จัดไป เม่าเซเลบ 18+ ปูพื้นสู่คุณไสยเบื้องต้นบทที่ 1 : แนวโน้มราคา (updated แก้ไขลูกศรให้แล้ว)

กระทู้สนทนา
(คิดอยู่นานว่าจะโพสดีมั้ย เพราะไอดีเก่าเคยโพสกระทู้วิชาการห้องสมุดแล้วมาม่าจัดเลยเลิกเล่นไป ไอดีนี้ยึดคนอื่นเค้ามาเล่น อนาคตอาจต้องคืนไอดีสู่เจ้าของ)

คำเตือน 8 ประการ ก่อนเสพย์

1. นี่เป็นกระทู้สายไสยศาสตร์ หากท่านอ่านแต่ไร้ความศรัทธา ท่านจะผิดผี ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ กระทู้นี้มีพลังงานบางอย่าง
2. อาจมีประโยชน์สำหรับมือใหม่ที่สามารถอดทนอ่านได้จนจบ ถ้าเก่งแล้วไม่มีประโยชน์แนะนำไม่ต้องอ่าน จะเสียเวลามากเพราะกระทู้นี้ค่อนข้างยาว
3. จขกทมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์มีประสบการณ์เล่นหุ้นมา 2 สัปดาห์
4. จขกทจบมอหก เอ็นไม่ติด
5. จขกทขณะนี้ขาดทุนย่อยยับ
6. เนื้อหาเขียนด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน แต่จะเข้าใจได้หรือไม่นั้น ขึ้นกับระดับสติปัญญาของท่านเอง
7. ห้ามถามอะไรที่มีสาระกับจขกท เพราะจขกทแอนตี้สาระ
8. ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้อง 18+



เอาล่ะ เชิญเสพย์ ณ บัดนี้

หลังจากเดี๊ยนได้เล่นสินธรมาเป็นระยะเวลานึง ได้รับความรู้มากมายจาก "เดอะแก๊ง" อันประกอบไปด้วย เฮียเม่าน้อยใจสู้ เฮียเพชรชู้ เฮียอดีตเซียน ท่านหัวหน้าเผ่า และเนติริ และสืบเนื่องจาก เริ่มมีผู้สนใจในศาสตร์คุณไสยฉบับเดี๊ยนเซเลบมากขึ้น จึงลองโพสขำๆลองดูซักกระทู้หนึ่ง ถ้าหากไปขัดกับแนวทางของใคร ต้องขอกราบขออภัยโทษไว้ ณ ที่นี้ด้วยขระ // เน้นว่ากระทู้นี้สำหรับผู้ศรัทธาในของขลังและมิติลี้ลับเท่านั้น

ปฐมบท : ราคา

เปรียบหุ้นเป็นดั่งสินค้าตัวหนึ่งในที่ขายอยู่ในตลาด ซึ่งหุ้นไทยก็ขายในตลาดไทยนั่นก็คือ SET ถ้าจะเปรียบหุ้นเป็นสินค้า ราคาของสินค้าก็จะถูกกำหนดด้วยหลายปัจจัย เช่น ปัจจัยพื้นฐาน ของดีก็ย่อมมีราคาสูง ปัจจัยทางด้านตลาด สินค้าเหมือนๆกันที่สำเพ็งขายราคาหนึ่ง แต่พอมาขึ้นห้างขายพาราก้อนก็ย่อมขายอีกราคาหนึ่ง ปัจจัยด้านการโฆษณา และการตลาด สินค้าที่ไม่ดี แต่การตลาดดี ในบางครั้ง ก็เป็นที่ต้องการได้เช่นกัน ปัจจัยด้านสภาพเศรษฐกิจ หากลูกค้าไม่มีเงิน สินค้าขายไม่ได้ราคาก็ย่อมตก ซึ่งทุกๆปัจจัย ล้วนมีผลกระทบต่อราคาของสินค้าทั้งสิ้น

เมื่อสินค้าหนึ่งๆอยู่ในสมดุลย์ คือ demand = supply จะเกิดการซื้อขาย ที่ราคาหนึ่ง เรียกว่าราคาที่เหมาะสม ราคานั้น อาจจะแพงบ้างถูกบ้าง แต่ก็จะแกว่งอยู่กรอบราคากรอบหนึ่ง นักเทรดหุ้นนิยมเรียกว่า กรอบ sideways "สังเกตว่าคำว่า sideways เป็น adjective สะกดแบบนี้ ต้องเติม S เสมอ"

