พัฒนาการของวิกฤตที่ต่อเนื่องมาจากปี 2549 ขยายแผลเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดเพราะรากความขัดแย้งฝังลงลึกแบ่งแยกไปตั้งแต่ระดับภาค เช่น วาทะกรรมของชวนที่บอกว่าภาคใต้เสียภาษีเลี้ยงภาคอื่น การด่าคนเหนือคนอีสานว่าไม่มีความรู้ ทำอาชีพพิเศษ การแบ่งแยกและเหยียดหยามระดับการศึกษา คนรวย/คนจน และบาดลึกลงไปจนถึงระดับครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง เพื่อนบ้านที่บ้านติดกันไม่คุยกันเพราะเห็นต่างเรื่องการเมือง มาจนถึงตอนนี้ถึงขั้นเรียกร้องขอแบ่งแยกการปกครองเพราะไม่อยากอยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากฝั่งตรงข้าม
ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรไม่ว่าใครที่ชนะในครั้งนี้ หรือแม้แต่ให้ทหารออกมารัฐประหารโดยอ้างเรื่องความแตกต่างทางความคิด ความคัดแย้งที่จะนำไปสู่การนองเลือด ความรักสามัคคีไม่มีทางที่จะฟื้นคืนกลับมาได้ในเวลาอันสั้น และจะทำให้ทหารเข้ามาเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง โดยที่จะไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้เลย การใช้กำลังจะทำให้ปัญหาฝังรากลงลึกและกว้างยิ่งขึ้น
รัฐธรรมนูญทุกฉบับของไทยแทบไม่มีฉบับไหนเลยที่ทหารไม่มีส่วนชี้นำ และทุกฉบับไม่สามารถที่จะตอบสนองและแก้ปัญหาพื้นฐานของชาติได้เลย เพราะปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่การเลือกปฏิบัติ การเลือกใช้กฎหมาย การได้สิทธิพิเศษ เส้นสาย ซึ่งนำไปสู่การคอรับชั่น การเอื้อธุรกิจผูกขาด การปิดกั้นการแข่งขัน
ตราบใดที่ยังไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ บนความยุติธรรม เป็นสากล และอยู่บนความถูกต้อง และกฎหมายที่เป็นธรรม องค์กรต่างๆ ไม่ทำหน้าที่อย่างที่ควรทำ และกลุ่มผลประโยชน์ที่ชักใยเบื้องหลังยังไม่ยอมปล่อยให้เป็นไปตามกระแสโลก ยังคิดแบบย้อนยุคในการผูกขาดอำนาจอยู่เบื้องหลัง ในยุคที่ประชาชนต้องการความเท่าเทียม โอกาส ความเสมอภาค ในสมัยที่เทคโนโลยี่และข่าวสารรวดเร็วและทั่วถึงแบบนี้ซึ่งไม่สามารถที่จะบิดเบือนข่าวสารได้อีกต่อไป
รัฐจะดำรงค์อยู่ได้ก็ด้วยการยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ สถาบันต่างๆ สถาปนาขึ้นได้ด้วยการยอมรับของคนในชาติเพื่อยึดเหนี่ยวความคิดและความเชื่อของคนให้มารวมกัน เพื่อยอมรับในจารีต ประเพณี วัฒนธรรม กฎกติกา ยอมรับในการที่จะต้องสละและมอบสิทธิ์ของตนบางส่วนเพื่อประโยชน์ของการได้มาอยู่ร่วมกันเป็นสังคม เพื่อให้มีความปลอดภัย ความมั่นคง ความสุขในการดำรงค์ชีวิต
ถ้าไม่ยอมรับยึดหลัก กฎหมาย กฎกติกา ประเพณี จารีตที่ถูกต้อง บิดเบือนได้ทุกอย่างเพื่อประโยชน์ตามอำเภอใจเพื่อเฉพาะกลุ่มของตนสุดท้ายแล้วมันก็จะเป็นสังคมที่ล้มเหลว การออกมาใช้กำลังเพื่อบังคับคนส่วนใหญ่อาจทำได้เพียงชั่วคราวและไม่ได้แก้ปัญหาอะไรได้เลย ผลของการรัฐประหารทุกครั้งในประเทศไทยแสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่เคยทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่หรือประเทศอย่างแท้จริงเลย
คู่ขัดแย้งครั้งนี้ไม่ใช่แค่กลุ่มผลประโยชน์ในเมืองหลวง ไม่ใช่ความขัดแย้งของกลุ่มผลประโยชน์สองกลุ่มเหมือนที่ผ่านมาแล้ว แต่เป็นความขัดแย้งของคนในชาติที่ฝังรากลึกลงไปถึงครอบครัวที่เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคมแล้ว
คงจะน่าเสียดายถ้าผลของความขัดแย้งครั้งนี้อาจจะทำให้นิยามของคำว่า "รัฐไทย" เปลี่ยนไป
นิยามของรัฐไทย??
ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรไม่ว่าใครที่ชนะในครั้งนี้ หรือแม้แต่ให้ทหารออกมารัฐประหารโดยอ้างเรื่องความแตกต่างทางความคิด ความคัดแย้งที่จะนำไปสู่การนองเลือด ความรักสามัคคีไม่มีทางที่จะฟื้นคืนกลับมาได้ในเวลาอันสั้น และจะทำให้ทหารเข้ามาเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง โดยที่จะไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้เลย การใช้กำลังจะทำให้ปัญหาฝังรากลงลึกและกว้างยิ่งขึ้น
รัฐธรรมนูญทุกฉบับของไทยแทบไม่มีฉบับไหนเลยที่ทหารไม่มีส่วนชี้นำ และทุกฉบับไม่สามารถที่จะตอบสนองและแก้ปัญหาพื้นฐานของชาติได้เลย เพราะปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่การเลือกปฏิบัติ การเลือกใช้กฎหมาย การได้สิทธิพิเศษ เส้นสาย ซึ่งนำไปสู่การคอรับชั่น การเอื้อธุรกิจผูกขาด การปิดกั้นการแข่งขัน
ตราบใดที่ยังไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ บนความยุติธรรม เป็นสากล และอยู่บนความถูกต้อง และกฎหมายที่เป็นธรรม องค์กรต่างๆ ไม่ทำหน้าที่อย่างที่ควรทำ และกลุ่มผลประโยชน์ที่ชักใยเบื้องหลังยังไม่ยอมปล่อยให้เป็นไปตามกระแสโลก ยังคิดแบบย้อนยุคในการผูกขาดอำนาจอยู่เบื้องหลัง ในยุคที่ประชาชนต้องการความเท่าเทียม โอกาส ความเสมอภาค ในสมัยที่เทคโนโลยี่และข่าวสารรวดเร็วและทั่วถึงแบบนี้ซึ่งไม่สามารถที่จะบิดเบือนข่าวสารได้อีกต่อไป
รัฐจะดำรงค์อยู่ได้ก็ด้วยการยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ สถาบันต่างๆ สถาปนาขึ้นได้ด้วยการยอมรับของคนในชาติเพื่อยึดเหนี่ยวความคิดและความเชื่อของคนให้มารวมกัน เพื่อยอมรับในจารีต ประเพณี วัฒนธรรม กฎกติกา ยอมรับในการที่จะต้องสละและมอบสิทธิ์ของตนบางส่วนเพื่อประโยชน์ของการได้มาอยู่ร่วมกันเป็นสังคม เพื่อให้มีความปลอดภัย ความมั่นคง ความสุขในการดำรงค์ชีวิต
ถ้าไม่ยอมรับยึดหลัก กฎหมาย กฎกติกา ประเพณี จารีตที่ถูกต้อง บิดเบือนได้ทุกอย่างเพื่อประโยชน์ตามอำเภอใจเพื่อเฉพาะกลุ่มของตนสุดท้ายแล้วมันก็จะเป็นสังคมที่ล้มเหลว การออกมาใช้กำลังเพื่อบังคับคนส่วนใหญ่อาจทำได้เพียงชั่วคราวและไม่ได้แก้ปัญหาอะไรได้เลย ผลของการรัฐประหารทุกครั้งในประเทศไทยแสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่เคยทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่หรือประเทศอย่างแท้จริงเลย
คู่ขัดแย้งครั้งนี้ไม่ใช่แค่กลุ่มผลประโยชน์ในเมืองหลวง ไม่ใช่ความขัดแย้งของกลุ่มผลประโยชน์สองกลุ่มเหมือนที่ผ่านมาแล้ว แต่เป็นความขัดแย้งของคนในชาติที่ฝังรากลึกลงไปถึงครอบครัวที่เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคมแล้ว
คงจะน่าเสียดายถ้าผลของความขัดแย้งครั้งนี้อาจจะทำให้นิยามของคำว่า "รัฐไทย" เปลี่ยนไป