สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เขียนขึ้นมาเพื่ออยากแชร์ประสบการณ์ 5 ปีกับธุรกิจเล็กๆในต่างจังหวัดของเราค่ะ เผื่อจะสามารถเป็นแรงบันดาลใจหรือกำลังใจให้กับเพื่อนๆที่กำลังอยากทำธุรกิจ หรืออยากหนีออกมาจากกรุงเทพฯอย่างเรานะคะ
ขอเล่าจากจุดเริ่มต้นของเราก่อน เราเกิดที่จ.เพชรบูรณ์ เรียนอนุบาล-ประถม-มัธยมที่เพชรบูรณ์ ก็คือ เป็นเด็กต่างจังหวัด นั่นเองค่ะ
แต่จริงๆแล้วแม่เราเป็นคนกรุงเทพฯ ที่มารับราชการครูอยู่ต่างจังหวัด ฉะนั้น ญาติๆเราก็อยู่กรุงเทพฯกันหมด ตอนหลังพี่สาวไปเรียนต่อมัธยมที่กรุงเทพฯด้วย เราเลยต้องเข้ากรุงเทพฯบ่อยมาก ช่วงปิดเทอมก็ต้องไปเรียนพิเศษที่กรุงเทพฯ เอาเป็นขอเรียกตัวเองว่า เด็กกึ่งต่างจังหวัดกึ่งกรุงเทพฯ ละกันนะคะ
จนพอขึ้นมหาวิทยาลัย เราสอบติดจุฬาฯ แม่กับญาติๆเลยหุ้นกันซื้อทาวน์เฮาส์ไว้ให้เรากับพี่สาวอยู่ด้วยกัน
4 ปีเต็มค่ะที่แปลงสภาพตัวเองเป็นสาวกรุงเทพฯเต็มตัว ได้แฟนเป็นหนุ่มวิศวะลาดกระบัง ที่เป็นคนกรุงเทพฯแต่กำเนิด
พอเรียนจบ เรากับแฟนก็เป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ ที่ตั้งหน้าตั้งตาหางานทำ
การทำธุรกิจส่วนตัวเป็นเรื่องไกลตัวเราสองคนมากนะคะ เพราะทางบ้านเราทั้งสองคนไม่มีใครทำธุรกิจเลย ทุกคนเป็นข้าราชการหรือพนักงานบริษัทกันหมด และไม่มีใครสนับสนุนหรือแนะนำให้เราทำธุรกิจด้วย แฟนเราเป็นรุ่นพี่เรา 1 ปี เค้าก็เรียนจบก่อนและทำงานก่อน ก็ตามแบบแผนค่ะ เป็นวิศวกรที่บริษัทใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ท่ามกลางความชื่นชมของครอบครัวว่าได้การงานมั่นคงมีรถให้ขับ
หลังจากนั้น 1 ปี เราก็เรียนจบตามค่ะ และนั่นเป็นจุดพลิกผันของเรา
1 เดือนก่อนสอบตัวสุดท้ายเสร็จ เราได้งานแล้วค่ะ ที่บริษัทต่างชาติแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ก็ถือว่าได้งานเร็วค่ะ และทางบริษัทเค้าก็ยอมรอเรา 1 เดือน แต่ช่วง 1 เดือนนั้น เราคิดอะไรได้เยอะมากเลย อาจเป็นเพราะหัวโล่ง สบายใจที่ไม่ต้องดิ้นรนหางานแล้ว เลยได้มองโลกในมุมกว้าง ได้คิดในสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อน
เช้าวันหนึ่ง แฟนเราขับรถมารับเราไปมหาวิทยาลัยตามปกติ (เราไปขึ้นรถไฟใต้ดินหน้าบริษัทเค้าพอดี) แล้วก็เป็นเช้าที่ปกติค่ะ รถติดมากกเป็นปกติ เรามองแล้วเกิดคำถามมากมายในใจ
"ทำไมเราต้องมาแออัดกันในเมืองเมืองเดียวเนาะ"
"ทำไมเราต้องยอมนั่งรถติดนานๆเนาะ"
