คิดยังไงกับข้อความที่แชร์กันในเฟสของฝ่าย กปปส. ถึงคนที่รำคาญม็อบ

กระทู้สนทนา
เพื่อนส่งมาให้ ถูกใจมากมาย...
Chokchai Ruangroj

ขอเขียนครั้งสุดท้าย ถึงผู้รำคาญ
ม๊อบ เพื่อความเข้าใจกันและกัน

1. ผมเคารพสิทธิ์พวกคุณ คุณไม่เห็นด้วย ไม่มาสู้กับพวกผมก็ไม่เป็นไร

2. พวกผมไม่ได้อยากออกสู่ท้องถนน ใครๆ ก็รู้ นั่ง นอน เที่ยว ดูหนัง ดูคอนเสิร์ต สนุกและสบายกว่าตั้งเยอะ พวกผมไม่ได้ออกมาเพื่อนักการเมือง และนักการเมืองก็ไม่สามารถสั่งพวกผมได้ แต่เราออกมาเพราะบ้านนี้ เมืองนี้ มีรัฐบาลที่ชั่วและไร้สามัญสำนึก ไม่ว่าเป็นพรรคไหน ถ้าทำชั่วเช่นนี้ พวกเราก็จะไล่

3. กลไกที่มีอยู่ตามปกติ ไม่สามารถจัดการได้ เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่มีผลใดๆ ยังไงมันก็ยกมือให้พวกเดียวกัน การตัดสินของศาลในทางที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล รัฐบาลก็ยอมรับอำนาจศาล แต่ถ้าตัดสินเป็นโทษต่อรัฐบาล รัฐบาลประกาศไม่ยอมรับ


4.พวกผมที่ออกมาเดินตามท้องถนน 10 คนใช้พื้นที่ถนนเท่ากับคุณคนเดียวที่ขับรถออกมาแล้วบ่นว่ารถติด

5. สังคมเราใช้คำว่าเป็นกลางอย่าง
พร่ำเพรื่อ โดยไม่ดูบริบท ความเป็นกลางควรมีในกรณีที่เหมาะสม เช่น ศาล ที่ตัดสินคดีระหว่างคู่ขัดแย้ง 2 ฝ่าย ต้องมีความเป็นกลาง, ประธานรัฐสภาที่ควบคุมกาอภิปราย ควรมีความเป็นกลาง แต่ในกรณีของโจรข่มขืน กับ เหยื่อที่กำลังจะโดนข่มขืน เมื่อคุณเห็นเหตุการณ์คุณเป็นกลางไม่ได้ ..ทุกวันนี้คุณก็เห็นๆ กันอยู่ ว่าประเทศโดนข่มขืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนคุณที่ไม่เห็น ถือว่าจบ ..เลิกอ่านไปเลย

6. เราใช้คำว่า"เห็นต่าง" อย่างพร่ำเพรื่ออีกเช่นกัน คำว่า"เห็นต่าง"ใช้ในกรณีที่ความเห็นแต่ละฝ่ายไม่ตรงกัน ในเรื่องที่ไม่สามารถตัดสินถูกผิดได้ เช่น แนวทางการรักษาคนไข้ เห็นไม่ตรงกันระหว่างแพทย์ต่างสาขา โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็เจตนาจะช่วยผู้ป่วย แต่ในเรื่องที่มันชัดเจนในตัวอยู่แล้ว เช่น การโกงคะแนนโหวต การเสียบบัตรแทนกัน การปลอมแปลงเอกสาร การออกกฎหมายเพื่อประโยชน์พวกพ้อง การแสดงความไม่ยอมรับกฏหมาย สิ่งเหล่านี้ เราควรจะเห็ตรงกันไม่ใช่เหรอครับ ว่า เราไม่ยอมรับ

7. คำว่า"เป็นกลาง" และ คำว่า
"เห็นต่าง" ถูกนำมาบิดเบือนให้เราอยู่เฉยๆ ในเรื่องที่ไม่ควรเป็นกลาง และไม่ควรเฉย

8. สังคมไทยถูกปลูกฝัง โดยนักเลือกตั้ง ว่า
เลือกตั้ง = ประชาธิปไตย โดยที่ฝ่ายชนะเลือกตั้ง ไม่สนใจองค์ประกอบสำคัญอื่นๆ ของประชาธิปไตยเลย เช่น การมีส่วนร่วมของประชาชน การถ่วงดุลอำนาจ ความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ การเคารพในเสียงของคนส่วนน้อย

