อ่วม!ปีใหม่ค่าไฟฟ้าเฉียด4บาท กกพ.ปรับขึ้นอีก5สต.อ้างค่าเงินอ่อน

ชาวบ้านอ่วมหลังปีใหม่ควักกระเป๋าจ่ายค่าไฟเฉียด 4 บาทต่อหน่วยหลัง เรกูเลเตอร์ปรับขึ้นค่าเอฟที ม.ค.-เม.ย.2557 อีก 5 สตางค์ต่อหน่วย อ้างเงินบาทอ่อน พร้อมมีมติแก้ปัญหาโซลาร์รูฟท็อปขาดใบ รง.4 ยืนยันให้คงสภาพสัญญาไว้แม้ไม่สามารถขายไฟฟ้าเข้าระบบทันสิ้นปี 2556    
    นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือ เรกูเลเตอร์ เปิดเผยว่า เรกูเลเตอร์ ประกาศขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ประจำเดือน ม.ค.-เม.ย.2557 อีก 5 สตางค์ต่อหน่วย จากเดิมอยู่ที่ 54 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าเอฟทีที่ประชาชนต้องจ่ายจริงในงวดนี้เป็น 59 สตางค์ต่อหน่วย และเมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานอีก 3.27 บาทต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าประจำเดือน ม.ค.-เม.ย.2557 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 3.82 บาทต่อหน่วย
    “การคำนวณค่าเอฟทีดังกล่าว ทางเรกูเลเตอร์พบว่า ค่าเอฟทีที่แท้จริงต้องปรับขึ้นถึง 6.99 สตางค์ต่อหน่วย จากค่าเอฟทีเดิม 54 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะมีผลให้ค่าเอฟทีที่แท้จริงของงวดนี้อยู่ที่ 60.99 สตางค์ต่อหน่วย แต่เห็นว่าอัตราดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าครองชีพของประชาชน ดังนั้น จึงได้ปรับลดลงมาเหลือเพียง 5 สตางค์ต่อหน่วยแทน และให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระส่วนที่เหลือ 1.99 สตางค์ต่อหน่วยเป็นการชั่วคราว คิดเป็นมูลค่าที่ต้องแบกรับภาระทั้งสิ้น 1,009 ล้านบาท” นายดิเรกกล่าว
นายดิเรกกล่าวว่า เรกูเลเตอร์ได้นำเงินค่าปรับที่ได้จากการขาดส่งก๊าซธรรมชาติแหล่งเยตากุนเมื่อเดือน เม.ย.2556 ที่ผ่านมา ได้ 130.39 ล้านบาท จึงนำมาชดเชยค่าเอฟทีได้ส่วนหนึ่งและทำให้ลดภาระ กฟผ.ลงเหลือเพียง 939.48 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าเอฟทีในงวดนี้ให้ปรับขึ้นมาจากปัญหาเงินบาทอ่อนค่าเป็นหลัก โดยเงินบาทอ่อนค่าลง 0.97 บาทต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่ 32.24 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อเทียบกับค่าเอฟทีงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.2556 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังต้องงเตรียมรองรับสถานการณ์ก๊าซธรรมชาติของประเทศเมียนมาร์ที่จะหยุดจ่ายก๊าซให้โรงไฟฟ้าไทยตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค.-14 ม.ค.2557 และการหยุดจ่ายก๊าซจากแหล่งบงกชในอ่าวไทยช่วงเดือน เม.ย.2557 จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน น้ำมันเตา น้ำมันดีเซลอย่างเต็มที่ เพื่อรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในภาคกลางละภาคใต้  
       นางพัลลภา เรืองรอง คณะกรรมการเรกูเลเตอร์ กล่าวว่า กรณีที่เมียนมาร์เลื่อนปิดซ่อมบำรุงท่อก๊าซธรรมชาติ จากวันที่ 25 ธ.ค.2556–8 ม.ค.2557 นั้น มาเป็นวันที่ 31 ธ.ค.2556-14 ม.ค.2557 ทำให้เรกูเลเตอร์ต้องขอความร่วมมือกับภาคเอกชนให้ช่วงลดใช้ไฟฟ้าลงระหว่างวันที่ 8-10 ม.ค.2557 เนื่องจากเป็นช่วงที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีก) ในช่วงที่ก๊าซเมียนมาร์หยุดจ่าย โดยตั้งเป้าหมายลดใช้ประมาณ 200 เมกะวัตต์ และขณะนี้มีภาคเอกชนเข้าร่วมโครงการแล้ว 20 ราย  
    สำหรับความคืบหน้าแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์รูฟท็อป) ขณะนี้พบว่าผู้ประกอบการยังติดปัญหาใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) ดังนั้นเรกูเลเตอร์เห็นว่า จะคงสิทธิ์สำหรับผู้ที่มีสัญญาจ่ายไฟฟ้าเข้ารับเชิงพาณิชย์ (เอสซีโอดี) ต่อไป จากเดิมที่มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) กำหนดให้ต้องเอสซีโอดีภายในสิ้นเดือน ธ.ค.2556 โดยผู้ที่มีสัญญาดังกล่าวแล้วจะสามารถใช้สิทธิ์ได้ตามเดิม ส่วนกรณีผู้ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วแต่ยังไม่ได้รับอนุญาตตามกฎมายที่กำหนด ก็ยังคงสิทธิ์ตามสถานภาพสัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าวต่อไป.

เครดิต   http://www.thaipost.net/news/271213/83944

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่