แหล่งข่าว
http://www.siamintelligence.com/thailand-digital-tv-auction-analysis/
ข่าวใหญ่ส่งท้ายปี 2556 กับการประมูล “ทีวีดิจิตอล” กลุ่มธุรกิจของ กสทช. ที่เสร็จสิ้นลงในวันทำงานวันสุดท้ายของปี 2556 พอดี สุดท้ายประเทศไทยก็ได้ “ฟรีทีวี” รายใหม่เพิ่มขึ้นอีก 24 ช่อง ซึ่งจะเริ่มให้บริการในช่วงปีหน้า 2557
การประมูลทีวีดิจิตอลของ กสทช. แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ช่องทั่วไป HD, ช่องทั่วไป SD, ช่องข่าว และช่องเด็ก ซึ่ง SIU ขอแบ่งการวิเคราะห์โดยแยกตามกลุ่มช่องก่อน ดังนี้
ช่องข่าว
จำนวนทั้งสิ้น 7 ช่อง โดยผู้ที่ชนะการประมูลเรียงตามลำดับได้แก่
บริษัท เอ็นบีซี เน็กซ์ วิชั่น จำกัด (เนชั่น) 1,338 ล้านบาท
บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด 1,330 ล้านบาท
บริษัท ไทยทีวี จำกัด (ทีวีพูล) 1,328 ล้านบาท
บริษัท สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น จำกัด 1,318 ล้านบาท
บริษัท ไทย นิวส์ เน็ตเวิร์ค (ทีเอ็นเอ็น) จำกัด 1,316 ล้านบาท
บริษัท ดีเอ็น บรอดคาสท์จำกัด (เดลินิวส์) 1,310 ล้านบาท
บริษัท 3เอ. มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (ทำข่าวให้ช่อง 5) 1,298 ล้านบาท
ผลการประมูลช่องข่าวในแง่ของผู้ที่ชนะการประมูลไม่น่าแปลกใจมากนัก เพราะผู้เข้าประมูลจำนวน 5 รายนั้นประกอบธุรกิจ “ช่องข่าว” ทางดาวเทียม-เคเบิลทีวีอยู่แล้วคือ Nation, Voice TV, Spring News, TNN, Daily News ทำให้การต่อยอดจากช่องข่าวทางดาวเทียม อัพเกรดขึ้นฟรีทีวีในระบบดิจิตอลจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ผู้ประกอบการทั้ง 5 รายนี้คงนำเนื้อหาของช่องดาวเทียมที่มีอยู่แล้วขึ้นมาฉายบนระบบฟรีทีวีทันที (อาจมีปรับเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย แต่เนื้อหาส่วนใหญ่เหมือนกัน)
ส่วนกลุ่ม “ทีวีพูล” เองก็มีช่องข่าวบันเทิงในระบบดาวเทียมอยู่แล้วเช่นกัน เมื่อพิจารณาถึงฐานเดิมของทีวีพูลที่มีสื่อบันเทิงหลากหลาย ไม่ใช่แค่เฉพาะทีวี การได้ช่อง “ข่าว” ทางฟรีทีวีเพื่อไปทำข่าวบันเทิงจึงถือว่ามีจุดเด่นไม่ซ้ำใคร และไม่แข่งขันกับช่องใดๆ ในกลุ่มข่าวโดยตรง
สุดท้ายเป็นม้ามืดคือกลุ่ม 3 เอ มาร์เก็ตติ้ง ที่ถึงแม้ว่ามีประสบการณ์ทำข่าวให้ช่อง 5 แต่ก็ยังไม่เคยทำ “ช่องข่าว” เต็มรูปแบบเหมือนกับช่องข่าวทั้ง 5 รายข้างต้น จึงต้องรอดูช่วงการออกอากาศจริงว่าจะมีหน้าตาของช่องข่าวออกมาเป็นอย่างไร
