ทอยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันคุ้นเคยที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันคือความรู้สึกแปลกๆ ซึ่งเขาพบเจอในทุกครั้งที่ต้องออกไปทำงาน งานเพียงหนึ่งเดียวที่เขารู้จักนับตั้งแต่จำความได้ งานที่เขาไม่เคยคิดอยากทำ ไม่เพียงแค่นั้น ในบางครั้งความรู้สึกนี้ยังคอยติดตามมารบกวนให้เขาต้องสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก ตื่นจากความฝันอันลางเลือนพร้อมกับเหงื่อท่วมตัว ถึงแม้ว่ามันจะเป็นค่ำคืนอันแสนเหน็บหนาวก็ตาม
ความรู้สึกอ้างว้างอย่างที่สุดที่จะเกิดขึ้นเมื่อตัวตนของใครบางคนกำลังจะถูกตัดขาดออกจากสิ่งที่คุ้นเคย จากทุกสิ่งที่เคยเชื่อมโยงเข้ากับโลกใบนี้ ในยามที่เคียวคมกริบอันมีนามว่า ความตาย นั้นกำลังจะถูกตวัดลงมา มันคือช่วงเวลาแห่งความท้อแท้สิ้นหวัง ความวิตกสงสัย หรือแท้จริงแล้ว มันอาจเป็นโอกาสของการค้นพบอันยิ่งใหญ่ก็เป็นได้
โศกาคิด ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเล่มนั้นว่า
'ผู้คนทั้งหลายมักเข้าใจว่า ชีวิตนั้นเป็นสิทธิพิเศษเฉพาะของสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ที่จริงแล้วชีวิตนั้นอาจแฝงอยู่ในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็น หิน ดิน ทราย น้ำ ทะเล โลก อวกาศ ห้วงจักรวาลแห่งนี้ หรือแห่งอื่นๆ ทุกสิ่งอาจเป็นหน่วยชีวิตได้ทั้งสิ้น ในทุกทุกระดับของความเป็นจริงนั้นอาจมีชีวิต หรือถ้าจะกล่าวอย่างถึงที่สุดก็คือ ความเป็นจริงนั้นเองที่มีชีวิต คือชีวิต และเมื่อมีชีวิต มันก็ย่อมหนีความตายไปไม่พ้นเช่นกัน
ความตายครั้งสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อาจเป็นการตายของความเป็นจริงในทุกระดับชั้น คือการดับสิ้นลงของความเป็นจริงที่มีอยู่ทั้งหมดนั่นเอง
มันอาจฟังดูน่ากลัว แต่ใครจะรู้ ความเป็นจริงอันยิ่งใหญ่ที่เรารู้จักกันอยู่นี้ บางทีมันอาจเป็นเพียงแค่องค์ประกอบเล็กๆ ที่ไม่สำคัญของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่จนเกินกว่าที่เราจะจินตนาการไปถึงก็เป็นได้'
ทอยไม่เคยเข้าใจข้อความเหล่านี้เลย และไม่แน่ใจด้วยว่าตัวผู้เขียนเองจะเข้าใจในสิ่งที่เขียนขึ้นมานี้สักเพียงใด หรือจิตใจของผู้เขียนในช่วงเวลานั้นจะยังปกติดีหรือไม่
สิ่งเดียวที่ทอยรับรู้ได้ก็คือ ความตายกำลังจะเกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ และในชั่วขณะนี้
ลินคอน ไม่รู้ว่าโฮมพาคนแปลกหน้าพวกนี้มาป้วนเปี้ยนอยู่ที่หน้าห้องลับเพื่ออะไร รู้เพียงแต่ว่าเขาไม่ชอบมันเลย เขาไม่ชอบการหายตัวไปอย่างลึกลับของคุณครอส ไม่ชอบกับการที่ต้องตัดสินใจกักขังฟรอสเอาไว้ภายในห้อง ไม่ชอบข่าวร้ายที่เขาพึ่งได้รับมา และที่แย่ที่สุดก็คือ เขายังไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาทั้งหมดนี้ได้อย่างไร
