สวัสดีเพื่อนๆพี่ๆชาวพันทิปทุกคนค่ะ เหตุผลที่เรามาตั้งกระทู้ในพันทิปวันนี้ (สมัครสมาชิกมาเพื่อการนี้ และนี่เป็นกระทู้แรกค่ะ) ไม่ได้หวังว่าจะมาปรึกษาหรือขอความเห็นใดๆนะคะ แต่อยากจะมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิตผู้หญิงคนนึง เป็นเรื่องราวธรรมดาๆของผู้หญิงช่างมโนค่ะ ไม่ได้หวือหวาอะไร แต่น่าแปลกที่มันค่อนข้างจะส่งผลต่อความรู้สึกของผู้หญิงที่ไม่ค่อยจะคิดอะไรอย่างเราได้ค่ะ
เราก็แค่ผู้หญิงคนนึง เรียนปี4 มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านรังสิต อยู่ในวัยที่พวกผู้ใหญ่มองว่ายังเร็วไปที่จะมาเสียใจเรื่องความรัก(รึเปล่า) แต่สำหรับเรา ช่วงชีวิตมหาลัยนี่เป็นเหมือนหัวเลี้ยวหัวต่อเลยนะคะ อาจด้วยเพราะสาขาวิชาที่เรียน เป็นคณะที่ค่อนข้างปิดตัว และไม่ค่อยได้เจอใคร ทำให้เราไม่ค่อยได้คบใครจริงจังเท่าไหร่ อีกทั้งอาจารย์ยังสั่งงานเยอะ ต้องอดหลับอดนอนอยู่บ่อยๆ จนแทบจะไม่มีเวลาแต่งหน้าหรือดูแลตัวเองเท่ากับสาวๆคณะอื่นเลย ความหวังที่จะมีใครเข้ามาในชีวิตมันจึงค่อนข้างน้อยค่ะ
เรื่องที่จะเล่าเป็นเรื่องราวความรักเล็กๆ ที่เริ่มจากเป็นคนไม่ค่อยคิดอะไรค่ะ คือเราไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไรนะคะ ที่บอกว่าไม่คิด คือหมายถึงพวกเหตุผลอะไรต่างๆนาๆ เราเป็นคนที่ค่อนข้างจะแคร์ความรู้สึกตัวเองเป็นหลัก เอาอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เรื่องราวความรักที่ผ่านมาก็เลยไม่ค่อยดีนัก คบใครไม่เคยเกิน5เดือน พอเราเบื่อ หรือรู้สึกรักคนอื่นมากกว่าเราก็จะไปแบบไม่คิดอะไร ปล่อยไปตามที่ใจอยากเป็น
แต่เรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นแค่เฉพาะสมัยมัธยมค่ะ พอมาเรียนมหาวิทยาลัยไม่ค่อยได้เจอใคร มันเหงาค่ะ ไม่เหมือนตอนมัธยมที่เราคบๆเล่นๆ ไม่เคยจริงจังกับใคร พออยู่มหาวิทยาลัยมันเริ่มคิดได้ว่า เออ ที่ผ่านมาเราทำแย่ๆไว้นะ คิดจนถึงขั้นโทษไปเรื่อยว่าเวรกรรมคงจะกำลังสนองเราอยู่ ที่ก่อนหน้านี้หักอกชาวบ้านเค้าไว้เยอะ (ว่าไปนั่น)
เข้าเรื่องเลยละกันค่ะ (นี่เพิ่งเริ่มเรื่องนะ เกริ่นซะเยอะ)
เรื่องมันเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยมัธยมค่ะ ตอนนั้นเราเรียน ม.4 สมัยนั้น Hi5กำลังมาค่ะ ยังไม่มีเฟสบุ๊ค ช่วงนั้นวันๆเราแทบจะไม่ได้ทำอะไร แค่ตื่นไปเรียน กลับบ้านมาเล่น Hi5 แอดเฟรนด์เพื่อนเยอะๆ หาคอนเนคชั่นเยอะๆเพื่อเพิ่มวิว เพิ่มยอดไลค์ เป็นแค่เด็กที่พยายามทำตัวแนวๆ ฟังแฟต ทำตัวอินดี้ แล้วก็เป็นที่รู้กันในหมู่เด็กๆที่พยายามทำตัวแนวว่า นอกจาก Hi5 แล้วก็จะมี My space ค่ะ เป็นเหมือนแหล่งแสดงผลงานของพวกศิลปินใต้ดิน เราก็จะไปหาเพื่อนใน My space ไปติดตามผลงานของศิลปินที่ชอบบ้าง และเราก็ได้รู้จักกับพี่คนนึงค่ะ