ส่วนผู้ที่พลาดหวังการประมูลคือกลุ่มสยามกีฬา+สามารถ ที่คาดว่าจะทำช่องข่าวกีฬา ก็คงไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากการพลาดหวังใบอนุญาต เนื่องจากคอนเทนต์ด้านกีฬามีกลุ่มผู้ชมเฉพาะ และมีมูลค่าทางธุรกิจในระบบทีวีแบบจ่ายเงินอยู่แล้ว, กลุ่มโพสต์ทีวี ของเครือบางกอกโพสต์ ถือว่าเป็นหน้าใหม่ในสายงานทีวีที่อาจจะไม่คุ้มถ้าเข้ามาในตลาดที่แข่งขันรุนแรง, กลุ่มโมโน ที่พลาดหวังจากช่องข่าวแต่ก็ชนะการประมูลช่องวาไรตี้ SD มาก่อนแล้ว งบลงทุนด้านการผลิตเนื้อหาที่เตรียมไว้ก็สามารถโยกเข้ามาทำช่อง SD แทนได้
ความน่าสนใจของการประมูลช่องข่าวครั้งนี้คือราคาประมูลที่มากเกินคาด และผู้ชนะการประมูลเคาะราคาเกาะกลุ่มกันมาก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะผู้ประกอบการช่องข่าวทางดาวเทียมที่ลงทุนค่าการผลิตไปเยอะแล้วอยู่ในสภาพ “แพ้ไม่ได้” และการได้อัพเกรดขึ้นฟรีทีวีเป็นเครื่องชี้ขาดธุรกิจของตัวเองในอนาคต จึงต้องทุ่มสุดตัวเพื่อการันตีว่าจะได้ช่องข่าวมาครอบครอง
ช่อง HD
จำนวนทั้งสิ้น 7 ช่อง โดยผู้ที่ชนะการประมูลเรียงตามลำดับได้แก่
บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย (ช่อง 3) จำกัด 3,530 ล้านบาท
บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด (กลุ่มปราสาททองโอสถ) 3,460 ล้านบาท
บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด (ช่อง 7) 3,370 ล้านบาท
บริษัท ทริปเปิล วี บรอดคาสท์ จำกัด (ไทยรัฐ) 3,360 ล้านบาท
บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) 3,340 ล้านบาท
บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด 3,320 ล้านบาท (อันดับ 6 ร่วม)
บริษัท จีเอ็มเอ็ม เอชดี ดิจิทัล ทีวี จำกัด 3,320 ล้านบาท (อันดับ 6 ร่วม)
กลุ่มช่อง HD ถือว่ามีราคาประมูลมากที่สุดคือมากกว่า 3,320 ล้านบาท แต่ถ้าพิจารณาจากราคาตั้งต้นที่ประมาณ 1,400 ล้านบาท ก็ถือว่าราคาสุดท้ายเพิ่มมาไม่เยอะนักคือประมาณ 2.5 เท่าตัว ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับการแข่งขันในช่อง SD และช่องข่าว ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งมาจากต้นทุนราคาที่สูง และอัตราการแข่งขันที่ไม่เยอะนัก (9 ราย ชิง 7 ใบอนุญาต)
จากผลการประมูลจะเห็นว่าผู้ประกอบการ “ฟรีทีวี” ทางธุรกิจในปัจจุบัน 3 รายคือ ช่อง 3, ช่อง 7 และช่อง 9 ประสบความสำเร็จในการชิงใบอนุญาตทีวีแบบ HD กันทั้งหมด ซึ่งใบอนุญาตช่องทั่วไปแบบ HD จะเป็นการ “ต่ออายุ” ธุรกิจทีวีของหน่วยงานทั้ง 3 แห่ง โดยเฉพาะช่อง 3 และช่อง 7 หลังสัมปทานทีวีแอนะล็อกเดิมหมดอายุลง