'แต่ใครก็ตามที่คิดจะปลดปล่อยฟรอสออกมาในตอนนี้ต้องข้ามศพฉันไปก่อน'
มือของเขาขยับอย่างรวดเร็ว เหมือนกับที่เคยเป็นในวัยหนุ่ม เหมือนกับในสงครามผีดูดเลือดครั้งนั้น สงครามที่เขาก็ไม่เคยพอใจเช่นกัน 'สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่ความเป็นจริง ขวานที่เห็นก็อาจไม่ใช่ขวาน' เขาชักขวานออกมาจากซองอย่างรวดเร็ว มือจับเข้าไปในส่วนโลหะที่เป็นหัวขวานซึ่งออกแบบมาอย่างประหลาดให้เป็นช่องเหมือนด้ามจับ พร้อมกับไกปืน ส่วนปลายด้ามขวานที่มีรูนั้นถูกชี้ตรงไปที่โฮม
โฮมไม่รู้ว่าปืนของตัวเองมาอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไร 'เอดิสันซึ่งเป็นผู้ที่ประดิษฐ์ปืนขึ้นมาเป็นคนแรกจะออกแบบขวานของเขาอย่างไร' ในสงครามผีดูดเลือด คมขวาน มุมเหวี่ยง และกำลังจากแขนอาจแยกกล้ามเนื้อ กระดูกคอ แยกศีรษะของผีดูดเลือดให้หลุดออกจากร่างได้ แต่เมื่ออยู่ในระยะไกล หมุดไม้ที่ถูกยิงออกมาด้วยแรงจากสปริงอย่างแม่นยำย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่า
'ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำอย่างนี้' โฮมคิด แต่เขาไม่เคยนำเหตุผลของตนเองไปใช้ตัดสินการกระทำของผู้อื่น เขาเคยแต่ต้องพยายามคิดให้เหมือนกับพวกอาชญากร คิดให้ออกว่าพวกเขาจะทำอย่างไร และคำตอบนั้นก็ออกมาชัดเจน
ทั้งสองต่างเหนี่ยวไกอาวุธในมือพร้อมกัน
“พวกคุณสองคนนั่งลงคุยกันดีดี ดีกว่า”
สโนวที่สามารถรับรู้ได้ถึงความบาดหมางจากคำพูด น้ำเสียง และท่าทาง ที่ทั้งสองมีต่อกัน แต่กลับไม่ทันพบเห็นอาวุธในมือของทั้งสอง ได้ก้าวออกมายืนขวางโฮมเอาไว้ พร้อมกับปัดมือของเขาอย่างรวดเร็ว จนทำให้ใบมีดที่พุ่งออกมาจากปากกระบอกปืนนั้นขึ้นไปติดอยู่บนเพดานเหนือเป้าหมาย ปลายแหลมของใบมีดจมลึก ในขณะที่ส่วนปลายยังคงสั่นไม่ยอมหยุด
ลินคอน มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา หมุดไม้เนื้อแข็งที่เคยสามารถทะลุทะลวงหน้าอก บดขยี้หัวใจของผีดูดเลือดให้แหลกสลายในชั่วพริบตา กลับกระเด็นออกจากหน้าอกเสื้อของสโนวโดยไม่อาจทำอันตรายใดๆ เธอได้เลย
ทั้งสามคนต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ยกเว้นเพียงสโนวเท่านั้นที่ยังคงพูดต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “การเข้าใจผิดนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ บางครั้งถ้าเพียงแค่พูดจากัน ได้รับรู้ความต้องการของแต่ละฝ่าย ถึงแม้บางทีความเห็นอาจยังไม่ตรงกันเสียทีเดียว แต่ก็อาจปรับเปลี่ยนจนยอมรับกันได้” พร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้ทั้งสองฝ่าย ที่ต่างทำได้เพียงแค่เก็บอาวุธของตนพร้อมกับความงงงัน ซึ่งยิ่งทำให้เธอเข้าใจไปว่าคำพูดของตนนั้นได้ผล