ตอนนั้นเราอยู่แค่ ม.4 ส่วนพี่เค้าอยู่ ม.6 เราฟังเพลงแนวๆเดียวกัน ฟังแฟตเหมือนกัน เราก็เลยคุยกันแล้วก็สนิทกันง่ายค่ะ จาก My space ก็มาคุยกันใน Hi5 อีก จากHi5 ก็มาคุยกันใน MSN อีก จำได้ว่าได้ไปเที่ยวด้วยกันบ้าง จนมีอยู่วันนึงที่เราเริ่มจะมั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง เราจึงตัดสินใจที่จะบอกความรู้สึกของเราไปค่ะ
ในวันนั้นเราก็ออนไลน์ MSN ปกติ จำได้ว่ามองมุมขวาล่างของจอคอมตลอดเลย ลุ้นว่าเมื่อไหร่หน้าต่างเค้าจะเด้งขึ้นมา พอพี่เค้าออนไลน์ คุยกันไปซักพัก เราก็บอกพี่เค้าไปว่า เรามีอะไรจะบอก พี่เค้าก็ตอบกลับมาว่า เค้าก็มีอะไรจะบอกเหมือนกัน .... ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดนี่เราเขินจนแทบจะเอาคีย์บอร์ดมาหักกับหัวเข่า แทบจะเอาหัวโขกจอคอม เพราะ ณ จุดนั้นคือเราคิดเข้าข้างตัวเองไปไกลแล้วค่ะ ที่พี่เค้าบอกว่ามีอะไรจะบอกเหมือนกัน พอเราเริ่มมีสติ และสามารถควบคุมมือตัวเองได้ เราก็พิมพ์กลับไปบอกให้เค้าบอกก่อนสิ พี่เค้าก็บอกว่าให้เราบอกก่อนดีกว่า และด้วยความมั่นใจที่ล้นจนปริ่ม เราบอกพี่เค้าไปตรงๆเลยค่ะ ว่า ‘ชอบนะ’ และประโยคที่พี่เค้าตอบกลับมาหลังจากที่เราเผยความในใจออกไป สิ่งที่พี่เค้าจะบอกเราคือ ‘พี่ต้องไปเรียนที่เชียงใหม่’
พอเห็นประโยคที่พี่เค้าพิมกลับมา เราเงิ่บค่ะ ความมั่นใจเท่ากับ 0 ในทันที เราลืมไปสนิทเลยว่าช่วงนั้นเป็นช่วงแอดมิดชั่น และพี่เค้าก็อยู่ม.6 เป็นวัยที่กำลังจะเข้าสู่สังคมใหม่ๆ เหมือนเริ่มชีวิตใหม่ ตอนนั้นพี่เค้าเพิ่งเลิกกับแฟนด้วยค่ะ เด็กม.4อย่างเราก็นั่งเอ๋อหน้าคอมไปเลยค่ะ อะไรๆที่เคยผ่านมาด้วยกันมันเหมือนความฝันเลย เพราะเรารู้สึกดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากๆ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะที่ๆเราอยู่มันค่อนข้างจะต่างกันเกินไป อีกคนนึงกำลังจะไปอยู่ในสังคมใหม่ๆ มีชีวิตใหม่ เราก็ได้แต่ยินดี และปล่อยให้เขาไปค่ะ ตอนนั้นหลังจากที่พี่เค้าบอกเราว่าจะไปเรียนเชียงใหม่ พี่เค้าก็บอกอีกว่า ‘แกเด็กไป ยังไม่รู้อะไร เอาไว้อีก10ปีค่อยมาคุยกันใหม่ยังทัน’ หลังจากนั้น เราก็ไม่ได้คุยกับพี่เค้าเหมือนเดิมอีกแล้วค่ะ และด้วยความที่เรายังเด็ก แค่ม.4 ช่วงนั้นเราก็เฮิร์ทแค่แปปเดียวเองค่ะ ซักพักก็มีแฟน ซึ่งก็อย่างที่เล่าไปในตอนแรกว่าเราเป็นคนไม่ค่อยคิดอะไร คบใครได้ไม่นาน ช่วงนั้นเราก็มีแฟน และก็คุยกับคนอื่นไปเรื่อย