9. ถ้ามีรัฐบาลไหน อยากชนะเลือกตั้ง แล้วออกนโยบายประชานิยม เอาใจคนจน เช่น รับจำนำข้าวในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ชาวนาที่ไหน ก็ต้องเลือก เพราะชาวนาได้ประโยชน์ แต่ประเทศขาดทุนย่อยยับปีละ 2 แสนล้าน โดยที่ระยะยาว ชาวนาไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้เลย คล้ายกับรัฐบาลจับชาวนาเป็นตัวประกัน ว่าเลือกตั้งครั้งหน้า ก็ต้องเลือกพรรคเรานะ ไม่งั้นพวกแกจะไม่สามารถขายข้าว
ได้เงินง่ายๆ แบบนี้อีก ถามว่าคะแนนเสียงที่ได้มาแบบนี้ เอามาอ้างความเป็นประชาธิปไตยได้ด้วยเหรอ

10. เมื่อรัฐบาลใช้ประชานิยม มอมเมาประชาชนระดับรากหญ้า ซึ่งมีจำนวนมาก จนเป็นง่อย ไม่สามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ ประชาชนก็จะอยู่ภายใต้การสั่งการ
ของรัฐบาล แต่รัฐบาลจะเอาเงินที่ไหน มาทำแบบนี้ไปได้ตลอด พอใช้เงินมือเติบ ก็จะไปกู้เงินมา 2.2 ล้านล้าน (โดยให้พวกเราทำงาน หาเงิน จ่ายภาษีใช้หนี้ที่พวกเค้าไปกู้) ทั้งๆ ที่ถ้าแค่เลิกโครงการประชานิยมซักโครงการ เช่นโครงการจำนำข้าวที่ขาดทุน
ปีละ 2 แสนล้าน เพียง 11 ปี เราก็จะได้เงิน เท่ากับจำนวนเงินที่รัฐบาล
จะไปกู้ให้เป็นหนี้นานไม่น้อยกว่า 50 ปี เงินส่วนต่างที่ไม่ต้องเสียไปกับการจำนำข้าวนี้สามารถนำมาพัฒนาการศึกษา พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้มากมาย แต่รัฐบาลไม่มีวันเลิกโครงการนี้ เพราะเค้าไม่ได้เห็นประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้งเค้าเห็นแต่ประโยชน์ของตนเอง

11. รัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งนี้
ไม่ใช่เหรอที่ลักหลับประชาชน
ออกกฎหมายล้างผิดให้พวกพ้องตน
ตอนตี4 รัฐบาลที่มาจากการ
เลือกตั้งนี้ ไม่ใช่เหรอ ที่ดาหน้าออกมาประกาศไม่ยอมรับคำตัดสินศาล รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนี้
ไม่ใช่เหรอ ที่จับประชาชนเป็นตัวประกันไว้กับโครงการประชานิยม เพื่อให้ประชาชนเป็นทาสเค้า และเลือกเค้าตลอดไป รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนี้ไม่ใช่เหรอ ที่แก้รัฐธรรมนูญเอื้อให้พรรคพวก
ตัวเอง สามารถสมัคร สว. ซ้ำได้โดยไม่ต้องเว้นวรรค และยังให้สังกัดพรรคการเมืองได้ ดังนั้น ถ้าแค่ยุบสภา แล้ว เลือกตั้งใหม่ มันจะต่างอะไรกับตอนนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องการปฏิรูปการเมือง ให้มันสะอาดกว่านี้

12. ถึงข้อนี้แล้ว ถ้าคุณยังเห็นว่ารัฐบาลยังควรอยู่ในตำแหน่งต่อไป ก็จบครับ ไม่ต้องอ่านต่อ.. แต่ถ้าคุณก็รู้สึก ว่า รัฐบาลนี้ มันเกินไปแล้วจริงๆ ควรแสดงความรับผิดชอบ ก็ออกมาร่วมกันขับไล่มันครับ

13. ถ้าคุณเห็นว่า รัฐบาลควรออกไป แต่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม กรุณาให้แนวทางอื่นที่เป็นไปได้ด้วยครับ ว่า จะให้ทำยังไง

14. ถ้าคุณยังคิดคำตอบข้อ 13 ไม่ออก ก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะมันไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้แล้วจริงๆ
ทางนี้ เจ็บน้อยที่สุด และ หวังประโยชน์ได้สูงสุดแล้วครับ

15. สำหรับท่านที่รอพึ่งกฎแห่งกรรม คิดไปว่าเดี๋ยวนักการเมืองชั่ว ก็จะได้รับผลกรรมเอง เดี๋ยวพระสยามเทวาธิราชจะลงโทษพวกมันเอง ผมอยากฝากไว้ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นั้น จริงครับ แต่อย่าลืมครับว่า ทำเฉยก็ได้เฉยครับ ถ้าเราอยากมีสังคมที่ดีขึ้น ต้องช่วยกันลงมือทำเองครับ อย่ารอสิ่งศักดิ์สิทธิ์