"ในจำนวนคนเหล่านี้ มีกี่คนที่มาจากต่างจังหวัด เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ แล้วอยู่ทำงานในกรุงเทพฯเหมือนเรา"
"โห...แล้วซักวันคนจะล้นกรุงเทพฯมั๊ยนะ"
ทำไม ทำไม ทำไม มากมายอยู่ในหัวเรา
อยู่ๆเราก็พูดขึ้นมากับแฟนว่า "ถ้าเป็นไปได้นะ เค้าอยากกลับไปเพชรบูรณ์ เค้าจะเปิดร้านเช่าหนังสือชั้นล่าง แล้วชั้นบนทำเป็นที่เรียนพิเศษ น่าจะมีความสุขดีเนอะ" แฟนเราพูดว่า
"งั้นก็ทำสิ อยากทำอะไรต้องทำเลย"
ประโยคนั้นสำคัญมากค่ะ เราเป็นพวกนักฝัน แฟนเราเป็นนักปฏิบัติ ถ้าเค้าพูดว่าจะทำ เค้าต้องทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้ ประกอบกับตอนนั้น เค้าก็เริ่มอิ่มตัวกับงานประจำที่ทำมาเกือบปีแล้ว ดังนั้น เค้าจึงผลักดันเราเต็มที่ให้มันเกิดขึ้นจริงให้ได้
ด่านแรกคือ ครอบครัวค่ะ อย่างที่บอก ครอบครัวเราไม่มีใครทำธุรกิจและไม่เคยสนับสนุนให้ลูกหลานทำธุรกิจ ดังนั้น การที่หลานรักคนนี้บอกว่า จะกลับไปทำธุรกิจที่บ้านนอก ละทิ้งงานบริษัทอันมั่งคงที่ตอนเราบอกว่าได้งานแล้วนะคะ ญาติๆโห่ร้องดีใจ พากันไปฉลอง
เสียงคัดค้านถาโถมเข้ามามากมาย บางคนถึงกับตั้งคำถามว่า "มันจะรอดหรอ" มีร้องไห้น้อยใจบ้างค่ะ แต่ก็มีเรากับแฟนที่เป็นกำลังใจให้กันและกัน เข้าใจกันอยู่สองคนนี่แหละค่ะ
ที่โชคดีคือ แม่เราเข้าใจในระดับหนึ่งค่ะ คืออาจจะคัดค้านบ้าง แต่ก็เป็นคำพูดเชิงเตือนด้วยความเป็นห่วง ไม่ได้ห้ามทำ สุดท้ายก็แม่เรานี่แหละ จัดการหาตึกทำเลดีๆให้เช่า แถมให้ยืมเงินด้วย (อันนี้สำคัญมากค่ะ 555 สุดท้ายก็ใช้คืนเกือบหมด ที่เหลือแม่ยกให้เป็นของขวัญวันแต่งงานของเราค่ะ
เข้าสู่การเริ่มสร้างธุรกิจแล้วค่ะ
พอเราได้ตึกเช่า ก็เริ่มเข้ามาตกแต่งร้านตามที่แพลนไว้ ชั้นล่างเป็นร้านหนังสือเช่า ชั้นบนเป็นห้องสอนพิเศษ ตอนนั้นแฟนเรายังไม่ลาออกจากงานนะคะ ช่วงแรกทำร้านหนังสือเช่าก็ได้รับการตอบรับดีค่ะ ได้รายได้ประมาน 15,000-20,000 บาทต่อเดือน ส่วนห้องสอนพิเศษ ช่วงแรกเราสอนคนเดียว สอนภาษาอังกฤษวิชาเดียว แบ่งตามระดับชั้น ป.4-ม.6 นักเรียนรวมประมาณ 30 คน
ต่อมาเราจ้างวิศวกรโรงงานแถวนั้นที่จบมหาวิทยาลัยดีในกรุงเทพฯ 2 คนมาสอนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ให้ ก็ได้นักเรียนเพิ่มจำนวนหนึ่ง แต่ด้ววความที่จันทร์-ศุกร์เค้าก็ทำงานหนัก เสาร์-อาทิตย์ยังต้องมาสอนพิเศษให้เราอีก เค้าก็เหนื่อยอ่ะเนาะ เลยมีมาสายบ้าง งดสอนบ้าง เลื่อนสอนบ้าง ซึ่งเรากับแฟนไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ เพราะเราค่อบข้างมีระบบระเบียบมาก เลยเห็นว่าแบบนี้ไม่ดีแน่ จะเสียชื่อเสียงเรา ประกอบกับแนวโน้มว่าเด็กจะมาเรียนพิเศษเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรากับแฟนเลยปรึกษากันเรื่องนี้ค่ะ