“คุณครอสมักพูดเสมอว่าการมีผู้หญิงอยู่ด้วยจะช่วยลดความรุนแรงในการเจรจาลงได้ และคุณครอสมักชื่นชมฉันในเรื่องนี้เสมอ” เธอบอกอย่างภาคภูมิใจ
ลินคอนอยากถามออกไปว่า 'คุณครอสเคยบอกด้วยหรือไม่ว่าเธอมีความสามารถในการใช้หน้าอกหยุดหมุดแหลมที่ทำมาจากไม้เนื้อแข็งซึ่งพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูงด้วย' ซึ่งมันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ทั้งสามคนต่างเกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นพร้อมกัน ภาพของ คุณครอส ฟรอส และสโนว ที่กำลังทำงานร่วมกันอยู่ภายในสำนักงานของร้านของเล่นแห่งนั้น ข้อสรุปที่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว หญิงสาวผู้นี้เองก็คงต้องเป็นหนึ่งในคนเก่าแก่ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างนั้น เหตุการณ์ในครั้งนี้ก็พอจะมีเหตุผลขึ้นมาบ้าง
แต่ทั้งหมดนี้จะด้วยเหตุใดก็ตาม มันก็ได้ทำให้เหตุการณ์คลี่คลายลงได้ในแบบแปลกๆ คู่กรณีทั้งสองที่เกือบลงมือฆ่ากันเมื่อครู่ต่างมองหน้ากัน และโฮมตัดสินใจเป็นฝ่ายที่จะเดินเข้าไปหาในช่วงระยะห่างที่เหลืออยู่ พร้อมกับความสงสัยในใจ อย่าง 'ขวานของเขาจะยิงได้อีกกี่ครั้ง' กับ 'ระหว่างเราใครชักปืนได้ไวกว่ากัน'
“ผมขอโทษที่ฝ่าฝืนคำสั่ง แต่ผมมีเหตุผลที่ทำให้ต้องสงสัยในการกระทำของท่านครับ” โฮมจ้องลินคอน ที่ไม่ยอมหลบสายตา
“...คุณเปิดประตูบานนั้นได้อย่างไร สารวัตร” ลินคอนถาม
“...ผมรู้จักกับคนที่สร้างขวานของท่านครับ” โฮมตอบ
ลินคอนพยักหน้าช้าๆ มันเป็นคำตอบที่สามารถไขข้อสงสัยได้หลายข้อพร้อมกัน เอดิสันเป็นเพียงหนึ่งในอีกไม่กี่คนที่มีกุญแจเมืองอยู่ในครอบครอง และรู้ว่าจะใช้งานมันได้อย่างไร รวมทั้งยังช่วยอธิบายถึงการตอบสนองอันรวดเร็วของโฮมที่มีต่อขวานของเขาด้วย 'เขาคงได้ยินเรื่องของมันมาจากเอ็ด' ซึ่งไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะโฮมสามารถคาดเดาเรื่องการที่มันสามารถใช้เป็นปืนได้เอง แต่ก็ยังคงเหลือปัญหาที่ต้องการคำตอบอยู่อีกหลายข้อ โฮมรู้เรื่องมากน้อยแค่ไหน เขาคิดจะทำอะไร สโนวอาจเป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลที่สำคัญของเขา แต่นักฆ่าหนุ่มคนนั้นเกี่ยวอะไรด้วย และจะสามารถไว้ใจได้หรือไม่
ลินคอนลดเสียงให้เบาลงพร้อมกับขยับตัวนำโฮมให้เดินห่างออกมาจากกลุ่มที่เหลือ “คุณบอกว่าสงสัยในการกระทำของผม ผมเองก็สงสัยในการกระทำของคุณเช่นกัน สารวัตร” เขาแกล้งเหลือบมองไปทางสองหนุ่มสาวอย่างจงใจ “พวกคุณรู้อะไร มากแค่ไหนกันแน่”
ทั้งสองต่างเริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างระมัดระวัง
