คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 25
1 ชัยภูมิเป็นหลัก ทางพม่ายกมาไทยง่ายกว่า ในขณะที่ทางไทยยกไปพม่าลำบากกว่า
2 ไทยไม่ได้เน้นการทำลายพม่า แต่เน้นการทำให้พม่าแตกเป็นหัวเมืองต่างๆรบรากันเอง จนไม่มีศักยภาพที่เป็นภัยต่อไทย
3 มีอาณาจักรมอญคอยหาทางทำลายชาวพม่าอยู่แล้ว ไทยเลยไม่ต้องลำบาก จนกระทั่งพม่าเกิดถูกหวย 2 ครั้ง ทำลายอาณาจักรมอญได้
4 นโยบายของไทยยุคก่อนธนบุรี-รัตนโกสินทร์ ไม่ชอบแสวงหาประเทศราช พอใจกับดินแดนของตัวเอง ไม่สนใจความมั่นคงของอาณาจักรมาก เน้นการค้าเป็นหลัก แถมช่วงหลังๆยังมีการชิงอำนาจกันบ่อยๆ จึงไม่สนใจจะก่อสงครามนัก ขนาดพม่ายึดทวายและล้านนาไป อยุธยายังไม่สนใจ รักแต่จะค้าขายหาเงิน
5 สมัยรัตนโกสินทร์สงครามระหว่างไทยกับพม่ามีทั้งหมด 12 ครั้ง แบ่งเป็นพม่ายกมา 6 ครั้ง ไทยยกไป 6 ครั้ง เท่ากัน
6 ทางพม่ามีค่านิยมจักรพรรดิราชของทางอินเดียเข้มข้น เมื่อมีโอกาสจะต้องแผ่ขยายเดชานุภาพไปให้ทั่ว ซึ่งทางแถบอยุธยา-ล้านนา-ล้านช้างไม่ได้ยึดค่านิยมนี้มาก
7 พม่าไม่ได้รบเก่งกว่าไทย ตรงข้าม ปกติพม่าอ่อนกว่าไทยมากด้วยซ้ำ เพราะในห้วงเวลาประวัติศาสตร์ทั้งหมดของพม่า พม่าแตกเป็นหัวเมืองเล็กหัวเมืองน้อยเกือบตลอด มีช่วงที่พม่าสามารถรวมตัวสร้างอาณาจักรใหญ่ได้แค่ 3 ช่วงเท่านั้น นอกนั้นก็เป็นหัวเมืองเล็กๆศักยภาพทางทหารต่ำ หากแต่ที่พม่ามาชนะอยุธยาได้ 2 ครั้ง นั่นเป็นช่วงที่พม่ากำลังยิ่งใหญ่จริงๆ คือ 2 ใน 3 ช่วงที่พม่ารวมตัวสร้างอาณาจักรใหญ่ได้สำเร็จ และการที่รวมตัวรวมแผ่นดินได้นั่นก็คือการที่พม่าปราบหัวเมืองต่างๆและอาณาจักรมอญได้สำเร็จ ศักยภาพทางทหารช่วงนั้นของพม่าจึงเป็นช่วงที่สูงเป็นพิเศษ กำลังพลมาก แม่ทัพ-ขุนพล-ทหารมีประสบการณ์และพร้อมรบ แต่ก็เป็นแค่ระยะสั้นๆไม่ยาวนานมากนัก
8 ทวาย เมื่อครั้งอังกฤษชนะพม่าในสงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่ 1 อังกฤษไม่ได้เสนอให้ไทยเอาทวายไปและขอล้านนารึล้านช้าง หากแต่ทางไทยเป็นพันธมิตรร่วมรบกับอังกฤษ อังกฤษเลยตอบแทนด้วยการยกเมืองบางส่วนของทวายให้ (ฟรี) หากทว่ารัชกาลที่ 3 เห็นว่าอังกฤษไม่ได้จริงใจที่จะให้ เพราะเมืองที่จะยกให้นั้นล้วนแต่เป็นเมืองที่อยู่ภายในแผ่นดิน ไม่ติดทะเลเลย ซึ่งได้มาก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรนัก บวกกับรัชกาลที่ 3 เห็นชะตากรรมของพม่าแล้วก็ตระหนักถึงภัยจากฝรั่งตะวันตกที่กำลังใกล้เข้ามา รัชกาลที่ 3 จึงตัดสินใจไม่รับเมืองเหล่านั้นไว้ ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดในอนาคต
2 ไทยไม่ได้เน้นการทำลายพม่า แต่เน้นการทำให้พม่าแตกเป็นหัวเมืองต่างๆรบรากันเอง จนไม่มีศักยภาพที่เป็นภัยต่อไทย
3 มีอาณาจักรมอญคอยหาทางทำลายชาวพม่าอยู่แล้ว ไทยเลยไม่ต้องลำบาก จนกระทั่งพม่าเกิดถูกหวย 2 ครั้ง ทำลายอาณาจักรมอญได้
4 นโยบายของไทยยุคก่อนธนบุรี-รัตนโกสินทร์ ไม่ชอบแสวงหาประเทศราช พอใจกับดินแดนของตัวเอง ไม่สนใจความมั่นคงของอาณาจักรมาก เน้นการค้าเป็นหลัก แถมช่วงหลังๆยังมีการชิงอำนาจกันบ่อยๆ จึงไม่สนใจจะก่อสงครามนัก ขนาดพม่ายึดทวายและล้านนาไป อยุธยายังไม่สนใจ รักแต่จะค้าขายหาเงิน
5 สมัยรัตนโกสินทร์สงครามระหว่างไทยกับพม่ามีทั้งหมด 12 ครั้ง แบ่งเป็นพม่ายกมา 6 ครั้ง ไทยยกไป 6 ครั้ง เท่ากัน
6 ทางพม่ามีค่านิยมจักรพรรดิราชของทางอินเดียเข้มข้น เมื่อมีโอกาสจะต้องแผ่ขยายเดชานุภาพไปให้ทั่ว ซึ่งทางแถบอยุธยา-ล้านนา-ล้านช้างไม่ได้ยึดค่านิยมนี้มาก
7 พม่าไม่ได้รบเก่งกว่าไทย ตรงข้าม ปกติพม่าอ่อนกว่าไทยมากด้วยซ้ำ เพราะในห้วงเวลาประวัติศาสตร์ทั้งหมดของพม่า พม่าแตกเป็นหัวเมืองเล็กหัวเมืองน้อยเกือบตลอด มีช่วงที่พม่าสามารถรวมตัวสร้างอาณาจักรใหญ่ได้แค่ 3 ช่วงเท่านั้น นอกนั้นก็เป็นหัวเมืองเล็กๆศักยภาพทางทหารต่ำ หากแต่ที่พม่ามาชนะอยุธยาได้ 2 ครั้ง นั่นเป็นช่วงที่พม่ากำลังยิ่งใหญ่จริงๆ คือ 2 ใน 3 ช่วงที่พม่ารวมตัวสร้างอาณาจักรใหญ่ได้สำเร็จ และการที่รวมตัวรวมแผ่นดินได้นั่นก็คือการที่พม่าปราบหัวเมืองต่างๆและอาณาจักรมอญได้สำเร็จ ศักยภาพทางทหารช่วงนั้นของพม่าจึงเป็นช่วงที่สูงเป็นพิเศษ กำลังพลมาก แม่ทัพ-ขุนพล-ทหารมีประสบการณ์และพร้อมรบ แต่ก็เป็นแค่ระยะสั้นๆไม่ยาวนานมากนัก
8 ทวาย เมื่อครั้งอังกฤษชนะพม่าในสงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่ 1 อังกฤษไม่ได้เสนอให้ไทยเอาทวายไปและขอล้านนารึล้านช้าง หากแต่ทางไทยเป็นพันธมิตรร่วมรบกับอังกฤษ อังกฤษเลยตอบแทนด้วยการยกเมืองบางส่วนของทวายให้ (ฟรี) หากทว่ารัชกาลที่ 3 เห็นว่าอังกฤษไม่ได้จริงใจที่จะให้ เพราะเมืองที่จะยกให้นั้นล้วนแต่เป็นเมืองที่อยู่ภายในแผ่นดิน ไม่ติดทะเลเลย ซึ่งได้มาก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรนัก บวกกับรัชกาลที่ 3 เห็นชะตากรรมของพม่าแล้วก็ตระหนักถึงภัยจากฝรั่งตะวันตกที่กำลังใกล้เข้ามา รัชกาลที่ 3 จึงตัดสินใจไม่รับเมืองเหล่านั้นไว้ ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดในอนาคต
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 32
ก่อนจะถามว่า ทำไมไม่เปิดศึกถึงขั้นนำกำลังเข้ารุกรานอาณาจักรอื่น ต้องถามก่อนว่า "จะเปิดศึกไปด้วยเหตุใด" มากกว่าครับ
การสงครามเชิงรุกมักจะมีขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเป็นหลัก คือ
-ขยายอาณาเขต
-ครอบครองแหล่งวัตถุดิบหรือเส้นทางการค้า
-ลดบทบาทของคู่แข่ง
พูดง่ายๆ ผลิตเองไม่ได้ ซื้อก็แพง ยึดเอาเลยแล้วกัน
การจะเกณฑ์คนไปตาย ต้องมีวัตถุประสงค์ ถ้าไม่มี ใครจะยอม การศึกสงครามที่ทำขึ้นเพื่อความสนุกสะใจ มีแต่ในนิยายครับ
ทีนี้กลับมาที่คำถามว่า "ทำไมพม่าจึงรุกไทย ไทยไม่เคยไปรุกพม่า"
ก่อนจะอธิบาย ขอชี้แจงก่อนที่บทความนี้จะโดนตราหน้าโดยนักวิจารย์ประวัติศาสตร์ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายในบอร์นี้ เพราะอาจจะด้วยว่าห่วง กลัวจะสร้างความร้าวฉานทางการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบัน หรืออะไรก็สุดแล้วแต่ ด้วยคำพูดกึ่งสอนที่ว่า เมื่อก่อนไม่มีพม่าไม่มีไทย มีแต่ บลาๆๆๆๆ ว่ากันไป....
คือ.... พม่ารบไทยน่ะถูกแล้ว เพราะเราพูดในบริบทของ "ชาติพันธุ์" ไม่ได้พูดใดบริบทของอาณาเขตปกครองหรือเลยเถิดไปถึงภูมิศาสตร์ ดังนั้น ก่อนจะอ่านต่อ กรุณาเข้าใจข้อนี้ก่อน
กลับมาที่ "ทำไมพม่าจึงรุกไทยอยู่ฝ่ายเดียว" ขอชี้แจงก่อนว่า "ไม่จริง" ในหน้าประวัติศาสตร์ของเราสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกรีฑาทัพเข้ายึดกรุงหงสาวดีไว้เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรศรีอยุธยาได้ จากนั้นเคลื่อนเข้าตีตองอูจนสุดท้ายหย่าศึกด้วยเงื่อนไขที่เรียกได้ว่า ตองอูตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรศรีอยุธยา ต่อจากนั้นเคลื่อนพลเข้าตีกรุงรัตนปุระอังวะแต่ด้วยขาดประสบการณ์จึงทำให้การตีกรุงอังวะครั้งแรกไม่ประสบผล