรถไป นักท่องเที่ยวชาวจีน 2 คนผมคิดว่าเป็นสามีภรรยากัน ทั้งคู่เห็นอะไรแปลกตาก็คุยกันเสียงดังไปตลอดทางคุยไม่มีหยุดตลอด 4 ชัวโมงในการเดินทาง บางทีอาจเป็นด้วยน้ำเสียงสำเนียงและภาษาที่เค้าต้องคุยกับแบบนี้ ส่วนนักท่องเที่ยวฝรั่งเป็นเพื่อนกัน มาด้วยกัน 2 คนเป็นผู้หญิงทั้งคู่อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผมหรืออาจจะมากกว่าผมนิดหน่อย แต่ดูเค้ามั่นใจ เหมือนผ่านการเดินทางมาเยอะ อาจเป็นเพราะการเลี้ยงดูในแบบฝรั่งที่มักจะสอนให้ลูกรู้จักทำอะไรด้วยตัวเองตั้งแต่เด็กๆ ฝรั่ง 2 คนหน้าตาสวย จมูกดวงตาคมสัน เธอ 2 คนนั่งด้านหลังสุดข้างๆผม ผมรู้สึกเกรงๆเขินนะที่นั่งข้างกับผู้หญิงสวยๆ ความจริงผมมาเที่ยวแบบนี้ผมก็อยากพูดคุยกับชาวต่างชาติแหละ แต่พอเป็น 2 คนนี้ทำเอาผมไม่กล้าพูดอะไรได้แต่นั่งเงียบไปตลอดทาง 555 ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทย เค้ามากับภรรยาของเค้าเป็นคนลาว คนไทยก็ตามสไตล์คนบ้านเราเลย เค้าเห็นผมเหมือนคนไทย เค้าก็ทักมา น้องคนไทยรึเปล่า ผมก็ตอบ "ครับ คนไทยครับ"นี้แหละคนไทยอยู่ต่างแดน ต่างจังหวัด เป็นคนบ้านเดียวกันเจอกันก็พูดคุยทักทายช่วยเหลือกัน (เดียวผมจะบอกอีกทีว่าเค้าช่วยอะไรผมบ้าง) และผมมั่นใจว่าคนไทยเป็นนักดื่มตัวยง ตลอดทางที่รถแวะจอดตามข้างทาง พี่คนนี้จะสั่งเบียร์ตลอดเลย "น้องเบยลาวกระป่องหนึง"

       พอผมเดินทางมาถึงวังเวียงเวลาประมาณ 15.00 น. นักท่องเที่ยวฝรั่ง 2 คน ก็แยกออกไปหาที่พักด้วยความมั่นใจเหมือนเป็นเรื่องปกติที่ทำอยู่บ่อยๆ ส่วน 2 สามีภรรยาชาวจีนก็ยังโวยวายไม่พอใจกับคนขับรถที่พามาส่งตรงนี้ ส่วนผมหรอ ก็ได้แต่คิดว่าจะเริ่มไปหาที่พักจากตรงไหน แล้วก็มีเสียงดังขึ้นว่า " ไอ่น้องมากับใคร มีที่พักยัง " ผมหันไปเป็นพี่ผู้ชายคนไทยที่นั่งรถมาด้วยกันเค้าบอกผมว่า พี่รู้จักที่พักที่นี้อยู่ราคาถูกๆ อยู่ริมแม่น้ำซองเลย พี่มาที่นี้ 3-4 ครั้งแล้ว มากับพี่สิ ตอนนั้นก็ใกล้จะเย็นแล้วผมก็เลยเดินตามพี่เค้าไปที่พัก ตกลงราคาห้องได้อยู่ที่ราคา คืนละ 400 บาท มีแอร์ ทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น เป็นห้องที่ดูดีมาก ผมเลยเช้าที่พักที่นี้ 2 คืน และพี่เค้ากับภรรยาชาวลาวก็พักอยู่ห้องข้างๆผม พอถึงห้องผมก็ล้มตัวลงนอนซักพัก เพราะเหนื่อยกับการเดินทางมานานหลายชั่วโมงขอพักเอาแรงซักหน่อยเถอะ

       ผมตื่นขึ้นมาประมาณ 17.00 น. ก็อาบน้ำแต่งตัวทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็แบกกล้องคู่ใจกับขาตั้งกล้อง ออกมาหาวิวสวยๆถ่ายตามแม่น้ำซอง ที่วังเวียงนี้ เป็นเมืองแห่งสายน้ำและขุนเขา วิวเทือกเขาโดดเด่นตัดผ่านด้วยแม่น้ำซองพร้อมกับวิธีชีวิตชาวลาวอากาศหนาวๆสายลมลมพัดเบาๆ มันช่างเป็นอะไรที่ลงตัวมาก ที่นี้ใครหลายคนเรียกกันว่า "กุ้ยหลินเมืองลาว" ผมก็ไม่เคยไปกุ้ยหลินหรอก แค่ที่อยู่ตรงหน้าผมนี้มันก็สวยงามเกินคำบรรยายแล้ว แต่มันก็ทำให้ผมอยากไปเห็นกุ้ยหลินจริงๆว่าจะสวยงามขนาดไหนหลังจากผมเดินเก็บภาพวิวสวยๆเสร็จแล้ว ผมก็ออกมาเดินหาอะไรกินตามถนน ในวังเวียง



       ที่นั้นมีอาหารให้เราเลือกกินหลากหลายทั้งอาหารท้องถิ่น อาหารฝรั่ง รวมทั้งส้มตำเหมือนบ้านเรา  โดยเฉพาะอาหารฝรั่ง พวกขนมปัง แฮมเบอร์เกอร์ แซนวิซ จะเยอะเป็นพิเศษ เรียกว่าเจอเกือบทุกๆ 5 ก้าวเลยก็ว่าได้ จะมีคนมาตั้งรานขายยาวเต็มข้างทางเหมือนร้านโรตีแถวๆบ้านเราเลย เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวและอย่างที่เรารู้กันลาวเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศษมาก่อน เพราะฉนั้นขนมปังฝรั่งเศษจะเยอะมาก และราคาอาหารก็จะสุงกว่าปกติซักหน่อย ตอนนั้นผมยังติดใจ "ข้าวเปียก" ที่ตลาดเช้าอยู่ ก็เลยหาทานอีกที่นี้ ก็ยังคงอร่อยเหมือนเดิม แต่ที่นี้ราคา 20,000 กีบ (80 บาท 2 เท่าของตลาดเช้า) ผมก็เดินเที่ยวไปจนเริ่มมืด ผมก็ไม่ลืมที่จะเก็บภาพบรรยากาศ วังเวียง ยามค่ำคืนมาฝากในตอนกลางคืนก็จะมีร้านค้า บาร์เล็กๆให้เราได้เที่ยวซื้อของฝาก ได้นั่งดื่มเบียร์ท้องถิ่นเย็นๆกับบรรยากาศหนาวๆมันช่างมีความสุขซะเหลือเกิน เบียร์ที่นั้นก็ไม่แพงพอๆกับบ้านเรา ผมซื้อ "เบยลาว" 2 ขวด ขวดละ 12,000 กีบ (48 บาท) นั่งกินไปมองผู้คนไปเวลาประมาณ 22.00 ผมก็กลับเข้าที่พัก สิ้นสุดวันแรกของการเดินทาง...



แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่