ทอยก้มเก็บหมุดไม้ท่อนเล็กๆ นั้นขึ้นมาดูอย่างระวัง มันเป็นไม้เนื้อดีที่หาได้ยากในปัจจุบัน ความเก่าแก่นั้นทำให้มันแข็งเหมือนหิน และบางทีอาจแหลมคมยิ่งกว่าหอกที่ตีขึ้นจากเหล็กด้วยซ้ำ ไม่มีทางเลยที่สโนวจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็พบเห็นเพียงรอยขาดจุดเล็กๆ บนอกเสื้อของเธอเท่านั้น
เขาหมุนมันในมือไปมาอย่างใช้ความคิด ในขณะที่รอคอยโฮมกับลินคอนพูดคุยกันให้จบ แต่ในที่สุด ความสงสัยก็เป็นฝ่ายชนะ
“คุณไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยหรือครับ” เขาลองถามหยั่งเชิง
สโนวยิ้มเขินๆ “ไม่เลยค่ะ”
“เอ่อ คุณทำได้อย่างไรครับ มันน่าจะ...” เขาแสดงท่าประกอบด้วยหมุดไม้ว่ามันควรจะแทงเข้าไปในหน้าอกของเธอ เธอหน้าแดง และมันทำให้เขารู้สึกอายไปด้วยอย่างไม่มีเหตุผล
“มันเป็นเพราะ...แฟชั่น” เสียงในตอนท้ายของเธอเบาลงจนเกือบไม่ได้ยิน
“...แฟชั่น...เอ่อ...ผมไม่ค่อยเข้าใจ” ที่จริงเขาไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
“มันเป็นแฟชั่นเก่าที่คงพ้นสมัยไปนานแล้ว แต่ฉันยังคงชอบใส่เสื้อเกราะอ่อนไว้ข้างใน และตัวนี้ออกแบบมาเป็นพิเศษ มันเบามาก สามารถป้องกันอาวุธปลายแหลมได้ดี แถมยังสวมใส่สบายด้วย” คราวนี้เธอพูดเร็วติดกัน พร้อมทั้งก้มมองปลายเท้าของตัวเองไปด้วย
เขาไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าแฟชั่น แต่เขาก็แต่งกายโดยรวมได้ไม่แย่นัก อย่างน้อยก็ไม่มีใครเคยหันมองเขาซ้ำด้วยสายตาแปลกๆ 'ถ้าพวกเขาจะบังเอิญ เห็น ฉันได้' แต่เขาไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงคนใดสวมใส่เกราะอ่อนไว้โดยคิดว่ามันเป็นแฟชั่นอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะย้อนไปเก่าแก่เพียงใดก็ตาม
'ยกเว้นแต่ในยุคของอัศวิน และ' ใช่เลย คำนั้น 'เจ้าหญิง' เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ
“...มันทำด้วยโลหะที่เรียกกันว่า มิทริล คล้ายกับเงิน แต่แข็งแรง และเบากว่ามาก ถักทอได้เหมือนเส้นไหม สวมใส่สบาย แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้วิธีตีมันขึ้นใหม่ได้อีกแล้ว”
'เยี่ยม ตอนนี้เขาคงรู้แล้วว่าเธอเป็นตัวประหลาด' เสียงที่เร็วที่สุดจากหนึ่งในเจ็ดเสียงดังขึ้นในหัวของเธอ 'เงียบ' เธอบอก 'ใช่ มันช่วยไม่ได้เพราะเธอก็เป็นแบบนี้ทุกที' อีกเสียงว่า 'ฉัน บอก ให้ เงียบ' เธอพยายามไม่แสดงออกทางสีหน้า เสียงหัวเราะของทั้งเจ็ดดังขึ้นพร้อมกันก่อนจะพากันเงียบหายไป แต่ก็คงไม่นาน
'ฉันทำพลาด และพูดมากเกินไปอีกแล้ว' เธอคิด และมั่นใจมากว่านี่ต้องเป็นความคิดของเธอเองแน่ ไม่ใช่จากหนึ่งในพวกนั้น เธออยู่กับพวกเขามานาน แต่ก็ไม่เคยแน่ใจว่าใครเป็นใคร หรือในบางครั้งแม้แต่จะแค่แยกแยะว่าใช่ความคิดของเธอจริงหรือไม่ก็ยากเย็นเต็มที เพราะภายในความคิดเสียงทั้งหมดนั้นแทบไม่ต่างกันเลย