อย่างไรก็ดีมรดกในการบุกอังวะของไทยยังมีให้เห็นมาจนปัจจุบันนี้ ถ้าเราไปเที่ยวอังวะจะมีคลองสายหนึ่งชื่อว่า "คลองโยเดีย" เป็นคลองที่ขุดขึ้นโดยกองทัพไทยเพื่อระบายน้ำจากคูกั้นพระนครของอังวะให้เหลือน้อย จะได้นำกำลังเข้าประชิดกำแพงเมืองได้ แต่สุดท้ายเป็นความบุญน้อยของเราชาวสยาม บูรพมหากษัตริย์พระองค์นี้ ทรงสิ้นพระชนม์ลงในมัชชิมวิถีขณะกรีฑาทัพเข้าตีกรุงรัตนปุระอังวะครั้งที่สอง จึงเป็นอันจบ แคมเปญ การครอบครองดินแดนพม่าไป
คำถามของเจ้าของกระทู้ มีคำถามเล็กอยู่ข้างในด้วยว่า "ทำไมไม่เคยเปิดศึกใหญ่ตีเอาบ้านเอาเมือง มีแต่ศึกเล็กตามหัวเมืองห่างไกล" ก็ตอบว่า ไม่จริง อีก ในสมัยเจ้าสามพระยา ศูนย์กลางของอาณาจักรเขมรอยู่ที่นครธม ทัพอยุธยาก็เข้าตีเอาพระนครธมแตก จนเขมรต้องไปตั้งเมืองหลวงใหม่ที่ละแวก ในสมัยสมเด็จพระนเรศวมหาราช ก็ทรงกรีฑาทัพ ไปตีกรุงละแวก เมืองหลวงอาณาจักรชาวเขมรแตกอีกเช่นกัน ได้ละแวกมาเป็นเมืองขึ้น
....ส่วนใครที่ไม่ค่อยจะชื่นชมชื่นชอบชาวไทยด้วยกัน ชอบด่าว่าคนชาติเดียวกันว่าแย่อย่างนั้น นิสัยที่แท้จริงเป็นอย่างนี้ เพียงเพื่อมโนเอาเองว่าคนอื่นจะมองว่าตัวคนที่พูดเองนั้นแหละ ดีกว่าคนทุกคนในชาตินี้ ก็คงต้องระคายหูหน่อย ที่จะบอกว่า ที่ต้องตีเอาละแวก เพราะนิสัยลอบกัด ตอนไทยดีไม่มีศึกก็มาเจริญสัมพันธไมตรีค้าขายด้วย ได้กำรี้กำไรไปก็มาก ยามไทยตกยาก ผู้ชายไปรบหน้าศึกตกตายเลือดทาแผ่นดิน กษัตริย์ละแวกก็มีนโยบายอันเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ตน ด้วยการเข้าปล้นพระนครและหัวเมืองรายทางของไทย ฉุดคร่า ทำร้าย เยี่ยงกองโจรมากกว่าทัพกษัตริย์ ครั้งหนึ่งเหยีบถึงชานพระนคร แม้ไทยจะเพิ่งเสียกรุงครั้งที่หนึ่งไปไม่นาน แต่ทัพละแวกเขมรก็ไม่สามารถเข้าปล้นกรุงได้สำเร็จ ได้แต่เพียงตีชิงริบทรัพย์จับเชลยคนไทยเอากับหัวเมืองรายทางของเราที่กำลังอ่อนแอเท่านั้น เป็นที่ให้รำคาญและระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเป็นยิ่งนัก สมเด็จพระนเรศวร จึงต้องทรงเสด็จยกทัพไปเหยีบกรุงละแวก เข้าใจไว้ด้วยนะครับเหล่าคนดีศรีสยามทั้งหลายแห่งอาณาจักรมโนธารา
....ที่กล่าวมา คือ คำตอบให้กับเจ้าของกระทู้ว่า ยุทธศาสตร์เชิงรุกทางทหารในการขยายขอบเขตอิทธิพลของราชอาณาจักรเราชาวไทยมาแต่ละยุคแต่ละสมัยนั้น มีไม่ใช่ไม่มี....