ราคาที่ขึ้นๆลงๆในช่วง sideways นั้น มักจะแกว่งรอบราคาหนึ่ง ซึ่งเราอาจถือว่าเป็นราคากลาง โดยเราถือว่าการแกว่งขึ้นๆลงๆนี้ เมื่อมันแกว่งจากจุดราคากลางไปจุดสูงสุด ลงมาจุดต่ำสุด และกลับไปราคากลาง มันคือ 1 cycle การแกว่งที่เกิดจาก noise

ต่อไปนี้ จะขอแนะนำ term เบื้องต้น สำหรับสายไสยศาสตร์



1. psychological level ระดับสำคัญทางจิตวิทยา แบ่งเป็น
1.1 support level หรือแนวรับ เมื่อมาถึงราคานี้ มีคนพร้อมที่จะขายบ้านขายรถ เพื่อมาซื้อหุ้น
1.2 resistance level หรือแนวต้าน เช่น SIRI มีแนวต้านที่ 5 บาท เพราะมีคนติดที่ราคานี้เป็นจำนวณมาก การจะทำราคาให้ผ่านจุดนี้ไปได้ ย่อมต้องใช้แรงเงินที่มากด้วยเช่นกัน เพราะจะต้องปะทะกับแรงขาย ณ จุดดังกล่าว

Support and Resistance Role Reversals (รุกรับสลับขั้ว)

เมื่อราคาได้ทะลุแนวต้านขึ้นมาได้ แสดงว่า แรงซื้อได้ชนะแรงขาย ณ ราคานั้นๆ และเวลานั้นๆแล้ว ราคาจะขยับสูงขึ้นไป โดยจะมีคนส่วนหนึ่งที่ยังต้องการสินค้า ณ แนวต้านเดิม ทำให้บริเวณนั้น เป็นแนวรับไปโดยปริยาย and vise versa

2. moving average (MA) หรือ เส้นเฉลี่ยเคลื่อนที่ คือการหาราคากลางของหุ้น ในแบบต่างๆ เพื่อที่จะเห็นราคาที่เหมาะสมของหุ้น เมื่อตลาดอยู่ในภาวะสมดุลย์หรือ sideways market
3. channel หรือ price envelop คือ ประกอบด้วยสองเส้นสำคัญคือเส้นแนวรับ และเส้นแนวต้าน หมายความว่า ในตลาด sideways ราคาที่ขยับไปตาม cycle of noise ในกรณีนี้ จะยังขอไม่กล่าวถึง band indicator ชนิดต่างๆ เพื่อป้องกันการสับสน
4. noise คือ price and volume fluctuations
เมื่อตลาดเกิดดุลยภาพ ราคาจะแกว่งตัวอยู่ใน channel line ทั้งสองเส้นดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตลาดมักไม่อยู่ในดุลยภาพ ราคาของสินค้า มักผิดแผกไปจากความเป็นจริงเสมอ เพราะมนุษย์มีอคติ การรับรู้ที่บิดเบือน นำไปสู่การทำราคาที่บิดเบือน และราคาที่บิดเบือนก็นำมาซึ่งการรับรู้ที่บิดเบือนเช่นกัน เป็นลักษณะ positive feedback นั่นคือ cognitive function นำมาซึ่ง manipulative function และ manipulative function ก็นำมาซึ่ง cognitive function เป็นไปตาม theory of reflexivity นั่นเอง ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เมื่อใดที่ตลาดเสียสมดุลย์ มันจะดำเนินต่อไปจนกว่าจะพบจุดสมดุลย์ใหม่นั่นเอง

Disequilibrium Brings about Trends

เมื่อตลาดไม่อยู่ในสมดุลย์สิ่งที่ตามมาคือการขยับของราคาอย่างมีนัยสำคัญ คำว่านัยสำคัญในที่นี้ หมายถึง เป็นการที่ demand และ supply ไม่อยู่ในจุดสมดุลย์ จึงดันให้ราคากลางของสินค้าขยับ ขึ้นไปจนเอาชนะอิทธิพลของ noise ได้ ถามว่า เราจะทราบได้อย่างไร ว่าจะเกิดเทร็นแล้ว คำตอบก็คือว่า ในช่วงที่ไม่มีเทร็น ราคาจะเกิด noise ก็จะตัดไปมากับเส้นราคากลางหรือ MA แต่หากมี เทร็น คือราคาไม่อยู่ในจุดสมดุลย์ที่ demand = supply เส้นราคากลางจะมีกลางขยับตัวอย่างชัดเจน และ ราคาจะยืนเหนือเส้นราคาเฉลี่ยได้ ซึ่งการที่ราคายืนได้ หมายถึงราคาได้เอาชนะ noise ในระดับ cycle ของ period นั้นๆได้ซึ่งจะอธิบายในลำดับถัดไป