เธอหันไปมองชายสองคนที่ดูเหมือนตอนนี้จะคุยกันเสร็จแล้ว และพากันเดินมาหาพวกเธอ ท่าทีระหว่างทั้งสองคนดูดีขึ้นอย่างที่เธอคาด หรืออย่างน้อยทั้งสองก็แสดงออกมาให้เห็นอย่างนั้น 'พวกเขามักชอบเหวี่ยงอาวุธ หรือกำปั้นเข้าใส่กัน มันมักเป็นแบบนี้เสมอ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร'
ทอย (23)
ความรู้สึกอ้างว้างอย่างที่สุดที่จะเกิดขึ้นเมื่อตัวตนของใครบางคนกำลังจะถูกตัดขาดออกจากสิ่งที่คุ้นเคย จากทุกสิ่งที่เคยเชื่อมโยงเข้ากับโลกใบนี้ ในยามที่เคียวคมกริบอันมีนามว่า ความตาย นั้นกำลังจะถูกตวัดลงมา มันคือช่วงเวลาแห่งความท้อแท้สิ้นหวัง ความวิตกสงสัย หรือแท้จริงแล้ว มันอาจเป็นโอกาสของการค้นพบอันยิ่งใหญ่ก็เป็นได้
โศกาคิด ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเล่มนั้นว่า
'ผู้คนทั้งหลายมักเข้าใจว่า ชีวิตนั้นเป็นสิทธิพิเศษเฉพาะของสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ที่จริงแล้วชีวิตนั้นอาจแฝงอยู่ในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็น หิน ดิน ทราย น้ำ ทะเล โลก อวกาศ ห้วงจักรวาลแห่งนี้ หรือแห่งอื่นๆ ทุกสิ่งอาจเป็นหน่วยชีวิตได้ทั้งสิ้น ในทุกทุกระดับของความเป็นจริงนั้นอาจมีชีวิต หรือถ้าจะกล่าวอย่างถึงที่สุดก็คือ ความเป็นจริงนั้นเองที่มีชีวิต คือชีวิต และเมื่อมีชีวิต มันก็ย่อมหนีความตายไปไม่พ้นเช่นกัน
ความตายครั้งสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อาจเป็นการตายของความเป็นจริงในทุกระดับชั้น คือการดับสิ้นลงของความเป็นจริงที่มีอยู่ทั้งหมดนั่นเอง
มันอาจฟังดูน่ากลัว แต่ใครจะรู้ ความเป็นจริงอันยิ่งใหญ่ที่เรารู้จักกันอยู่นี้ บางทีมันอาจเป็นเพียงแค่องค์ประกอบเล็กๆ ที่ไม่สำคัญของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่จนเกินกว่าที่เราจะจินตนาการไปถึงก็เป็นได้'
ทอยไม่เคยเข้าใจข้อความเหล่านี้เลย และไม่แน่ใจด้วยว่าตัวผู้เขียนเองจะเข้าใจในสิ่งที่เขียนขึ้นมานี้สักเพียงใด หรือจิตใจของผู้เขียนในช่วงเวลานั้นจะยังปกติดีหรือไม่
สิ่งเดียวที่ทอยรับรู้ได้ก็คือ ความตายกำลังจะเกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ และในชั่วขณะนี้
ลินคอน ไม่รู้ว่าโฮมพาคนแปลกหน้าพวกนี้มาป้วนเปี้ยนอยู่ที่หน้าห้องลับเพื่ออะไร รู้เพียงแต่ว่าเขาไม่ชอบมันเลย เขาไม่ชอบการหายตัวไปอย่างลึกลับของคุณครอส ไม่ชอบกับการที่ต้องตัดสินใจกักขังฟรอสเอาไว้ภายในห้อง ไม่ชอบข่าวร้ายที่เขาพึ่งได้รับมา และที่แย่ที่สุดก็คือ เขายังไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาทั้งหมดนี้ได้อย่างไร
'แต่ใครก็ตามที่คิดจะปลดปล่อยฟรอสออกมาในตอนนี้ต้องข้ามศพฉันไปก่อน'