คาดว่าทั้ง 3 ช่องจะนำเนื้อหาปัจจุบันของตัวเองมาฉายช่อง HD ไปก่อน โดยมีเนื้อหาบางรายการที่อาจจะไม่ถูกผลิตขึ้นแบบ HD ในช่วงแรก แต่จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็น HD ทั้งหมดในระยะยาว
ผู้ชนะการประมูลอีก 3 รายที่มีพื้นฐานทางธุรกิจคล้ายๆ กับคือ กลุ่มไทยรัฐ, แกรมมี่ และอมรินทร์ ซึ่งมีรากฐานธุรกิจจากสื่อแขนงอื่นๆ มาก่อน แต่ก็ถือเป็นกลุ่มทุนใหญ่ในธุรกิจของตน ได้บุกเข้ามาชิงเค้กช่อง HD ซึ่งถือเป็นช่องพรีเมียมที่สุดที่มีไปได้ กลุ่มทุนทั้ง 3 รายนี้มีธุรกิจด้านทีวีดาวเทียมอยู่ก่อนแล้ว ทั้งไทยรัฐเองที่กำลังซุ่มทำ “ไทยรัฐทีวี” บนแพลตฟอร์มเคเบิล CTH, แกรมมี่ที่ทำทีวีดาวเทียมหลายช่อง และอมรินทร์ที่เน้นเนื้อหาเชิงไลฟ์สไตล์-สุขภาพกับ Activ TV ด้วยสโลแกน “ทีวีสร้างสุข” ทั้งหมดนี้ถือเป็นต้นทุนทางธุรกิจที่จะต่อยอดไปยังทีวีระบบดิจิตอลได้อย่างต่อเนื่อง
ด้วยคุณสมบัติของช่อง HD ที่ให้ความคมชัดสูง เนื้อหาจึงเหมาะกับสื่อบันเทิง-กีฬาที่มีเนื้อหาเหมาะกับการถ่ายทอดแบบ HD เป็นพิเศษ กรณีของแกรมมี่ที่มีเนื้อหาบันเทิงอยู่ในมือมากมายคงไม่ใช่ปัญหา ส่วนไทยรัฐถึงแม้รูปแบบเนื้อหาหลักจะยังเป็น “ข่าว” แต่การเลือกเข้ามาประมูลช่อง HD แทนช่องข่าวก็น่าจะแสดงให้เห็นเป้าหมายว่าต้องการตลาดที่กว้างกว่าข่าวอย่างเดียว และไทยรัฐก็ยังมีไม้เด็ดในการเรียกลูกค้าโดยแบ่งการถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของ CTH บางนัดมาฉายทางฟรีทีวีได้บ้าง
ที่น่าจับตาคือกลุ่มอมรินทร์ที่เน้นเนื้อหาเชิงไลฟ์สไตล์ เพราะถึงแม้จะเป็นเนื้อหาที่ค่อนข้างแตกต่างและไม่มีคู่แข่งโดยตรง แต่ความคุ้มค่าในการลงทุนจากค่าโฆษณาที่จะได้กลับมาในอนาคตนั้นจะสมน้ำสมเนื้อกับเงินค่าประมูล 3 พันกว่าล้านที่ควักออกไปหรือไม่
สุดท้ายเป็น “ม้ามืด” อย่างกลุ่มปราสาททองโอสถ ที่เป็นหน้าใหม่ของวงการทีวีแต่ก็เป็นกลุ่มธุรกิจที่คนไทยคุ้นเคยกันดี กล้าทุ่มเงินประมูลจนเข้าป้ายมาเป็นอันดับสอง และตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่ามีรายการแบบใดบ้างเตรียมไว้ในมือ สิ่งที่สามารถประเมินได้ตอนนี้มีเพียงแค่ว่า ถ้ากล้าควักเงินระดับนี้มาประมูล แสดงว่ากลุ่ม บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง ต้องจริงจังกับแผนการบุกเข้ามาทำทีวีเป็นอย่างมาก และน่าจะเตรียมเรื่องการผลิตรายการไว้ค่อนข้างครบถ้วนแล้วตั้งแต่แรก