ตกลงว่า แฟนเราจะลาออกจากงานแล้วมาสอนด้วยกันที่เพชรบูรณ์นี่ซะเลย เป็นเรื่องสิคะ ตอนนั้นครอบครัวเรา ตอนนี้ครอบครัวเค้า แม่เค้ารู้ว่าไม่สามารถห้ามลูกชายได้แน่นอน เลยโทรมาหาเราแทบทุกวันเลยค่ะ ให้เราช่วยพูดไม่ให้เค้าลาออก ให้ทำงานประจำต่อไป แม่เค้าไม่รู้เลยค่ะว่าแฟนเราทุกข์ทรมานกับการทำงานบริษัทมาก เหมือนเค้าไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นพนักงานบริษัทอ่ะค่ะ นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่เราเห็นด้วยที่เค้าจะลาออก เราไม่อยากเห็นเค้าทุกข์ค่ะ เราก็บอกแม่เค้าไปตรงๆว่า "หนูไม่มีสิทธิ์ไปห้ามเค้าหรอกค่ะ ยังไงชีวิตก็เป็นของเค้า"
จบค่ะ สุดท้ายได้ลาออกสมใจ
ผ่านไป 1 ปี เข้าปีที่ 2 ธุรกิจสอนพิเศษเจริญรุ่งเรืองมากค่ะ คนเริ่มรู้จัก เด็กนักเรียนเริ่มทำผลงานได้ดี คนมาเรียนเยอะขึ้นเท่าตัว ยิ่งมีให้เลือกเรียนหลายวิชาก็ยิ่งคึกคัก ส่วนธุรกิจเช่าหนังสือ เริ่มทรงตัวค่ะ รายได้เฉลี่ยที่ 10,000 บาทต่อเดือน มนุษย์ชิ่งหนังสือเริ่มปรากฏค่ะ มนุษย์เช่าเกินวันแล้วไม่ยอมจ่ายค่าปรับก็เริ่มปรากฏตัวเช่นกัน ตอนนั้นเราเลยคิดเปลี่ยนแปลงอีกครั้งค่ะ เราตัดสินใจยุบธุรกิจเช่าหนังสือ ขายหนังสือ+ชั้นวางทั้งหมด ได้เงินคืนมาก้อนหนึ่ง แล้วจัดการปรับตึกให้เป็นที่สอนพิเศษเต็มตัว กั้นกระจกใหม่ให้ดูทันสมัย ติดแอร์ทุกห้อง ขึ้นป้ายใหญ่เบอเริ้ม แล้วเอาที่สอนพิเศษนี้เข้าระบบให้เป็นโรงเรียนกวดวิชาภายใต้การควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการ เท่านั้นแหละค่ะ บูมมมม!!
จริงๆร้านหนังสือเช่าเราก็อยากทำต่อนะ ตอนแรกก็คิดจะแยกตึกไปเปิดใหม่เลย แต่เอาเข้าจริง ปัญหาจุกจิกเยอะเกินไปค่ะ แล้วแค่โรงเรียนกวดวิชานี้ก็งานล้นมือแล้ว เราต้องมีวันหยุดไปเที่ยวพบปะครอบครัวเพื่อนฝูงบ้าง เลยตัดสินใจยุบแล้วยุบเลยไม่เปิดต่อ ทำโรงเรียนกวดวิชาอย่างเดียว
มาถึงตอนนี้ เวลาผ่านไป 5 ปีแล้ว เร็วมากเลยค่ะ โรงเรียนของเราก็มั่นคงขึ้น เป็นที่รู้จักมากขึ้น ตอนนี้ครอบครัวเราทั้งสองคนเข้าใจทุกอย่างเลยค่ะ เพราะเราทำให้เค้าเห็นว่าเราทำได้ และทำได้ดีด้วย บางอย่างบางคนเราต้องทำให้ดูค่ะ ไม่ใช่พูดให้ฟัง ทุกวันนี้ได้เงิน 2-3 เท่าของเงินเดือนที่เราเคยได้ แต่ที่สำคัญกว่าเงินคือ เราทำด้วยความอยากทำ ไม่ใช่ถูกบังคับให้ทำ เราจัดการเวลาของตัวเองได้ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคนอื่น แต่เราก็ไม่ได้บอกว่า ชีวิตเราอิสระนะคะ ในธุรกิจส่วนตัว ก็มีกฏเกณฑ์ที่เราต้องปฏิบัติตามด้วยความรับผิดชอบเหมือนกัน ในธุรกิจส่วนตัวก็มีปัญหาที่ต้องแก้ไขกันอยู่ตลอด มีเหนื่อยมีล้าเช่นเดียวกับทุกคนบนโลกนี้ เพียงแต่เราได้ทำในสิ่งที่ปัจจุบันเราพอใจที่จะทำ เพื่ออนาคตที่น่ายินดี
เข้าประเด็น ธุรกิจ"ในต่างจังหวัด"
คือเราไม่ได้จะมาแนะนำวิธีการทำงานหรืออะไรนะคะ เพราะเราก็ไม่เก่งขนาดนั้นค่ะ แต่มาแชร์ความเห็นส่วนตัวจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เจอมามากกว่าค่ะ
ที่ต้องเน้นคำว่า "ในต่างจังหวัด" เพราะเราคิดว่า บางทีคนส่วนใหญ่มุ่งกันไปทำงานหรือเปิดร้านในกรุงเทพฯมากเกินไป เรามองข้ามโอกาสที่มี(ที่ดีด้วย)ในต่างจังหวัด เพียงเหตุผลว่า กรุงเทพฯคนเยอะกว่า โอกาสก็เยอะกว่า (เราก็เคยคิดอย่างนี้แหละ) ความคิดนี้ก็ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูกซะทีเดียวค่ะ มีหลายธุรกิจที่รุ่งเรืองในต่างจังหวัดมากกว่าในกรุงเทพฯ และสิ่งที่กรุงเทพฯให้เราไม่ได้เลยจริงๆ คือ ความสบายใจที่ได้อยู่ อากาศดีดีที่ได้สูดเข้าปอดทุกวัน ความเจริญที่กำลังดี ไม่แออัดหนาแน่นเกินไป ใครที่เริ่มท้อใจเบื่อหน่ายกับกรุงเทพฯ ลองหาลู่ทางกลับต่างจังหวัดดูสิคะ
ตอนนี้เรากับแฟน (ซึ่งตอนนี้เป็นสามีแล้ว :p) มีภูมิคุ้มกันทนต่อรถติดต่ำมากค่ะ เข้ากรุงเทพฯทีก็คิดว่า คนกรุงเทพฯนี่อยู่กันเข้าไปได้ยังไงเนาะ ถ้ามีเวลาว่างเราชอบขับรถไปแคมป์ปิ้งที่เขาค้อ น้ำหนาว หรือภูทับเบิกกันค่ะ ไม่ไกลจากที่เราอยู่มากนัก อากาศดีมากเลย โดยเฉพาะช่วงนี้เพชรบูรณ์หนาวมากเลย อยู่ต่างจังหวัดประหยัดเงินแบบที่เราไม่ได้ตั้งใจค่ะ เพราะไม่มีอะไรให้ซื้อ 555 ชีวิตเรากลายเป็นสวนทางกับคนหมู่มาก ช่วงวันหยุดยาวคนทำงานกรุงเทพฯขับรถกลับต่างจังหวัด รถติดยาววววว ส่วนเราวันหยุดยาวขับรถจากต่างจังหวัดกลับบ้านกรุงเทพฯ รถโล่งกินลมชมวิวสบายใจดีค่ะ เรื่องเที่ยวก็ดีค่ะ เราชอบไปเที่ยวกันวันธรรมดา วันที่คนส่วนมากทำงานกัน โรงแรมเลยลดราคา ไม่ต้องแย่งกินแย่งใช้กับคนอื่น ชิลดีค่ะ
ตอนนี้นอกจากโรงเรียนกวดวิชาแล้ว เราเตรียมจะเปิดร้านเบเกอรี่ค่ะ เปิดแถวๆโรงเรียนนี่แหละค่ะ สะดวกดี ทำเค้ก คุกกี้ ขนมปัง คืองานอดิเรกที่เราอยากทำเป็นอาชีพมานานแล้วค่ะ หวังว่าปีหน้าความฝันอีกอย่างของเราคงเป็นจริง