มือของเขาขยับอย่างรวดเร็ว เหมือนกับที่เคยเป็นในวัยหนุ่ม เหมือนกับในสงครามผีดูดเลือดครั้งนั้น สงครามที่เขาก็ไม่เคยพอใจเช่นกัน 'สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่ความเป็นจริง ขวานที่เห็นก็อาจไม่ใช่ขวาน' เขาชักขวานออกมาจากซองอย่างรวดเร็ว มือจับเข้าไปในส่วนโลหะที่เป็นหัวขวานซึ่งออกแบบมาอย่างประหลาดให้เป็นช่องเหมือนด้ามจับ พร้อมกับไกปืน ส่วนปลายด้ามขวานที่มีรูนั้นถูกชี้ตรงไปที่โฮม
โฮมไม่รู้ว่าปืนของตัวเองมาอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไร 'เอดิสันซึ่งเป็นผู้ที่ประดิษฐ์ปืนขึ้นมาเป็นคนแรกจะออกแบบขวานของเขาอย่างไร' ในสงครามผีดูดเลือด คมขวาน มุมเหวี่ยง และกำลังจากแขนอาจแยกกล้ามเนื้อ กระดูกคอ แยกศีรษะของผีดูดเลือดให้หลุดออกจากร่างได้ แต่เมื่ออยู่ในระยะไกล หมุดไม้ที่ถูกยิงออกมาด้วยแรงจากสปริงอย่างแม่นยำย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่า
'ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำอย่างนี้' โฮมคิด แต่เขาไม่เคยนำเหตุผลของตนเองไปใช้ตัดสินการกระทำของผู้อื่น เขาเคยแต่ต้องพยายามคิดให้เหมือนกับพวกอาชญากร คิดให้ออกว่าพวกเขาจะทำอย่างไร และคำตอบนั้นก็ออกมาชัดเจน
ทั้งสองต่างเหนี่ยวไกอาวุธในมือพร้อมกัน
“พวกคุณสองคนนั่งลงคุยกันดีดี ดีกว่า”
สโนวที่สามารถรับรู้ได้ถึงความบาดหมางจากคำพูด น้ำเสียง และท่าทาง ที่ทั้งสองมีต่อกัน แต่กลับไม่ทันพบเห็นอาวุธในมือของทั้งสอง ได้ก้าวออกมายืนขวางโฮมเอาไว้ พร้อมกับปัดมือของเขาอย่างรวดเร็ว จนทำให้ใบมีดที่พุ่งออกมาจากปากกระบอกปืนนั้นขึ้นไปติดอยู่บนเพดานเหนือเป้าหมาย ปลายแหลมของใบมีดจมลึก ในขณะที่ส่วนปลายยังคงสั่นไม่ยอมหยุด
ลินคอน มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา หมุดไม้เนื้อแข็งที่เคยสามารถทะลุทะลวงหน้าอก บดขยี้หัวใจของผีดูดเลือดให้แหลกสลายในชั่วพริบตา กลับกระเด็นออกจากหน้าอกเสื้อของสโนวโดยไม่อาจทำอันตรายใดๆ เธอได้เลย
ทั้งสามคนต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ยกเว้นเพียงสโนวเท่านั้นที่ยังคงพูดต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “การเข้าใจผิดนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ บางครั้งถ้าเพียงแค่พูดจากัน ได้รับรู้ความต้องการของแต่ละฝ่าย ถึงแม้บางทีความเห็นอาจยังไม่ตรงกันเสียทีเดียว แต่ก็อาจปรับเปลี่ยนจนยอมรับกันได้” พร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้ทั้งสองฝ่าย ที่ต่างทำได้เพียงแค่เก็บอาวุธของตนพร้อมกับความงงงัน ซึ่งยิ่งทำให้เธอเข้าใจไปว่าคำพูดของตนนั้นได้ผล
“คุณครอสมักพูดเสมอว่าการมีผู้หญิงอยู่ด้วยจะช่วยลดความรุนแรงในการเจรจาลงได้ และคุณครอสมักชื่นชมฉันในเรื่องนี้เสมอ” เธอบอกอย่างภาคภูมิใจ