เราเรียกการขยับของราคากลางอย่างที่นัยสำคัญนี้ว่า trend หรือ แนวโน้มราคา
ฉะนั้นตอนนี้ เราจะพบว่าจะหุ้นจะถูกซื้อขายในสองช่วงราคาคือช่วงราคาที่มี trend และช่วงราคาที่ไม่ทีเทร็น

ต่อไปนี้จะขอพูดถึงราคาตามแนวโน้ม

Ascending Lines and Descending Lines
    
เป็นที่สังเกตว่า เมื่อราคามี trend เช่น แรงซื้อชนะแรงขาย ดันราคาขึ้นไปสูง ราคาจะวิ่งสูงขึ้นไปแต่ก็จะแกว่งลงมาด้วยอิทธิพลของ market noise ถ้าเราสังเกตจากจุดต่ำสุด ในทุกๆ cycle ของ noise ในบางครั้ง เราจะสามารถลากเส้นซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นตรงความชันเป็นบวก มีชื่อเรียกว่า ascending line เป็นเส้นเชื่อมระหว่างจุด trough ในขาขึ้น
ทำไมต้องมี ascending line
    
เพราะเมื่อเราลงทุนซื้อสินค้าหนึ่งๆเพื่อเก็งกำไร ในสมองของเรา คือต้องการให้ราคาขึ้นไป เท่านั้นเท่านี้เปอร์เซ็น เมื่อ มีเม็ดเงินเติมเข้ามาในระบบเท่านี้ หรือเมื่อเวลาผ่านไปเท่านี้ เพราะฉันนั้น ตราบเท่าที่ราคายังทำได้เท่ากับความต้องการของเรา คือเคลื่อนที่ต่อไปตามแนวคิดนี้ เราจะยังถือต่อไป และเมื่อราคานี้หลุดต่ำลงมาคือไม่สามารถทำได้ตามที่เราตั้งใจ เราก็จะขายมันและไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ได้กำไรมากขึ้น



ฉะนัน เราจึงจะสามารถลากเส้นโค้ง ascending curve ได้ด้วยสมการ

P(Tf) = (P(Ti))(1+K)^(Tf-Ti)
(ขอพูดแบบ time-based แก้ T เป็น V ได้ ถ้าคุณมีแนวคิดแบบ volume-based)

แต่ถ้าเรามองในระยะสั้นๆ ก็พอจะประมาณเป็น linear ได้ จึงเป็นที่มาของ ascending line

P(Tf) = (P(Ti))(1+(Tf-Ti)(K))

เราก็จะได้เส้นตรงมาหนึ่งเส้น ที่มีความชั้นเป็นบวก เป็นเส้นแนวรับชนิดมีความชันเมื่อเกิด upwards trend หรือ uptrend หรือ แนวโน้มขาขึ้น
ปัญหาของเส้น ascending line ดังกล่าว คือ เมื่อเวลาผ่านไป จิตใจมนุษย์ เปลี่ยนไปด้วยความโลภ และความกลัว เมื่อคนโลภมากขึ้น จุด trough ก็จะไม่กลับลงมาแตะที่เส้นนี้ เพราะคนเรามีความคิดว่าที่เวลาดังกล่าว หุ้นตัวนี้จะมีโมเมนตั้มที่สูงขึ้นมีอัตราการตอบแทนต่อช่วงเวลาที่สูงขึ้น เป็นแรงผลักดันให้จุด trough ไม่กลับลงมาแตะแนว ascending line ดังที่ได้กล่าวไว้ นั่นก็คือคือค่า K สูงขึ้น ทำให้ความชันเพิ่มขึ้น หรือความกลัวก็จะทำให้ค่า K ลดต่ำลง (ดูสมการด้านบน)
    
เส้น descending line มีความหมายในเชิงตรงกันข้าม คือคนที่ทำ SAP คอนเสปเดียวกัน

ด้วยความยากลำบากในการดูแนวโน้มด้วย ascending line และ descending line จึงเริ่มมีการหาตัวช่วยเสริมประสิทธิภาพของ เส้นดังกล่าว นั่นก็คือเส้นค่าเฉลี่ย ที่เราได้กล่าวไป ณ ข้างต้น

เส้นค่าเฉลี่ย และแนวโน้มราคา
จากภาพ แสดงให้เห็นถึงการแกว่งของราคาในช่วง sideway สังเกตว่าว่า โดยกำหนดให้แต่ละ cycle มี period = T กำหนดราคามี amplitude รอบเส้นค่าเฉลี่ย = A เมื่อราคาอยู่ในช่วง sideways period ก็จะแกว่งอยู่ในช่วง MA + - A ในทุกcycle