จบแล้วค่ะ ฝากเรื่องนี้ไว้อ่านกันด้วยนะคะ ขอให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีทุกวันค่ะ
[แชร์ประสบการณ์] 5 ปีกับการสร้างธุรกิจในต่างจังหวัด.... :D
ขอเล่าจากจุดเริ่มต้นของเราก่อน เราเกิดที่จ.เพชรบูรณ์ เรียนอนุบาล-ประถม-มัธยมที่เพชรบูรณ์ ก็คือ เป็นเด็กต่างจังหวัด นั่นเองค่ะ
แต่จริงๆแล้วแม่เราเป็นคนกรุงเทพฯ ที่มารับราชการครูอยู่ต่างจังหวัด ฉะนั้น ญาติๆเราก็อยู่กรุงเทพฯกันหมด ตอนหลังพี่สาวไปเรียนต่อมัธยมที่กรุงเทพฯด้วย เราเลยต้องเข้ากรุงเทพฯบ่อยมาก ช่วงปิดเทอมก็ต้องไปเรียนพิเศษที่กรุงเทพฯ เอาเป็นขอเรียกตัวเองว่า เด็กกึ่งต่างจังหวัดกึ่งกรุงเทพฯ ละกันนะคะ
จนพอขึ้นมหาวิทยาลัย เราสอบติดจุฬาฯ แม่กับญาติๆเลยหุ้นกันซื้อทาวน์เฮาส์ไว้ให้เรากับพี่สาวอยู่ด้วยกัน
4 ปีเต็มค่ะที่แปลงสภาพตัวเองเป็นสาวกรุงเทพฯเต็มตัว ได้แฟนเป็นหนุ่มวิศวะลาดกระบัง ที่เป็นคนกรุงเทพฯแต่กำเนิด
พอเรียนจบ เรากับแฟนก็เป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ ที่ตั้งหน้าตั้งตาหางานทำ
การทำธุรกิจส่วนตัวเป็นเรื่องไกลตัวเราสองคนมากนะคะ เพราะทางบ้านเราทั้งสองคนไม่มีใครทำธุรกิจเลย ทุกคนเป็นข้าราชการหรือพนักงานบริษัทกันหมด และไม่มีใครสนับสนุนหรือแนะนำให้เราทำธุรกิจด้วย แฟนเราเป็นรุ่นพี่เรา 1 ปี เค้าก็เรียนจบก่อนและทำงานก่อน ก็ตามแบบแผนค่ะ เป็นวิศวกรที่บริษัทใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ท่ามกลางความชื่นชมของครอบครัวว่าได้การงานมั่นคงมีรถให้ขับ
หลังจากนั้น 1 ปี เราก็เรียนจบตามค่ะ และนั่นเป็นจุดพลิกผันของเรา
1 เดือนก่อนสอบตัวสุดท้ายเสร็จ เราได้งานแล้วค่ะ ที่บริษัทต่างชาติแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ก็ถือว่าได้งานเร็วค่ะ และทางบริษัทเค้าก็ยอมรอเรา 1 เดือน แต่ช่วง 1 เดือนนั้น เราคิดอะไรได้เยอะมากเลย อาจเป็นเพราะหัวโล่ง สบายใจที่ไม่ต้องดิ้นรนหางานแล้ว เลยได้มองโลกในมุมกว้าง ได้คิดในสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อน
เช้าวันหนึ่ง แฟนเราขับรถมารับเราไปมหาวิทยาลัยตามปกติ (เราไปขึ้นรถไฟใต้ดินหน้าบริษัทเค้าพอดี) แล้วก็เป็นเช้าที่ปกติค่ะ รถติดมากกเป็นปกติ เรามองแล้วเกิดคำถามมากมายในใจ
"ทำไมเราต้องมาแออัดกันในเมืองเมืองเดียวเนาะ"
"ทำไมเราต้องยอมนั่งรถติดนานๆเนาะ"
"ในจำนวนคนเหล่านี้ มีกี่คนที่มาจากต่างจังหวัด เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ แล้วอยู่ทำงานในกรุงเทพฯเหมือนเรา"