ลินคอนอยากถามออกไปว่า 'คุณครอสเคยบอกด้วยหรือไม่ว่าเธอมีความสามารถในการใช้หน้าอกหยุดหมุดแหลมที่ทำมาจากไม้เนื้อแข็งซึ่งพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูงด้วย' ซึ่งมันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ทั้งสามคนต่างเกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นพร้อมกัน ภาพของ คุณครอส ฟรอส และสโนว ที่กำลังทำงานร่วมกันอยู่ภายในสำนักงานของร้านของเล่นแห่งนั้น ข้อสรุปที่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว หญิงสาวผู้นี้เองก็คงต้องเป็นหนึ่งในคนเก่าแก่ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างนั้น เหตุการณ์ในครั้งนี้ก็พอจะมีเหตุผลขึ้นมาบ้าง
แต่ทั้งหมดนี้จะด้วยเหตุใดก็ตาม มันก็ได้ทำให้เหตุการณ์คลี่คลายลงได้ในแบบแปลกๆ คู่กรณีทั้งสองที่เกือบลงมือฆ่ากันเมื่อครู่ต่างมองหน้ากัน และโฮมตัดสินใจเป็นฝ่ายที่จะเดินเข้าไปหาในช่วงระยะห่างที่เหลืออยู่ พร้อมกับความสงสัยในใจ อย่าง 'ขวานของเขาจะยิงได้อีกกี่ครั้ง' กับ 'ระหว่างเราใครชักปืนได้ไวกว่ากัน'
“ผมขอโทษที่ฝ่าฝืนคำสั่ง แต่ผมมีเหตุผลที่ทำให้ต้องสงสัยในการกระทำของท่านครับ” โฮมจ้องลินคอน ที่ไม่ยอมหลบสายตา
“...คุณเปิดประตูบานนั้นได้อย่างไร สารวัตร” ลินคอนถาม
“...ผมรู้จักกับคนที่สร้างขวานของท่านครับ” โฮมตอบ
ลินคอนพยักหน้าช้าๆ มันเป็นคำตอบที่สามารถไขข้อสงสัยได้หลายข้อพร้อมกัน เอดิสันเป็นเพียงหนึ่งในอีกไม่กี่คนที่มีกุญแจเมืองอยู่ในครอบครอง และรู้ว่าจะใช้งานมันได้อย่างไร รวมทั้งยังช่วยอธิบายถึงการตอบสนองอันรวดเร็วของโฮมที่มีต่อขวานของเขาด้วย 'เขาคงได้ยินเรื่องของมันมาจากเอ็ด' ซึ่งไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะโฮมสามารถคาดเดาเรื่องการที่มันสามารถใช้เป็นปืนได้เอง แต่ก็ยังคงเหลือปัญหาที่ต้องการคำตอบอยู่อีกหลายข้อ โฮมรู้เรื่องมากน้อยแค่ไหน เขาคิดจะทำอะไร สโนวอาจเป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลที่สำคัญของเขา แต่นักฆ่าหนุ่มคนนั้นเกี่ยวอะไรด้วย และจะสามารถไว้ใจได้หรือไม่
ลินคอนลดเสียงให้เบาลงพร้อมกับขยับตัวนำโฮมให้เดินห่างออกมาจากกลุ่มที่เหลือ “คุณบอกว่าสงสัยในการกระทำของผม ผมเองก็สงสัยในการกระทำของคุณเช่นกัน สารวัตร” เขาแกล้งเหลือบมองไปทางสองหนุ่มสาวอย่างจงใจ “พวกคุณรู้อะไร มากแค่ไหนกันแน่”
ทั้งสองต่างเริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างระมัดระวัง
ทอยก้มเก็บหมุดไม้ท่อนเล็กๆ นั้นขึ้นมาดูอย่างระวัง มันเป็นไม้เนื้อดีที่หาได้ยากในปัจจุบัน ความเก่าแก่นั้นทำให้มันแข็งเหมือนหิน และบางทีอาจแหลมคมยิ่งกว่าหอกที่ตีขึ้นจากเหล็กด้วยซ้ำ ไม่มีทางเลยที่สโนวจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็พบเห็นเพียงรอยขาดจุดเล็กๆ บนอกเสื้อของเธอเท่านั้น