และจะขออธิบายเพิ่มเติมอีกสักหน่อยพอหอมปากหอมคอว่า การเปิดศึกสงครามนั้น ในวิสัยทัศน์ของผู้ปกครองประเทศ เปิดแล้วต้องได้ประโยชน์ อาณาจักรพม่าก่อนจะมารุกรานอาณาจักรของไทย ก็เคยรุกรานอาณาจักรมอญมาก่อน เพราะชาติพันธุ์ชาวพม่านั้น อาณาจักรอยู่ทางตอนเหนือ ไม่มีทางออกทางทะเล ดังนั้น การอุปโภคบริโภคต้องอาศัยซื้อวัตถุดิบจากหัวเมืองทางใต้ซึ่งเป็นอาณาเขตปกครองของชาวมอญ แน่นอน ชาวมอญซื้อของต่างชาติมาในราคาถูก ก็ต้องขายเอากำไรกับชาวพม่า หรือพูดง่ายๆ ชาวมอญหาปลาในทะเลได้ พม่าอยากได้ก็ต้องซื้อเอา พม่าย่อมอยากครอบครองเส้นทางการค้าทางทะเล และเมืองท่าต่างๆ สมัยพระเจ้าตะเบงชะเวตี้จึงตียึดเอาหงสาวดี เมืองหลวงของชาวมอญในอดีตมาครอบครอง และถึงขั้นย้ายศูนย์กลางของอาณาจักรมาไว้ที่เมืองหงสาวดี ทวาย มะริด ตะนาวศรี ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เมืองเหล่านี้แม้เป็นเมืองน้อย แต่ไม่ต่างอะไรกับเซี่ยงไฮ้ พูดแบบนี้เข้าใจมั้ยครับ? ว่าทำไมอาณาจักรของสองชาติพันธุ์ต้องแย่งกัน ทำไมตีเอาทวาย มะริด ตะนาวศรี ก็พอ ไม่ต้องไปเอาแปร เอาตองอู หรอก ก็เพราะในทางเศรษฐกิจการค้า มันไม่มีประโยชน์กับเราถึงขั้นต้องเสียเลือดเสียเนื้อเสียทรัพยากรมหาศาลในการทำศึกสงครามเพื่อแลกมาไงครับ ยกเว้นก็แต่เพียงสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอีกเช่นกัน ที่สมเด็จท่านต้องเข้าตีเมืองสำคัญของพม่า ก็เพราะเป็นยุคที่ไทยมีกองกำลังเข้มแข็ง มีทหารอาชีพมาก ก็ต้องหางานให้ทำอยู่เฉยๆไม่ได้อะไร แม้ยุทธศาสตร์จะไม่ใช่หวังผลในการครอบครองปัจจัยในทางเศรษฐกิจ แต่ก็คือหวังขยายอาณาเขตเพื่อผลทางการเมืองและความสงบของอาณาจักรระยะยาวซึ่งก็สำคัญไม่แพ้กัน
ตามภูมิศาสตร์ อาณาจักรอยุธยา แผ่อิทธิพลการปกครองไปจนถึงสุดแหลมมาลายู แล้วเอาทวาย มะริด ตะนาวศรี มาไว้ในครอบครอง เส้นทางการค้าทางเรือ เราคุมหมด ส่วยสาอากรที่ได้จากการค้าขาย เข้าสู่ราชอาณาจักรอยุธยาหมด แถมสำเภายังเข้าอ่าวไทย ล่องเจ้าพระยามาเทียบลงที่กรุงได้เลย ดูสิว่า ภูมิศาสตร์เยี่ยมยอดขนาดไหน ในขณะที่พม่าไม่มี.... พม่าจะแข่งทางเศรษฐกิจการค้าไม่ได้ เมื่อแข่งไม่ได้ พัฒนาการก็จะน้อย สักวันก็จะโดนกลืน จึงจำเป็นต้องตีเอา นี่จึงเป็นที่มาว่า พม่าซีเรียสกับธุระการทหารในการยึดเอาพระนครศรีอยุธยาให้ได้
แถมท้ายนะครับ อาณาจักรอยุธยา ไม่เคยเน้นความมั่นคงทางการทหารเป็นสำคัญ อาณาจักรของชนชาวไทย ไม่ใช่รัฐทหารมาตั้งแต่ในอดีต เพิ่งจะมีนโยบายตั้งทหารประจำการก็ในสมัย ร.5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมาเท่านั้น เดิมเป็นรัฐเศรษฐกิจ เป็นพ่อค้าครับ และเป็นนักการเมืองระหว่างประเทศที่เก่งด้วย จึงแผ่อิทธิพลได้กว้างไกลและเป็นปึกแผ่นมั่นคง