เมื่อเวลาผ่านไป 1 cycle แล้วทำให้เส้นค่าเฉลี่ย เคลื่อนที่ขึ้นไปได้สูงกว่าเดิม อาจเป็นอาจยากที่จะบอกว่า นั่นคือการเกิด trend แล้วหรือยัง แต่สิ่งที่เราจะเริ่มสังเกตได้คือเมื่อเกิด uptrend เส้น MA จะอยู่ใต้ราคา เหตุผลเพราะ เส้น MA เป็นเส้นเฉลี่ยข้อมูลของราคาเก่าจนถึงราคาปัจจุบัน ฉะนั้น มันจึงเคลื่อนที่ช้ากว่าราคาปัจจุบัน หรือเราอาจพูดได้ว่ามันมี lagging phase



พิจาณารูป กำหนดให้ 1 cycle ของ noise เส้น T-period MA ได้ขยับขึ้นไปเป็นระยะทาง D (ใช้  T-period MA เพื่อสมูท noise)
จากการมี lagging phase โดยประมาณ T/2 (เพราะเฉลี่ยจาก day Ti ถึง Tf ห่างกัน T) ถ้าเรามองโดยประมาณในระยะสั้นๆว่า ความชันของ MA คงที่ คือเป็นเส้นตรงในช่วงสั้นๆ จะได้ว่าเส้นราคาจะต่ำลงไปมีค่าประมาณ D/2 นั่นเอง (คำนวณได้จากความชันกราฟ ดังแสดงในภาพ)

ดังนั้นเราจะได้ D/2 = A หรือ D = 2A แปลความได้ว่าเมื่อราคาขยับขึ้นไปจนเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ขยับไปมากกว่าหรือเท่ากับสองแอมปลิจูทด้วยเวลา period = T หรือ 1 cycle แสดงว่าราคาขยับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญคือสามารถเอาชนะอิทธิพลของ noise ได้ ชนะได้อย่างไร ดูภาพประกอบ



จากภาพ จะเห็นได้ว่า ราคา ณจุด Ti และ จุด Tf ห่างกันสอง amplitude เมื่อรวมผลของ noise แล้ว ก็ยังยังคงซื้อขายกันในช่วงราคาที่ต่างกันโดยแบ่งกันที่แนวเส้นประสีม่วงอมฟ้า

downtrend ใช้คอนเสปเดียวกัน

สรุปความเรื่องแนวโน้มราคา

1. เมื่อตลาดอยู่ในจุดสมดุลย์ ราคาจะแกว่งตัวรอบราคากลาง ซึ่งเราแทนด้วยเส้นค่าเฉลี่ย และจะแกว่งด้วยแอมปลิจูดหนึ่งๆในกรอบราคาหนึ่งๆ
2. เมื่อตลาดไม่อยู่ในสมดุลย์ และมี momentum ที่สูงจนเอาชนะ noise ได้ เส้นค่าเฉลี่ย จะอยู่ต่ำกว่าหรืออาจสัมผัสจุด trough ของรอบราคาในขาขึ้น และจะอยู่สูงกว่าหรืออาจสัมผัสจุด peak ของราคา ในขาลง
3. เราใช้ MA ที่มีขนาดเท่ากับ 1 cycle สั้น ที่เกิดจาก market noise เพื่อสมูท market noise (จริงๆแล้ว มันยังมีอีกหลายหน้าที่ จะยังขอไม่กล่าวถึง)
4. เรื่อง trend และอินดิเคเต้อร์ จะใช้ได้ผลดีพิเศษในหุ้นที่มีคนทำราคาชัดเจน เช่นหุ้นปั่น แต่จะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องดูเสริมไป เช่น สเปรดและวอลูม เป็นต้น
5. แนวโน้มราคาไม่ใช่สิ่งเดียวที่ควรพิจารณา แต่ยังมีอีกหลายองค์ประกอบที่ต้องคิด

ยาวมว้าก ขออนุญาตยาวนิดนึง เป็นการปูพื้นสำหรับสายคุณไสยมือใหม่ใสๆไม่มีความรู้อะไรเลย ใครเชี่ยวๆแล้วอาจจะมองว่ามันดูไร้สาระ ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้

หวังว่าจะพอเป็นประโยชน์บ้างไม่น้อยก็น้อยมากขระ อิอิ วันนี้ลองโพสปูพื้นดูก่อนขระ โพสลึกกลัวโดนดักตรบ

เจ้าแม่ประทานพรเรียบร้อย ขอตัวกลับสวรรค์ขระ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่