16. ข้อนี้เพิ่มเข้ามาใหม่ เดิมทีว่าจะไม่เขียน แต่คิดว่าสำคัญและจำเป็นต้องเขียน คือคำว่า "รักพ่อ สงสารพ่อ อย่าทะเลาะกัน" อันนี้ถูกครับ แต่อย่าเอามาแปลใช้ในทางที่ผิด ทุกคนในประเทศนี้เกือบทั้งหมด รักพ่อพระองค์เดียวกัน เพิ่งมีไม่นานมานี้ ที่มีคนเลวกลุ่มหนึ่งได้กระทำ
การปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชัง เกิดการหมิ่นสถาบันอย่างไม่เคยมีมาก่อน ผมคาดว่า สาเหตุจูงใจที่คนกลุ่มนี้ ทำแบบนี้ เพราะเค้ามองว่าสถาบันกษัตริย์ เป็นอุปสรรคในการยึดครองประเทศของเค้า เนื่องจาก พ่อของเรา ทรงตรากตรำเพื่อลูกๆ มาเกือบ 70 ปี เพื่อให้ลูกๆ ของพระองค์พึ่งพาตัวเองได้ ทั้งการพัฒนาดิน การพัฒนาแหล่งน้ำน้ำ การคิดฝนเทียมตามหลักวิทยาศาสตร์ การส่งเสริมสหกรณ์เพิ่มความเข้มแข็งของชุมชน พระราชทานองค์ความรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ พระราชทานปรัชญาความพอเพียง เพื่อให้ลูกๆ ของพระองค์พึ่งพาตนเองได้ จะได้ร่วมกันพัฒนาชาติ และ"ไม่ตกเป็นเครื่องมือของใคร" ทรงเป็นศูนย์รวมความรักและสามัคคีของคนในชาติ เมื่อมีกลุ่มคนที่ต้องการหลอกใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ ต้องการกดประชาชนไว้ให้ตกเป็นทาสในคราบคำว่าประชาธิปไตย สิ่งที่เค้าต้องทำคือ แจกประชานิยมมอมเมาคนจน ขัดขวางการพัฒนาการศึกษาและศีลธรรมเพื่อให้คนเหล่านี้ ไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปาก สร้างนิสัยผิดๆ เช่น เอาเงินไปให้ เอาสิ่งสำเร็จรูปไปให้ สร้างความเกลียดชังและแตกแยก ด้วยการปลุกปั่นเรื่องชนชั้นไพร่ อำมาตย์ รวมถึงสร้างข่าวเท็จเพื่อทำลายสถาบันสูงสุด คนกลุ่มนี้ต้องการแค่มวลชนที่ว่าง่ายเป็นฐานสนับสนุน จัดมวลชนของตัวเอง มาปะทะกับฝ่ายที่ต่อต้านตัวเอง ยิ่งแตกแยก คนกลุ่มนี้ยิ่งได้ประโยชน์ เพราะเค้าไม่แคร์คนที่รู้ทันเค้าอยู่แล้ว ถ้าจะบอกว่ารักพ่ออย่าทะเลาะกัน งั้นตำรวจก็คงไม่ต้องสู้กับคนร้ายสิครับ, เห็นผู้หญิงกำลังจะโดนข่มขืน เราก็ไม่ต้องไปทะเลาะกับโจรใช่มั้ยครับ เพราะเรารักพ่อ ก็เลยต้องไม่ทะเลาะกัน การใช้คำว่า "รักพ่อ อย่าทะเลาะกัน" ต้องใช้ให้ถูกสถานการณ์ ซึ่งควรหมายถึง ประชาชนอย่างเราๆ อย่ามาทะเลาะกัน อย่ามาแตกความสามัคคีกัน เพียงเพื่อปกป้องนักการเมืองชั่วๆ และปกป้องเศษผลประโยชน์ที่นักการเมืองแบ่งปันให้พวกตน ซึ่งสิ่งที่พวกผมออกมาสู้ตามท้องถนน เราไม่ได้ต้องการสู้กับคนไทยด้วยกัน เราออกมาสู้กับโจรที่มันครองอำนาจรัฐ ช่วงแรกๆ พวกผมออกมา และส่งเสียงไปหารัฐบาล ขอการแสดงความรับผิดชอบจากรัฐบาล แต่รัฐบาลหน้าด้าน อ้างเสียงเลือกตั้งเท่านั้น

จึงมีการยกระดับการกดดัน นอกจากคำว่า รักพ่ออย่าทะเลาะกัน

อย่าลืมพระบรมราโชวาท ที่สำคัญ และเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้ คือ

"ในบ้านเมือง มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ แต่ต้องส่งเสริมคนดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ
มาก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่