"โห...แล้วซักวันคนจะล้นกรุงเทพฯมั๊ยนะ"
ทำไม ทำไม ทำไม มากมายอยู่ในหัวเรา
อยู่ๆเราก็พูดขึ้นมากับแฟนว่า "ถ้าเป็นไปได้นะ เค้าอยากกลับไปเพชรบูรณ์ เค้าจะเปิดร้านเช่าหนังสือชั้นล่าง แล้วชั้นบนทำเป็นที่เรียนพิเศษ น่าจะมีความสุขดีเนอะ" แฟนเราพูดว่า
"งั้นก็ทำสิ อยากทำอะไรต้องทำเลย"
ประโยคนั้นสำคัญมากค่ะ เราเป็นพวกนักฝัน แฟนเราเป็นนักปฏิบัติ ถ้าเค้าพูดว่าจะทำ เค้าต้องทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้ ประกอบกับตอนนั้น เค้าก็เริ่มอิ่มตัวกับงานประจำที่ทำมาเกือบปีแล้ว ดังนั้น เค้าจึงผลักดันเราเต็มที่ให้มันเกิดขึ้นจริงให้ได้
ด่านแรกคือ ครอบครัวค่ะ อย่างที่บอก ครอบครัวเราไม่มีใครทำธุรกิจและไม่เคยสนับสนุนให้ลูกหลานทำธุรกิจ ดังนั้น การที่หลานรักคนนี้บอกว่า จะกลับไปทำธุรกิจที่บ้านนอก ละทิ้งงานบริษัทอันมั่งคงที่ตอนเราบอกว่าได้งานแล้วนะคะ ญาติๆโห่ร้องดีใจ พากันไปฉลอง
เสียงคัดค้านถาโถมเข้ามามากมาย บางคนถึงกับตั้งคำถามว่า "มันจะรอดหรอ" มีร้องไห้น้อยใจบ้างค่ะ แต่ก็มีเรากับแฟนที่เป็นกำลังใจให้กันและกัน เข้าใจกันอยู่สองคนนี่แหละค่ะ
ที่โชคดีคือ แม่เราเข้าใจในระดับหนึ่งค่ะ คืออาจจะคัดค้านบ้าง แต่ก็เป็นคำพูดเชิงเตือนด้วยความเป็นห่วง ไม่ได้ห้ามทำ สุดท้ายก็แม่เรานี่แหละ จัดการหาตึกทำเลดีๆให้เช่า แถมให้ยืมเงินด้วย (อันนี้สำคัญมากค่ะ 555 สุดท้ายก็ใช้คืนเกือบหมด ที่เหลือแม่ยกให้เป็นของขวัญวันแต่งงานของเราค่ะ
เข้าสู่การเริ่มสร้างธุรกิจแล้วค่ะ
พอเราได้ตึกเช่า ก็เริ่มเข้ามาตกแต่งร้านตามที่แพลนไว้ ชั้นล่างเป็นร้านหนังสือเช่า ชั้นบนเป็นห้องสอนพิเศษ ตอนนั้นแฟนเรายังไม่ลาออกจากงานนะคะ ช่วงแรกทำร้านหนังสือเช่าก็ได้รับการตอบรับดีค่ะ ได้รายได้ประมาน 15,000-20,000 บาทต่อเดือน ส่วนห้องสอนพิเศษ ช่วงแรกเราสอนคนเดียว สอนภาษาอังกฤษวิชาเดียว แบ่งตามระดับชั้น ป.4-ม.6 นักเรียนรวมประมาณ 30 คน
ต่อมาเราจ้างวิศวกรโรงงานแถวนั้นที่จบมหาวิทยาลัยดีในกรุงเทพฯ 2 คนมาสอนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ให้ ก็ได้นักเรียนเพิ่มจำนวนหนึ่ง แต่ด้ววความที่จันทร์-ศุกร์เค้าก็ทำงานหนัก เสาร์-อาทิตย์ยังต้องมาสอนพิเศษให้เราอีก เค้าก็เหนื่อยอ่ะเนาะ เลยมีมาสายบ้าง งดสอนบ้าง เลื่อนสอนบ้าง ซึ่งเรากับแฟนไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ เพราะเราค่อบข้างมีระบบระเบียบมาก เลยเห็นว่าแบบนี้ไม่ดีแน่ จะเสียชื่อเสียงเรา ประกอบกับแนวโน้มว่าเด็กจะมาเรียนพิเศษเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรากับแฟนเลยปรึกษากันเรื่องนี้ค่ะ