หลังจากนั้น เราก็ผ่านช่วงชีวิตมัธยมไปได้อย่างปลอดภัยค่ะ ที่ใช้คำว่าปลอดภัยก็เพราะ ช่วงแอดมิดชั่นนั้น เรามีปัญหากับเพื่อนค่ะ ซึ่งต้นเหตุมันก็มาจากเรื่องเดิมๆ คือเรา ที่ไม่ค่อยจะแคร์ความรู้สึกคนอื่นเท่าไหร่ เพราะมัวแต่แคร์ความรู้สึกตัวเอง(แต่เราขอข้ามเนื้อเรื่องตรงนี้ไปละกันเพราะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่จะเล่าเท่าไหร่) พอเราเข้ามหาวิทยาลัย พี่เค้าก็กลับมาทักทายเราบ้างเป็นครั้งคราวค่ะ เราคุยกันในแชทเฟสหลังจากที่หายไปประมาณ 4ปีได้ ตอนนั้นเราอยู่ปี2 ส่วนพี่เค้ากำลังจะเรียนจบ เนื้อเรื่องที่คุย ก็ไม่พ้นเรื่องเรียน หรือถามไถ่สารทุกข์สุกดิบไปเรื่อย จำได้ว่าตอนนั้นพี่เค้าเรียกเราว่า ‘น้องxxx’ ซึ่งปกติจะเรียนชื่อเฉยๆ มันแสดงให้เห็นว่าเราค่อนข้างจะห่างเหิน เพราะไม่ได้คุยนาน และไม่ได้สนิทใจกันเหมือนเดิม ในตอนนั้นเรารู้สึกได้ว่าพี่เค้าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากค่ะ ต่างจากเราที่เรียนๆเล่นๆ จะจบแหล่ไม่จบแหล่ ส่วนพี่เค้าก็อยู่ในวัยที่หมดเวลาเป็นเด็ก ต้องหางานทำ ช่วงนั้นเราก็ได้แต่ชื่นชมเค้าค่ะ รู้สึกดีที่ได้เห็นพี่เค้าโตขึ้น ช่วงนั้นที่คุยกัน เป็นลักษณะของพี่น้องทั่วไปค่ะ มีบ่นคิดถึงกันตามประสา และก็พยายามจะนัดมาเจอกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้มาเจอกันเพราะว่าเราเรียนหนักมากค่ะ (บ่นมาขนาดนี้แล้ว น่าจะมีคนเริ่มเดากันได้แล้วนะว่าเราเรียนคณะอะไร) ประกอบกับสภาพหน้าเราในตอนนั้น เหียก และสิวเห่อมาก อยู่ในจุดที่ชีวิตแย่และตกต่ำสุดๆ มีปัญหาครอบครัวแทรกมาบ้าง (ช่วงนั้นพ่อเราเป็นมะเร็งค่ะ) และอะไรหลายๆอย่าง ก็เลยไม่ได้ไปเจอกันค่ะ ได้แต่คุยกันในแชทเฟส แบบมาๆหายๆ ไม่มีความรู้สึกพิเศษอะไรเกิดขึ้น
เหตุการณ์ประมาณนี้ก็ดำเนินมาเรื่อยๆค่ะ หายบ้าง มาบ้าง ได้เจอกันบ้าง ครั้งนึงค่ะ 55 ได้เจอกันแบบไม่ได้ตั้งใจด้วย พอดีเราไปงานรับปริญญาของมหาลัยและพี่เค้ารับงานเป็นช่างภาพ ก็เลยได้เจอ และได้คุยกันแปปเดียว หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย
จนกระทั่งล่าสุด(เข้าเรื่องจริงๆแล้วค่ะ) เหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้เอง เราอยู่ปี4แล้ว ก่อนหน้านั้นเรากับพี่เค้าห่างหายกันไปอีกครั้งประมาณเกือบปีนึงได้ค่ะ วันที่ 1 พฤศจิกายน เราเข้าไปทักพี่เค้าในแชทเฟสเหมือนเดิม พอดีเราจะไปงานรับปริญญาพี่ที่รู้จักกันที่บางมด แต่เราไม่รู้ทางค่ะ ไปไม่เป็น แล้วก็นึกขึ้นได้พอดีว่าพี่เค้ารับงานถ่ายภาพงานรับปริญญาอยู่บ่อยๆนี่นา อาจจะไป ก็เลยลองทักไปถามดูว่าพี่เค้าได้รับงานที่บางมดหรือเปล่า แต่พี่เค้าไม่ได้รับงานที่บางมดค่ะ เราก็เลยถามทางดู ซึ่งก็แค่นั้นจริงๆ ความรู้สึกเดิมๆมันหายไปหมดแล้วค่ะ ไม่เคยคิดหวังว่าพี่เค้าจะรับงานที่บางมดแล้วเราจะไปเจอกัน ไม่มีความคิดนั้นอยู่ในหัวเลยค่ะ ทุกสิ่งที่ผ่านมาเป็นอดีตไปเลย
ต่อมา วันที่ 16 พฤศจิกายน พี่เค้าก็ทักเรามาในแชทเฟสค่ะ ถามไถ่เรื่อยเปื่อยเหมือนเดิม ถามว่าเราจะลอยกระทงที่ไหน (เหตุการณ์ก่อนวันลอยกระทง 1วันค่ะ) พี่เค้าก็ชวนเราไปข้าวสาร แล้วก็ไปนั่งชิวที่ถนนพระอาทิตย์ แต่เราตอนนั้นเราไม่สนิทใจที่จะไปกับพี่เค้าค่ะ ก็เลยอ้างไปว่างานเยอะบ้าง ยุ่งบ้าง คือตอนนั้นเราไม่รู้สึกอะไรกับพี่เค้าแล้วจริงๆ ยิ่งชวนไปเจอไกลๆเรายิ่งขี้เกียจค่ะ (เราเรียนรังสิตนะคะ) เราก็เลยไม่ได้เจอกัน
หลังจากนั้นก็เหมือนเดิมค่ะ เราก็อยู่ในส่วนของเรา ใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายในรั้วมหาลัยไปเรื่อย เราไม่ได้คิดถึงพี่เค้าเลยค่ะ ไม่เคยมีความคิดที่จะทักไปหาก่อนเลย จนที่พี่เค้าทักเรามา ในวันที่ 27 พฤศจิกายน ค่ะ เราก็คุยกันเรื่อยเปื่อย ถามไถ่เรื่องราวชีวิตกันไปมา เป็นไงบ้าง จะเรียนจบแล้วใช่มั้ย โตเป็นสาวแล้วนะ บลาๆๆ ตอนนั้นพี่เค้าอยู่ที่เชียงใหม่ค่ะ (รู้สึกว่าจะรับงานถ่ายภาพแล้วก็ไปๆมาๆอยู่บ่อยๆ) พี่เค้าก็ถามเราว่า ‘เอาไส้อั่ว แคบหมูป่าว พี่กลับวันที่6 จะได้เจอกันป่าว’ วินาทีนั้น เราขอยอมรับด้วยความสัตย์เลยนะคะ ว่าเราอยากได้ไส้อั่ว และแคบหมูมากค่ะ (ตะกละไปอีก) คืออยากได้ของฝากมากกว่าเจอหน้าคนฝากอีก ถึงตอนนั้นความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสมัย ม.4 มันก็ยังคงไม่ย้อนกลับมาค่ะ สำหรับเราพี่เค้าก็เป็นแค่พี่ชายที่รู้จักกันเท่านั้น ก็ไม่รู้นะคะว่าด้วยอิทธิพลของแคบหมู ไส้อั่วหรือยังไง คืนนั้นเราคุยกับพี่เค้าเยอะกว่าปกติค่ะ (ปกติในแชทเฟสเราจะไม่ค่อยคุยกะพี่เค้านานค่ะ ตัดบทบ้าง ยุ่งบ้าง) เราคุยกันเรื่อยเปื่อย ถามไถ่กันเรื่องแฟนเก่าของกันและกันบ้าง พี่เค้าก็เล่าเรื่องแฟนเก่าให้เราฟังค่ะ ซึ่งเรื่องราวคร่าวๆก็ประมาณว่า คบกันมา 3ปี แล้วพี่เค้าก็เป็นคนทำให้ความสัมพันธ์มันพังเองค่ะ เลิกกันมาประมาณเกือบปีได้ เราก็รับฟังปกติค่ะ ให้กำลังใจไปตามเรื่อง เค้าก็เล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้ฟังจนเราง่วง แล้วเราก็ขอไปนอนก่อนค่ะ