เขาหมุนมันในมือไปมาอย่างใช้ความคิด ในขณะที่รอคอยโฮมกับลินคอนพูดคุยกันให้จบ แต่ในที่สุด ความสงสัยก็เป็นฝ่ายชนะ
“คุณไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยหรือครับ” เขาลองถามหยั่งเชิง
สโนวยิ้มเขินๆ “ไม่เลยค่ะ”
“เอ่อ คุณทำได้อย่างไรครับ มันน่าจะ...” เขาแสดงท่าประกอบด้วยหมุดไม้ว่ามันควรจะแทงเข้าไปในหน้าอกของเธอ เธอหน้าแดง และมันทำให้เขารู้สึกอายไปด้วยอย่างไม่มีเหตุผล
“มันเป็นเพราะ...แฟชั่น” เสียงในตอนท้ายของเธอเบาลงจนเกือบไม่ได้ยิน
“...แฟชั่น...เอ่อ...ผมไม่ค่อยเข้าใจ” ที่จริงเขาไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
“มันเป็นแฟชั่นเก่าที่คงพ้นสมัยไปนานแล้ว แต่ฉันยังคงชอบใส่เสื้อเกราะอ่อนไว้ข้างใน และตัวนี้ออกแบบมาเป็นพิเศษ มันเบามาก สามารถป้องกันอาวุธปลายแหลมได้ดี แถมยังสวมใส่สบายด้วย” คราวนี้เธอพูดเร็วติดกัน พร้อมทั้งก้มมองปลายเท้าของตัวเองไปด้วย
เขาไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าแฟชั่น แต่เขาก็แต่งกายโดยรวมได้ไม่แย่นัก อย่างน้อยก็ไม่มีใครเคยหันมองเขาซ้ำด้วยสายตาแปลกๆ 'ถ้าพวกเขาจะบังเอิญ เห็น ฉันได้' แต่เขาไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงคนใดสวมใส่เกราะอ่อนไว้โดยคิดว่ามันเป็นแฟชั่นอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะย้อนไปเก่าแก่เพียงใดก็ตาม
'ยกเว้นแต่ในยุคของอัศวิน และ' ใช่เลย คำนั้น 'เจ้าหญิง' เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ
“...มันทำด้วยโลหะที่เรียกกันว่า มิทริล คล้ายกับเงิน แต่แข็งแรง และเบากว่ามาก ถักทอได้เหมือนเส้นไหม สวมใส่สบาย แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้วิธีตีมันขึ้นใหม่ได้อีกแล้ว”
'เยี่ยม ตอนนี้เขาคงรู้แล้วว่าเธอเป็นตัวประหลาด' เสียงที่เร็วที่สุดจากหนึ่งในเจ็ดเสียงดังขึ้นในหัวของเธอ 'เงียบ' เธอบอก 'ใช่ มันช่วยไม่ได้เพราะเธอก็เป็นแบบนี้ทุกที' อีกเสียงว่า 'ฉัน บอก ให้ เงียบ' เธอพยายามไม่แสดงออกทางสีหน้า เสียงหัวเราะของทั้งเจ็ดดังขึ้นพร้อมกันก่อนจะพากันเงียบหายไป แต่ก็คงไม่นาน
'ฉันทำพลาด และพูดมากเกินไปอีกแล้ว' เธอคิด และมั่นใจมากว่านี่ต้องเป็นความคิดของเธอเองแน่ ไม่ใช่จากหนึ่งในพวกนั้น เธออยู่กับพวกเขามานาน แต่ก็ไม่เคยแน่ใจว่าใครเป็นใคร หรือในบางครั้งแม้แต่จะแค่แยกแยะว่าใช่ความคิดของเธอจริงหรือไม่ก็ยากเย็นเต็มที เพราะภายในความคิดเสียงทั้งหมดนั้นแทบไม่ต่างกันเลย
เธอหันไปมองชายสองคนที่ดูเหมือนตอนนี้จะคุยกันเสร็จแล้ว และพากันเดินมาหาพวกเธอ ท่าทีระหว่างทั้งสองคนดูดีขึ้นอย่างที่เธอคาด หรืออย่างน้อยทั้งสองก็แสดงออกมาให้เห็นอย่างนั้น 'พวกเขามักชอบเหวี่ยงอาวุธ หรือกำปั้นเข้าใส่กัน มันมักเป็นแบบนี้เสมอ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร'