เคล็ดไม่ลับสู่ความสำเร็จ

เหตุผลที่ทำให้ผมรู้สึกอยากเขียนกระทู้นี้ คือ เมื่อหันไปทางซ้ายหรือหันขวาในปัจจุบัน ก็มักเห็นคนที่สับสนในชีวิต และไม่รู้ว่าหนทางสู่ความสำเร็จหน้าตาอย่างไร ผมจึงอยากมาแบ่งปันแนวคิดให้ฟังซักหน่อยนะครับ

ขอเริ่มเลยนะครับ

1.ต้องรู้จักตนเอง
เหตุผลแรกที่หลาย ๆ คนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต คือ ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว ตัวเองเป็นคนอย่างไร มีจุดแข็งจุดอ่อน อย่างไร ไม่รู้ว่าตนถนัดอย่างไร เปรียบเสมือนคนที่อยากไปบางที่แต่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วจุดมุ่งหมายนั้นคืออะไร และก็ถูกผู้อื่นกำหนดทิศทางชีวิต นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่มีนักศึกษา ซิ่วเป็นจำนวนมากทุกปี ตอนเลือกคณะก็ไม่ได้มีเจตนาเรียนเปฺนพิเศษ พ่อแม่บังคับบ้าง ตามเพื่อนบ้าง หรือบางคนอาจโชคดีได้คณะทีาเหมาะกับตน

หากไม่รู้จะเริ่มรู้จักตนเองอย่างไรก็ลองเปิดเวบนี้ดูได้
http://www.astrosimple.com/article/index.php?item=mbti
แล้วลองมองตัวเองในกระจกให้ดีว่าตนเองเป็นคนอย่างไร

2.วิธีการในการประสบความสำเร็จ
ในเมื่อเรามีจุดมุ่งหมายแล้ว วิ่งจำเป็นต่อมาคือแผนที่ จุดที่สองที่คนส่วนใหญ่มักพลาด คือ การวางแผนไปสู่จุดมุ่งหมาย หลายคนคนว่าการลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ ก็จะดีเอง ซึ่งผมก็ไม่เถียงว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ แต่ผมขอเถียงว่ามันเสียเวลา ในเมื่อเคยมีคนอื่นผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาแล้ว ทำไมเราถึงต้องพลาดตามเขาอีก แทนที่เราจัเป็นสตีฟ จอบส์ คนที่สอง ทำไมเราไม่ลองศึกษาประวัติของเขา แล้วเลี่ยงจุดผิดพลาด และ เอามาแต่จุดดี และผสมกับจุดดีของบิล เกตส์ และจุดดีของโอบาม่า
ประเด็นที่สองของผมคือ ให้รู้ล่วงหน้าว่าเราจำเป็นต้องมีอะไร ต้องผ่านอะไร และมีอะไรที่สามารถเลี่ยงได้เพื่อบรรลุถึงจุดมุ่งหมายเรา

3.อย่าปล่อยให้ความผิดพลาดทำเราท้อแท้
ในโลกนี้ไม่เคยมีใครไม่ผิดพลาด แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างผู้ที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวคือความเปิดใจต่อความผิดพลาด ในหลาย ๆ ครั้งความล้มเหลวมีบทเรียนแทรกเอาไว้มากกว่าความสำเร็จเสียอีก (แต่แน่นอนว่าบางบทเรียนก็ไม่จำเป็นต้องพลาด การเตรียมตัวในข้อ 2 จึงสำคัญ)

4.จงเรียนรู้เสมอ
ข้อนี้คือข้อที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุด ความสำเร็จอย่างยั่งยืนในชีวิตแปรผันกับระดับความสามารถที่เรามี ยิ่งเราเก่งเท่าไหร่อัตราความล้มเหลวเรายิ่งต่ำ และอัตราการจ้างของเรายิ่งสูง แต่ความเก่งของเราขึ้นอยู่กับระดับความรู้ของเรา ไม่มีใครเกิดมาเก่งทุกด้าน และในหนึ่งชั่วชีวิตก็ไม่มีใครสามารถบรรลุทุกด้านได้ แต่คนเราสามารถเป็นผู้เชี่นวชาญหลาย ๆ ด้านได้ งานวิจัยหนึ่งได้ระบุว่าคนเราใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี ที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในหนึ่งด้าน ภายใน 6 ปีเราก็สามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ตั้งสามด้านแล้ว เพราะฉะนั้น แม้ว่าคุณจะเรียนจบแล้ว แต่คุณอย่าเลิกเป็นผู้เรียน เพราะคุณไม่ทีวันรู้ทุกอย่าง แต่ยิ่งคุณรู้เยอะคุณจะยิ่งประสบความสำเร็จ

ตัวอย่างประกอบการอธิบาย
สมมุติว่าผมอยากรวย
ผมต้องระบุให้ได้ก่อนว่ารวยอย่างไร
ผมคิดว่าการเป็นผู้ประกอบการเหมาะกับผม
แล้วผมต้องรู้ว่าผู้ประกอบการทำอะไรบ้าง
ผมต้องศึกษาว่าบริษัทใหม่ ๆ ทำอะไรบ้าง ตลาดในปัจจุบันต้องการอะไร โครงสร้างบริษัทที่ดีหน้าตาอย่างไร (อาจจะเรียนจากมหาวิทยาลัย ยูทูป หรือหนังสือก็ได้)
แล้วต่อมาผมต้องไม่ปล่อยให้ความล้มเหลวหยุดผม ผมขออนุญาตยกตัวอย่างคุณโจ แม่สาย เจ้าของบริษัทติดตั้งแก๊สในรถยนต์ เวอซุส นะครับ ในบทสัมภาษณ์หนึ่งเค้าได้กล่าวว่าตอนเริ่มกิจการใหม่ ๆ ผู้ส่งอะไหล่ของเขาได้ทำสัญญาส่งอะไหล่แบบผูดขาดกับคู่แข่งคนหนึ่งทำให้เขาขาดอะไหล่ เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปประเทศที่ผลิตอะไหล่พวกนั้น แล้วเขาก็ได้เขอผู้ผลิตอีกราย ซึ่งมีคุณภาพดีกว่าแต่ราคาถูกกว่าเจ้าเดิม
และในอนาคตแม้ว่าจะประสบความสำเร็จแล้วแตาก็ห้ามหยุดพัฒนาตนเองมิฉะนั้นก็อาจพลาดได้ เช่นบนิษัทโกดัก ที่ผลิตฟิล์ม และกล้องถ่ายรูป เนื่องจากไม่ปรับตัวกับโลกดิจิตอลจึงค่อย ๆ เสื่อมความนิยมจนใกล้ล้มละลาย

หวังว่าแนวคิดเล็ก ๆ ผมจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านนะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่