จนมาถึงจุดนี้ เรื่องยังไม่จบนะคะ ขอโทษที่เรื่องยาวไปนิด (หรือไม่นิด) จะขอเล่าต่อในคห.ต่อไป
เรื่องราวของผู้หญิงช่างมโนคนนึง อยากจะเล่าให้เพื่อนๆฟังค่ะ
เราก็แค่ผู้หญิงคนนึง เรียนปี4 มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านรังสิต อยู่ในวัยที่พวกผู้ใหญ่มองว่ายังเร็วไปที่จะมาเสียใจเรื่องความรัก(รึเปล่า) แต่สำหรับเรา ช่วงชีวิตมหาลัยนี่เป็นเหมือนหัวเลี้ยวหัวต่อเลยนะคะ อาจด้วยเพราะสาขาวิชาที่เรียน เป็นคณะที่ค่อนข้างปิดตัว และไม่ค่อยได้เจอใคร ทำให้เราไม่ค่อยได้คบใครจริงจังเท่าไหร่ อีกทั้งอาจารย์ยังสั่งงานเยอะ ต้องอดหลับอดนอนอยู่บ่อยๆ จนแทบจะไม่มีเวลาแต่งหน้าหรือดูแลตัวเองเท่ากับสาวๆคณะอื่นเลย ความหวังที่จะมีใครเข้ามาในชีวิตมันจึงค่อนข้างน้อยค่ะ
เรื่องที่จะเล่าเป็นเรื่องราวความรักเล็กๆ ที่เริ่มจากเป็นคนไม่ค่อยคิดอะไรค่ะ คือเราไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไรนะคะ ที่บอกว่าไม่คิด คือหมายถึงพวกเหตุผลอะไรต่างๆนาๆ เราเป็นคนที่ค่อนข้างจะแคร์ความรู้สึกตัวเองเป็นหลัก เอาอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เรื่องราวความรักที่ผ่านมาก็เลยไม่ค่อยดีนัก คบใครไม่เคยเกิน5เดือน พอเราเบื่อ หรือรู้สึกรักคนอื่นมากกว่าเราก็จะไปแบบไม่คิดอะไร ปล่อยไปตามที่ใจอยากเป็น
แต่เรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นแค่เฉพาะสมัยมัธยมค่ะ พอมาเรียนมหาวิทยาลัยไม่ค่อยได้เจอใคร มันเหงาค่ะ ไม่เหมือนตอนมัธยมที่เราคบๆเล่นๆ ไม่เคยจริงจังกับใคร พออยู่มหาวิทยาลัยมันเริ่มคิดได้ว่า เออ ที่ผ่านมาเราทำแย่ๆไว้นะ คิดจนถึงขั้นโทษไปเรื่อยว่าเวรกรรมคงจะกำลังสนองเราอยู่ ที่ก่อนหน้านี้หักอกชาวบ้านเค้าไว้เยอะ (ว่าไปนั่น)
เข้าเรื่องเลยละกันค่ะ (นี่เพิ่งเริ่มเรื่องนะ เกริ่นซะเยอะ)
เรื่องมันเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยมัธยมค่ะ ตอนนั้นเราเรียน ม.4 สมัยนั้น Hi5กำลังมาค่ะ ยังไม่มีเฟสบุ๊ค ช่วงนั้นวันๆเราแทบจะไม่ได้ทำอะไร แค่ตื่นไปเรียน กลับบ้านมาเล่น Hi5 แอดเฟรนด์เพื่อนเยอะๆ หาคอนเนคชั่นเยอะๆเพื่อเพิ่มวิว เพิ่มยอดไลค์ เป็นแค่เด็กที่พยายามทำตัวแนวๆ ฟังแฟต ทำตัวอินดี้ แล้วก็เป็นที่รู้กันในหมู่เด็กๆที่พยายามทำตัวแนวว่า นอกจาก Hi5 แล้วก็จะมี My space ค่ะ เป็นเหมือนแหล่งแสดงผลงานของพวกศิลปินใต้ดิน เราก็จะไปหาเพื่อนใน My space ไปติดตามผลงานของศิลปินที่ชอบบ้าง และเราก็ได้รู้จักกับพี่คนนึงค่ะ
ตอนนั้นเราอยู่แค่ ม.4 ส่วนพี่เค้าอยู่ ม.6 เราฟังเพลงแนวๆเดียวกัน ฟังแฟตเหมือนกัน เราก็เลยคุยกันแล้วก็สนิทกันง่ายค่ะ จาก My space ก็มาคุยกันใน Hi5 อีก จากHi5 ก็มาคุยกันใน MSN อีก จำได้ว่าได้ไปเที่ยวด้วยกันบ้าง จนมีอยู่วันนึงที่เราเริ่มจะมั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง เราจึงตัดสินใจที่จะบอกความรู้สึกของเราไปค่ะ
ในวันนั้นเราก็ออนไลน์ MSN ปกติ จำได้ว่ามองมุมขวาล่างของจอคอมตลอดเลย ลุ้นว่าเมื่อไหร่หน้าต่างเค้าจะเด้งขึ้นมา พอพี่เค้าออนไลน์ คุยกันไปซักพัก เราก็บอกพี่เค้าไปว่า เรามีอะไรจะบอก พี่เค้าก็ตอบกลับมาว่า เค้าก็มีอะไรจะบอกเหมือนกัน .... ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดนี่เราเขินจนแทบจะเอาคีย์บอร์ดมาหักกับหัวเข่า แทบจะเอาหัวโขกจอคอม เพราะ ณ จุดนั้นคือเราคิดเข้าข้างตัวเองไปไกลแล้วค่ะ ที่พี่เค้าบอกว่ามีอะไรจะบอกเหมือนกัน พอเราเริ่มมีสติ และสามารถควบคุมมือตัวเองได้ เราก็พิมพ์กลับไปบอกให้เค้าบอกก่อนสิ พี่เค้าก็บอกว่าให้เราบอกก่อนดีกว่า และด้วยความมั่นใจที่ล้นจนปริ่ม เราบอกพี่เค้าไปตรงๆเลยค่ะ ว่า ‘ชอบนะ’ และประโยคที่พี่เค้าตอบกลับมาหลังจากที่เราเผยความในใจออกไป สิ่งที่พี่เค้าจะบอกเราคือ ‘พี่ต้องไปเรียนที่เชียงใหม่’
พอเห็นประโยคที่พี่เค้าพิมกลับมา เราเงิ่บค่ะ ความมั่นใจเท่ากับ 0 ในทันที เราลืมไปสนิทเลยว่าช่วงนั้นเป็นช่วงแอดมิดชั่น และพี่เค้าก็อยู่ม.6 เป็นวัยที่กำลังจะเข้าสู่สังคมใหม่ๆ เหมือนเริ่มชีวิตใหม่ ตอนนั้นพี่เค้าเพิ่งเลิกกับแฟนด้วยค่ะ เด็กม.4อย่างเราก็นั่งเอ๋อหน้าคอมไปเลยค่ะ อะไรๆที่เคยผ่านมาด้วยกันมันเหมือนความฝันเลย เพราะเรารู้สึกดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากๆ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะที่ๆเราอยู่มันค่อนข้างจะต่างกันเกินไป อีกคนนึงกำลังจะไปอยู่ในสังคมใหม่ๆ มีชีวิตใหม่ เราก็ได้แต่ยินดี และปล่อยให้เขาไปค่ะ ตอนนั้นหลังจากที่พี่เค้าบอกเราว่าจะไปเรียนเชียงใหม่ พี่เค้าก็บอกอีกว่า ‘แกเด็กไป ยังไม่รู้อะไร เอาไว้อีก10ปีค่อยมาคุยกันใหม่ยังทัน’ หลังจากนั้น เราก็ไม่ได้คุยกับพี่เค้าเหมือนเดิมอีกแล้วค่ะ และด้วยความที่เรายังเด็ก แค่ม.4 ช่วงนั้นเราก็เฮิร์ทแค่แปปเดียวเองค่ะ ซักพักก็มีแฟน ซึ่งก็อย่างที่เล่าไปในตอนแรกว่าเราเป็นคนไม่ค่อยคิดอะไร คบใครได้ไม่นาน ช่วงนั้นเราก็มีแฟน และก็คุยกับคนอื่นไปเรื่อย
หลังจากนั้น เราก็ผ่านช่วงชีวิตมัธยมไปได้อย่างปลอดภัยค่ะ ที่ใช้คำว่าปลอดภัยก็เพราะ ช่วงแอดมิดชั่นนั้น เรามีปัญหากับเพื่อนค่ะ ซึ่งต้นเหตุมันก็มาจากเรื่องเดิมๆ คือเรา ที่ไม่ค่อยจะแคร์ความรู้สึกคนอื่นเท่าไหร่ เพราะมัวแต่แคร์ความรู้สึกตัวเอง(แต่เราขอข้ามเนื้อเรื่องตรงนี้ไปละกันเพราะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่จะเล่าเท่าไหร่) พอเราเข้ามหาวิทยาลัย พี่เค้าก็กลับมาทักทายเราบ้างเป็นครั้งคราวค่ะ เราคุยกันในแชทเฟสหลังจากที่หายไปประมาณ 4ปีได้ ตอนนั้นเราอยู่ปี2 ส่วนพี่เค้ากำลังจะเรียนจบ เนื้อเรื่องที่คุย ก็ไม่พ้นเรื่องเรียน หรือถามไถ่สารทุกข์สุกดิบไปเรื่อย จำได้ว่าตอนนั้นพี่เค้าเรียกเราว่า ‘น้องxxx’ ซึ่งปกติจะเรียนชื่อเฉยๆ มันแสดงให้เห็นว่าเราค่อนข้างจะห่างเหิน เพราะไม่ได้คุยนาน และไม่ได้สนิทใจกันเหมือนเดิม ในตอนนั้นเรารู้สึกได้ว่าพี่เค้าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากค่ะ ต่างจากเราที่เรียนๆเล่นๆ จะจบแหล่ไม่จบแหล่ ส่วนพี่เค้าก็อยู่ในวัยที่หมดเวลาเป็นเด็ก ต้องหางานทำ ช่วงนั้นเราก็ได้แต่ชื่นชมเค้าค่ะ รู้สึกดีที่ได้เห็นพี่เค้าโตขึ้น ช่วงนั้นที่คุยกัน เป็นลักษณะของพี่น้องทั่วไปค่ะ มีบ่นคิดถึงกันตามประสา และก็พยายามจะนัดมาเจอกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้มาเจอกันเพราะว่าเราเรียนหนักมากค่ะ (บ่นมาขนาดนี้แล้ว น่าจะมีคนเริ่มเดากันได้แล้วนะว่าเราเรียนคณะอะไร) ประกอบกับสภาพหน้าเราในตอนนั้น เหียก และสิวเห่อมาก อยู่ในจุดที่ชีวิตแย่และตกต่ำสุดๆ มีปัญหาครอบครัวแทรกมาบ้าง (ช่วงนั้นพ่อเราเป็นมะเร็งค่ะ) และอะไรหลายๆอย่าง ก็เลยไม่ได้ไปเจอกันค่ะ ได้แต่คุยกันในแชทเฟส แบบมาๆหายๆ ไม่มีความรู้สึกพิเศษอะไรเกิดขึ้น
เหตุการณ์ประมาณนี้ก็ดำเนินมาเรื่อยๆค่ะ หายบ้าง มาบ้าง ได้เจอกันบ้าง ครั้งนึงค่ะ 55 ได้เจอกันแบบไม่ได้ตั้งใจด้วย พอดีเราไปงานรับปริญญาของมหาลัยและพี่เค้ารับงานเป็นช่างภาพ ก็เลยได้เจอ และได้คุยกันแปปเดียว หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย
จนกระทั่งล่าสุด(เข้าเรื่องจริงๆแล้วค่ะ) เหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้เอง เราอยู่ปี4แล้ว ก่อนหน้านั้นเรากับพี่เค้าห่างหายกันไปอีกครั้งประมาณเกือบปีนึงได้ค่ะ วันที่ 1 พฤศจิกายน เราเข้าไปทักพี่เค้าในแชทเฟสเหมือนเดิม พอดีเราจะไปงานรับปริญญาพี่ที่รู้จักกันที่บางมด แต่เราไม่รู้ทางค่ะ ไปไม่เป็น แล้วก็นึกขึ้นได้พอดีว่าพี่เค้ารับงานถ่ายภาพงานรับปริญญาอยู่บ่อยๆนี่นา อาจจะไป ก็เลยลองทักไปถามดูว่าพี่เค้าได้รับงานที่บางมดหรือเปล่า แต่พี่เค้าไม่ได้รับงานที่บางมดค่ะ เราก็เลยถามทางดู ซึ่งก็แค่นั้นจริงๆ ความรู้สึกเดิมๆมันหายไปหมดแล้วค่ะ ไม่เคยคิดหวังว่าพี่เค้าจะรับงานที่บางมดแล้วเราจะไปเจอกัน ไม่มีความคิดนั้นอยู่ในหัวเลยค่ะ ทุกสิ่งที่ผ่านมาเป็นอดีตไปเลย