บทวิเคราะห์ ผลการประมูลทีวีดิจิตอล 2556 แนวโน้มช่องไหนรุ่ง-ร่วง
http://www.siamintelligence.com/thailand-digital-tv-auction-analysis/
ข่าวใหญ่ส่งท้ายปี 2556 กับการประมูล “ทีวีดิจิตอล” กลุ่มธุรกิจของ กสทช. ที่เสร็จสิ้นลงในวันทำงานวันสุดท้ายของปี 2556 พอดี สุดท้ายประเทศไทยก็ได้ “ฟรีทีวี” รายใหม่เพิ่มขึ้นอีก 24 ช่อง ซึ่งจะเริ่มให้บริการในช่วงปีหน้า 2557
การประมูลทีวีดิจิตอลของ กสทช. แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ช่องทั่วไป HD, ช่องทั่วไป SD, ช่องข่าว และช่องเด็ก ซึ่ง SIU ขอแบ่งการวิเคราะห์โดยแยกตามกลุ่มช่องก่อน ดังนี้
ช่องข่าว
จำนวนทั้งสิ้น 7 ช่อง โดยผู้ที่ชนะการประมูลเรียงตามลำดับได้แก่
บริษัท เอ็นบีซี เน็กซ์ วิชั่น จำกัด (เนชั่น) 1,338 ล้านบาท
บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด 1,330 ล้านบาท
บริษัท ไทยทีวี จำกัด (ทีวีพูล) 1,328 ล้านบาท
บริษัท สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น จำกัด 1,318 ล้านบาท
บริษัท ไทย นิวส์ เน็ตเวิร์ค (ทีเอ็นเอ็น) จำกัด 1,316 ล้านบาท
บริษัท ดีเอ็น บรอดคาสท์จำกัด (เดลินิวส์) 1,310 ล้านบาท
บริษัท 3เอ. มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (ทำข่าวให้ช่อง 5) 1,298 ล้านบาท
ผลการประมูลช่องข่าวในแง่ของผู้ที่ชนะการประมูลไม่น่าแปลกใจมากนัก เพราะผู้เข้าประมูลจำนวน 5 รายนั้นประกอบธุรกิจ “ช่องข่าว” ทางดาวเทียม-เคเบิลทีวีอยู่แล้วคือ Nation, Voice TV, Spring News, TNN, Daily News ทำให้การต่อยอดจากช่องข่าวทางดาวเทียม อัพเกรดขึ้นฟรีทีวีในระบบดิจิตอลจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ผู้ประกอบการทั้ง 5 รายนี้คงนำเนื้อหาของช่องดาวเทียมที่มีอยู่แล้วขึ้นมาฉายบนระบบฟรีทีวีทันที (อาจมีปรับเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย แต่เนื้อหาส่วนใหญ่เหมือนกัน)
ส่วนกลุ่ม “ทีวีพูล” เองก็มีช่องข่าวบันเทิงในระบบดาวเทียมอยู่แล้วเช่นกัน เมื่อพิจารณาถึงฐานเดิมของทีวีพูลที่มีสื่อบันเทิงหลากหลาย ไม่ใช่แค่เฉพาะทีวี การได้ช่อง “ข่าว” ทางฟรีทีวีเพื่อไปทำข่าวบันเทิงจึงถือว่ามีจุดเด่นไม่ซ้ำใคร และไม่แข่งขันกับช่องใดๆ ในกลุ่มข่าวโดยตรง
สุดท้ายเป็นม้ามืดคือกลุ่ม 3 เอ มาร์เก็ตติ้ง ที่ถึงแม้ว่ามีประสบการณ์ทำข่าวให้ช่อง 5 แต่ก็ยังไม่เคยทำ “ช่องข่าว” เต็มรูปแบบเหมือนกับช่องข่าวทั้ง 5 รายข้างต้น จึงต้องรอดูช่วงการออกอากาศจริงว่าจะมีหน้าตาของช่องข่าวออกมาเป็นอย่างไร