ผิดกับพม่า ที่การปกครองมีศูนย์กลางอำนาจเปลี่ยนไปมาตลอดเวลา รบพุ่งกันตลอดเวลา รวมๆแตกๆ แตกๆรวมๆ อยู่อย่างนี้ ความเป็นปึกแผ่นของพม่าแต่ละช่วงกินเวลาน้อยกว่าของไทยมาก ของไทยอย่างมากก็รบกันในหมู่ชั้นเจ้านายเพือสืบราชสมบัติเท่านั้น หาได้นำความเดือดร้อนลงมาสู่ไพร่ฟ้าประชาชนไม่ พวกทหารประจำการก็เป็นแต่เพียงล้อมวัง คอยอารักขาผู้นำอาณาจักร กับพวกตำรวจเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยเท่านั้น การสักเลขสังกัดกรมกองส่วนใหญ่ก็นำมาใช้ราชการแรงงานหลวง ยามศึกสงครามต้องเกณฑ์กำลังหัวเมือง กำลังอาสา เสียเป็นส่วนใหญ่
ทหารมีแล้วต้องดูแล ทหารอาชีพใช้เงินอย่างเดียว ไม่หาเงิน เมื่อยุทธศาสตร์ของไทยไม่ได้เน้นการทหาร เพราะใช้การแผ่อำนาจด้วยการค้าและการเมืองเป็นหลัก แล้วจะต้องมีทหารไว้รบพุ่งทำไมเยอะๆ "เปลือง" เว้นแต่ในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเท่านั้น ที่มีกำลังทหารเข้มแข้งเป็นตัวเป็นตน อาชีพคือรบอย่างเดียว ซึ่งเราก็จะเห็นว่า หลังจากว่างศึกเลี้ยงทหารเปล่าๆก็ไม่เวิร์ค จึงต้องใช้ทหารในการแผ่พระราชอำนาจให้เป็นประโยชน์สูงสุด ให้ทหารได้ทำงาน เพื่อผลประโยชน์ทางอ้อมอันจะได้มาโดยการใช้กำลัง มีแม้กระทั่งจดหมายเหตุของจีนบันทึกไว้ว่า ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวร ทูตไทยมีการเจรจาเกี่ยวกับการจะส่งทัพอยุธยาช่วยพระเจ้ากรุงจีนรบญี่ปุ่นด้วยซ้ำ
ผมจะไม่สรุปอะไรทั้งนั้นนะครับ แต่เจ้าของกระทู้คงได้จิ๊กซอว์เพื่อนำไปต่อสร้างเป็นภาพความเข้าใจที่กระจ่างได้นะครับ หากบทความนี้จะเกิดประโยชน์ทางปัญญาขึ้น ก็ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษเราชาวไทยผู้กอปรด้วยความรักชาติรักแผ่นดิน รักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของเราชาวไทยตั้งแต่ในอดีตทุกองค์ทุกตัวคนด้วยเทอญ
การสงครามเชิงรุกมักจะมีขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเป็นหลัก คือ
-ขยายอาณาเขต
-ครอบครองแหล่งวัตถุดิบหรือเส้นทางการค้า
-ลดบทบาทของคู่แข่ง
พูดง่ายๆ ผลิตเองไม่ได้ ซื้อก็แพง ยึดเอาเลยแล้วกัน
การจะเกณฑ์คนไปตาย ต้องมีวัตถุประสงค์ ถ้าไม่มี ใครจะยอม การศึกสงครามที่ทำขึ้นเพื่อความสนุกสะใจ มีแต่ในนิยายครับ
ทีนี้กลับมาที่คำถามว่า "ทำไมพม่าจึงรุกไทย ไทยไม่เคยไปรุกพม่า"
ก่อนจะอธิบาย ขอชี้แจงก่อนที่บทความนี้จะโดนตราหน้าโดยนักวิจารย์ประวัติศาสตร์ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายในบอร์นี้ เพราะอาจจะด้วยว่าห่วง กลัวจะสร้างความร้าวฉานทางการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบัน หรืออะไรก็สุดแล้วแต่ ด้วยคำพูดกึ่งสอนที่ว่า เมื่อก่อนไม่มีพม่าไม่มีไทย มีแต่ บลาๆๆๆๆ ว่ากันไป....