ต่อมา วันที่ 16 พฤศจิกายน พี่เค้าก็ทักเรามาในแชทเฟสค่ะ ถามไถ่เรื่อยเปื่อยเหมือนเดิม ถามว่าเราจะลอยกระทงที่ไหน (เหตุการณ์ก่อนวันลอยกระทง 1วันค่ะ) พี่เค้าก็ชวนเราไปข้าวสาร แล้วก็ไปนั่งชิวที่ถนนพระอาทิตย์ แต่เราตอนนั้นเราไม่สนิทใจที่จะไปกับพี่เค้าค่ะ ก็เลยอ้างไปว่างานเยอะบ้าง ยุ่งบ้าง คือตอนนั้นเราไม่รู้สึกอะไรกับพี่เค้าแล้วจริงๆ ยิ่งชวนไปเจอไกลๆเรายิ่งขี้เกียจค่ะ (เราเรียนรังสิตนะคะ) เราก็เลยไม่ได้เจอกัน
หลังจากนั้นก็เหมือนเดิมค่ะ เราก็อยู่ในส่วนของเรา ใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายในรั้วมหาลัยไปเรื่อย เราไม่ได้คิดถึงพี่เค้าเลยค่ะ ไม่เคยมีความคิดที่จะทักไปหาก่อนเลย จนที่พี่เค้าทักเรามา ในวันที่ 27 พฤศจิกายน ค่ะ เราก็คุยกันเรื่อยเปื่อย ถามไถ่เรื่องราวชีวิตกันไปมา เป็นไงบ้าง จะเรียนจบแล้วใช่มั้ย โตเป็นสาวแล้วนะ บลาๆๆ ตอนนั้นพี่เค้าอยู่ที่เชียงใหม่ค่ะ (รู้สึกว่าจะรับงานถ่ายภาพแล้วก็ไปๆมาๆอยู่บ่อยๆ) พี่เค้าก็ถามเราว่า ‘เอาไส้อั่ว แคบหมูป่าว พี่กลับวันที่6 จะได้เจอกันป่าว’ วินาทีนั้น เราขอยอมรับด้วยความสัตย์เลยนะคะ ว่าเราอยากได้ไส้อั่ว และแคบหมูมากค่ะ (ตะกละไปอีก) คืออยากได้ของฝากมากกว่าเจอหน้าคนฝากอีก ถึงตอนนั้นความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสมัย ม.4 มันก็ยังคงไม่ย้อนกลับมาค่ะ สำหรับเราพี่เค้าก็เป็นแค่พี่ชายที่รู้จักกันเท่านั้น ก็ไม่รู้นะคะว่าด้วยอิทธิพลของแคบหมู ไส้อั่วหรือยังไง คืนนั้นเราคุยกับพี่เค้าเยอะกว่าปกติค่ะ (ปกติในแชทเฟสเราจะไม่ค่อยคุยกะพี่เค้านานค่ะ ตัดบทบ้าง ยุ่งบ้าง) เราคุยกันเรื่อยเปื่อย ถามไถ่กันเรื่องแฟนเก่าของกันและกันบ้าง พี่เค้าก็เล่าเรื่องแฟนเก่าให้เราฟังค่ะ ซึ่งเรื่องราวคร่าวๆก็ประมาณว่า คบกันมา 3ปี แล้วพี่เค้าก็เป็นคนทำให้ความสัมพันธ์มันพังเองค่ะ เลิกกันมาประมาณเกือบปีได้ เราก็รับฟังปกติค่ะ ให้กำลังใจไปตามเรื่อง เค้าก็เล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้ฟังจนเราง่วง แล้วเราก็ขอไปนอนก่อนค่ะ
จนมาถึงจุดนี้ เรื่องยังไม่จบนะคะ ขอโทษที่เรื่องยาวไปนิด (หรือไม่นิด) จะขอเล่าต่อในคห.ต่อไป