ตกลงว่า แฟนเราจะลาออกจากงานแล้วมาสอนด้วยกันที่เพชรบูรณ์นี่ซะเลย เป็นเรื่องสิคะ ตอนนั้นครอบครัวเรา ตอนนี้ครอบครัวเค้า แม่เค้ารู้ว่าไม่สามารถห้ามลูกชายได้แน่นอน เลยโทรมาหาเราแทบทุกวันเลยค่ะ ให้เราช่วยพูดไม่ให้เค้าลาออก ให้ทำงานประจำต่อไป แม่เค้าไม่รู้เลยค่ะว่าแฟนเราทุกข์ทรมานกับการทำงานบริษัทมาก เหมือนเค้าไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นพนักงานบริษัทอ่ะค่ะ นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่เราเห็นด้วยที่เค้าจะลาออก เราไม่อยากเห็นเค้าทุกข์ค่ะ เราก็บอกแม่เค้าไปตรงๆว่า "หนูไม่มีสิทธิ์ไปห้ามเค้าหรอกค่ะ ยังไงชีวิตก็เป็นของเค้า"
จบค่ะ สุดท้ายได้ลาออกสมใจ
ผ่านไป 1 ปี เข้าปีที่ 2 ธุรกิจสอนพิเศษเจริญรุ่งเรืองมากค่ะ คนเริ่มรู้จัก เด็กนักเรียนเริ่มทำผลงานได้ดี คนมาเรียนเยอะขึ้นเท่าตัว ยิ่งมีให้เลือกเรียนหลายวิชาก็ยิ่งคึกคัก ส่วนธุรกิจเช่าหนังสือ เริ่มทรงตัวค่ะ รายได้เฉลี่ยที่ 10,000 บาทต่อเดือน มนุษย์ชิ่งหนังสือเริ่มปรากฏค่ะ มนุษย์เช่าเกินวันแล้วไม่ยอมจ่ายค่าปรับก็เริ่มปรากฏตัวเช่นกัน ตอนนั้นเราเลยคิดเปลี่ยนแปลงอีกครั้งค่ะ เราตัดสินใจยุบธุรกิจเช่าหนังสือ ขายหนังสือ+ชั้นวางทั้งหมด ได้เงินคืนมาก้อนหนึ่ง แล้วจัดการปรับตึกให้เป็นที่สอนพิเศษเต็มตัว กั้นกระจกใหม่ให้ดูทันสมัย ติดแอร์ทุกห้อง ขึ้นป้ายใหญ่เบอเริ้ม แล้วเอาที่สอนพิเศษนี้เข้าระบบให้เป็นโรงเรียนกวดวิชาภายใต้การควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการ เท่านั้นแหละค่ะ บูมมมม!!
จริงๆร้านหนังสือเช่าเราก็อยากทำต่อนะ ตอนแรกก็คิดจะแยกตึกไปเปิดใหม่เลย แต่เอาเข้าจริง ปัญหาจุกจิกเยอะเกินไปค่ะ แล้วแค่โรงเรียนกวดวิชานี้ก็งานล้นมือแล้ว เราต้องมีวันหยุดไปเที่ยวพบปะครอบครัวเพื่อนฝูงบ้าง เลยตัดสินใจยุบแล้วยุบเลยไม่เปิดต่อ ทำโรงเรียนกวดวิชาอย่างเดียว
มาถึงตอนนี้ เวลาผ่านไป 5 ปีแล้ว เร็วมากเลยค่ะ โรงเรียนของเราก็มั่นคงขึ้น เป็นที่รู้จักมากขึ้น ตอนนี้ครอบครัวเราทั้งสองคนเข้าใจทุกอย่างเลยค่ะ เพราะเราทำให้เค้าเห็นว่าเราทำได้ และทำได้ดีด้วย บางอย่างบางคนเราต้องทำให้ดูค่ะ ไม่ใช่พูดให้ฟัง ทุกวันนี้ได้เงิน 2-3 เท่าของเงินเดือนที่เราเคยได้ แต่ที่สำคัญกว่าเงินคือ เราทำด้วยความอยากทำ ไม่ใช่ถูกบังคับให้ทำ เราจัดการเวลาของตัวเองได้ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคนอื่น แต่เราก็ไม่ได้บอกว่า ชีวิตเราอิสระนะคะ ในธุรกิจส่วนตัว ก็มีกฏเกณฑ์ที่เราต้องปฏิบัติตามด้วยความรับผิดชอบเหมือนกัน ในธุรกิจส่วนตัวก็มีปัญหาที่ต้องแก้ไขกันอยู่ตลอด มีเหนื่อยมีล้าเช่นเดียวกับทุกคนบนโลกนี้ เพียงแต่เราได้ทำในสิ่งที่ปัจจุบันเราพอใจที่จะทำ เพื่ออนาคตที่น่ายินดี