ส่วนผู้ที่พลาดหวังการประมูลคือกลุ่มสยามกีฬา+สามารถ ที่คาดว่าจะทำช่องข่าวกีฬา ก็คงไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากการพลาดหวังใบอนุญาต เนื่องจากคอนเทนต์ด้านกีฬามีกลุ่มผู้ชมเฉพาะ และมีมูลค่าทางธุรกิจในระบบทีวีแบบจ่ายเงินอยู่แล้ว, กลุ่มโพสต์ทีวี ของเครือบางกอกโพสต์ ถือว่าเป็นหน้าใหม่ในสายงานทีวีที่อาจจะไม่คุ้มถ้าเข้ามาในตลาดที่แข่งขันรุนแรง, กลุ่มโมโน ที่พลาดหวังจากช่องข่าวแต่ก็ชนะการประมูลช่องวาไรตี้ SD มาก่อนแล้ว งบลงทุนด้านการผลิตเนื้อหาที่เตรียมไว้ก็สามารถโยกเข้ามาทำช่อง SD แทนได้
ความน่าสนใจของการประมูลช่องข่าวครั้งนี้คือราคาประมูลที่มากเกินคาด และผู้ชนะการประมูลเคาะราคาเกาะกลุ่มกันมาก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะผู้ประกอบการช่องข่าวทางดาวเทียมที่ลงทุนค่าการผลิตไปเยอะแล้วอยู่ในสภาพ “แพ้ไม่ได้” และการได้อัพเกรดขึ้นฟรีทีวีเป็นเครื่องชี้ขาดธุรกิจของตัวเองในอนาคต จึงต้องทุ่มสุดตัวเพื่อการันตีว่าจะได้ช่องข่าวมาครอบครอง
ช่อง HD
จำนวนทั้งสิ้น 7 ช่อง โดยผู้ที่ชนะการประมูลเรียงตามลำดับได้แก่
บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย (ช่อง 3) จำกัด 3,530 ล้านบาท
บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด (กลุ่มปราสาททองโอสถ) 3,460 ล้านบาท
บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด (ช่อง 7) 3,370 ล้านบาท
บริษัท ทริปเปิล วี บรอดคาสท์ จำกัด (ไทยรัฐ) 3,360 ล้านบาท
บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) 3,340 ล้านบาท
บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด 3,320 ล้านบาท (อันดับ 6 ร่วม)
บริษัท จีเอ็มเอ็ม เอชดี ดิจิทัล ทีวี จำกัด 3,320 ล้านบาท (อันดับ 6 ร่วม)
กลุ่มช่อง HD ถือว่ามีราคาประมูลมากที่สุดคือมากกว่า 3,320 ล้านบาท แต่ถ้าพิจารณาจากราคาตั้งต้นที่ประมาณ 1,400 ล้านบาท ก็ถือว่าราคาสุดท้ายเพิ่มมาไม่เยอะนักคือประมาณ 2.5 เท่าตัว ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับการแข่งขันในช่อง SD และช่องข่าว ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งมาจากต้นทุนราคาที่สูง และอัตราการแข่งขันที่ไม่เยอะนัก (9 ราย ชิง 7 ใบอนุญาต)
จากผลการประมูลจะเห็นว่าผู้ประกอบการ “ฟรีทีวี” ทางธุรกิจในปัจจุบัน 3 รายคือ ช่อง 3, ช่อง 7 และช่อง 9 ประสบความสำเร็จในการชิงใบอนุญาตทีวีแบบ HD กันทั้งหมด ซึ่งใบอนุญาตช่องทั่วไปแบบ HD จะเป็นการ “ต่ออายุ” ธุรกิจทีวีของหน่วยงานทั้ง 3 แห่ง โดยเฉพาะช่อง 3 และช่อง 7 หลังสัมปทานทีวีแอนะล็อกเดิมหมดอายุลง
คาดว่าทั้ง 3 ช่องจะนำเนื้อหาปัจจุบันของตัวเองมาฉายช่อง HD ไปก่อน โดยมีเนื้อหาบางรายการที่อาจจะไม่ถูกผลิตขึ้นแบบ HD ในช่วงแรก แต่จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็น HD ทั้งหมดในระยะยาว
ผู้ชนะการประมูลอีก 3 รายที่มีพื้นฐานทางธุรกิจคล้ายๆ กับคือ กลุ่มไทยรัฐ, แกรมมี่ และอมรินทร์ ซึ่งมีรากฐานธุรกิจจากสื่อแขนงอื่นๆ มาก่อน แต่ก็ถือเป็นกลุ่มทุนใหญ่ในธุรกิจของตน ได้บุกเข้ามาชิงเค้กช่อง HD ซึ่งถือเป็นช่องพรีเมียมที่สุดที่มีไปได้ กลุ่มทุนทั้ง 3 รายนี้มีธุรกิจด้านทีวีดาวเทียมอยู่ก่อนแล้ว ทั้งไทยรัฐเองที่กำลังซุ่มทำ “ไทยรัฐทีวี” บนแพลตฟอร์มเคเบิล CTH, แกรมมี่ที่ทำทีวีดาวเทียมหลายช่อง และอมรินทร์ที่เน้นเนื้อหาเชิงไลฟ์สไตล์-สุขภาพกับ Activ TV ด้วยสโลแกน “ทีวีสร้างสุข” ทั้งหมดนี้ถือเป็นต้นทุนทางธุรกิจที่จะต่อยอดไปยังทีวีระบบดิจิตอลได้อย่างต่อเนื่อง
ด้วยคุณสมบัติของช่อง HD ที่ให้ความคมชัดสูง เนื้อหาจึงเหมาะกับสื่อบันเทิง-กีฬาที่มีเนื้อหาเหมาะกับการถ่ายทอดแบบ HD เป็นพิเศษ กรณีของแกรมมี่ที่มีเนื้อหาบันเทิงอยู่ในมือมากมายคงไม่ใช่ปัญหา ส่วนไทยรัฐถึงแม้รูปแบบเนื้อหาหลักจะยังเป็น “ข่าว” แต่การเลือกเข้ามาประมูลช่อง HD แทนช่องข่าวก็น่าจะแสดงให้เห็นเป้าหมายว่าต้องการตลาดที่กว้างกว่าข่าวอย่างเดียว และไทยรัฐก็ยังมีไม้เด็ดในการเรียกลูกค้าโดยแบ่งการถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของ CTH บางนัดมาฉายทางฟรีทีวีได้บ้าง
ที่น่าจับตาคือกลุ่มอมรินทร์ที่เน้นเนื้อหาเชิงไลฟ์สไตล์ เพราะถึงแม้จะเป็นเนื้อหาที่ค่อนข้างแตกต่างและไม่มีคู่แข่งโดยตรง แต่ความคุ้มค่าในการลงทุนจากค่าโฆษณาที่จะได้กลับมาในอนาคตนั้นจะสมน้ำสมเนื้อกับเงินค่าประมูล 3 พันกว่าล้านที่ควักออกไปหรือไม่
สุดท้ายเป็น “ม้ามืด” อย่างกลุ่มปราสาททองโอสถ ที่เป็นหน้าใหม่ของวงการทีวีแต่ก็เป็นกลุ่มธุรกิจที่คนไทยคุ้นเคยกันดี กล้าทุ่มเงินประมูลจนเข้าป้ายมาเป็นอันดับสอง และตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่ามีรายการแบบใดบ้างเตรียมไว้ในมือ สิ่งที่สามารถประเมินได้ตอนนี้มีเพียงแค่ว่า ถ้ากล้าควักเงินระดับนี้มาประมูล แสดงว่ากลุ่ม บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง ต้องจริงจังกับแผนการบุกเข้ามาทำทีวีเป็นอย่างมาก และน่าจะเตรียมเรื่องการผลิตรายการไว้ค่อนข้างครบถ้วนแล้วตั้งแต่แรก