เข้าประเด็น ธุรกิจ"ในต่างจังหวัด"
คือเราไม่ได้จะมาแนะนำวิธีการทำงานหรืออะไรนะคะ เพราะเราก็ไม่เก่งขนาดนั้นค่ะ แต่มาแชร์ความเห็นส่วนตัวจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เจอมามากกว่าค่ะ
ที่ต้องเน้นคำว่า "ในต่างจังหวัด" เพราะเราคิดว่า บางทีคนส่วนใหญ่มุ่งกันไปทำงานหรือเปิดร้านในกรุงเทพฯมากเกินไป เรามองข้ามโอกาสที่มี(ที่ดีด้วย)ในต่างจังหวัด เพียงเหตุผลว่า กรุงเทพฯคนเยอะกว่า โอกาสก็เยอะกว่า (เราก็เคยคิดอย่างนี้แหละ) ความคิดนี้ก็ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูกซะทีเดียวค่ะ มีหลายธุรกิจที่รุ่งเรืองในต่างจังหวัดมากกว่าในกรุงเทพฯ และสิ่งที่กรุงเทพฯให้เราไม่ได้เลยจริงๆ คือ ความสบายใจที่ได้อยู่ อากาศดีดีที่ได้สูดเข้าปอดทุกวัน ความเจริญที่กำลังดี ไม่แออัดหนาแน่นเกินไป ใครที่เริ่มท้อใจเบื่อหน่ายกับกรุงเทพฯ ลองหาลู่ทางกลับต่างจังหวัดดูสิคะ
ตอนนี้เรากับแฟน (ซึ่งตอนนี้เป็นสามีแล้ว :p) มีภูมิคุ้มกันทนต่อรถติดต่ำมากค่ะ เข้ากรุงเทพฯทีก็คิดว่า คนกรุงเทพฯนี่อยู่กันเข้าไปได้ยังไงเนาะ ถ้ามีเวลาว่างเราชอบขับรถไปแคมป์ปิ้งที่เขาค้อ น้ำหนาว หรือภูทับเบิกกันค่ะ ไม่ไกลจากที่เราอยู่มากนัก อากาศดีมากเลย โดยเฉพาะช่วงนี้เพชรบูรณ์หนาวมากเลย อยู่ต่างจังหวัดประหยัดเงินแบบที่เราไม่ได้ตั้งใจค่ะ เพราะไม่มีอะไรให้ซื้อ 555 ชีวิตเรากลายเป็นสวนทางกับคนหมู่มาก ช่วงวันหยุดยาวคนทำงานกรุงเทพฯขับรถกลับต่างจังหวัด รถติดยาววววว ส่วนเราวันหยุดยาวขับรถจากต่างจังหวัดกลับบ้านกรุงเทพฯ รถโล่งกินลมชมวิวสบายใจดีค่ะ เรื่องเที่ยวก็ดีค่ะ เราชอบไปเที่ยวกันวันธรรมดา วันที่คนส่วนมากทำงานกัน โรงแรมเลยลดราคา ไม่ต้องแย่งกินแย่งใช้กับคนอื่น ชิลดีค่ะ
ตอนนี้นอกจากโรงเรียนกวดวิชาแล้ว เราเตรียมจะเปิดร้านเบเกอรี่ค่ะ เปิดแถวๆโรงเรียนนี่แหละค่ะ สะดวกดี ทำเค้ก คุกกี้ ขนมปัง คืองานอดิเรกที่เราอยากทำเป็นอาชีพมานานแล้วค่ะ หวังว่าปีหน้าความฝันอีกอย่างของเราคงเป็นจริง
จบแล้วค่ะ ฝากเรื่องนี้ไว้อ่านกันด้วยนะคะ ขอให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีทุกวันค่ะ