คือ.... พม่ารบไทยน่ะถูกแล้ว เพราะเราพูดในบริบทของ "ชาติพันธุ์" ไม่ได้พูดใดบริบทของอาณาเขตปกครองหรือเลยเถิดไปถึงภูมิศาสตร์ ดังนั้น ก่อนจะอ่านต่อ กรุณาเข้าใจข้อนี้ก่อน
กลับมาที่ "ทำไมพม่าจึงรุกไทยอยู่ฝ่ายเดียว" ขอชี้แจงก่อนว่า "ไม่จริง" ในหน้าประวัติศาสตร์ของเราสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกรีฑาทัพเข้ายึดกรุงหงสาวดีไว้เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรศรีอยุธยาได้ จากนั้นเคลื่อนเข้าตีตองอูจนสุดท้ายหย่าศึกด้วยเงื่อนไขที่เรียกได้ว่า ตองอูตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรศรีอยุธยา ต่อจากนั้นเคลื่อนพลเข้าตีกรุงรัตนปุระอังวะแต่ด้วยขาดประสบการณ์จึงทำให้การตีกรุงอังวะครั้งแรกไม่ประสบผล อย่างไรก็ดีมรดกในการบุกอังวะของไทยยังมีให้เห็นมาจนปัจจุบันนี้ ถ้าเราไปเที่ยวอังวะจะมีคลองสายหนึ่งชื่อว่า "คลองโยเดีย" เป็นคลองที่ขุดขึ้นโดยกองทัพไทยเพื่อระบายน้ำจากคูกั้นพระนครของอังวะให้เหลือน้อย จะได้นำกำลังเข้าประชิดกำแพงเมืองได้ แต่สุดท้ายเป็นความบุญน้อยของเราชาวสยาม บูรพมหากษัตริย์พระองค์นี้ ทรงสิ้นพระชนม์ลงในมัชชิมวิถีขณะกรีฑาทัพเข้าตีกรุงรัตนปุระอังวะครั้งที่สอง จึงเป็นอันจบ แคมเปญ การครอบครองดินแดนพม่าไป
คำถามของเจ้าของกระทู้ มีคำถามเล็กอยู่ข้างในด้วยว่า "ทำไมไม่เคยเปิดศึกใหญ่ตีเอาบ้านเอาเมือง มีแต่ศึกเล็กตามหัวเมืองห่างไกล" ก็ตอบว่า ไม่จริง อีก ในสมัยเจ้าสามพระยา ศูนย์กลางของอาณาจักรเขมรอยู่ที่นครธม ทัพอยุธยาก็เข้าตีเอาพระนครธมแตก จนเขมรต้องไปตั้งเมืองหลวงใหม่ที่ละแวก ในสมัยสมเด็จพระนเรศวมหาราช ก็ทรงกรีฑาทัพ ไปตีกรุงละแวก เมืองหลวงอาณาจักรชาวเขมรแตกอีกเช่นกัน ได้ละแวกมาเป็นเมืองขึ้น
....ส่วนใครที่ไม่ค่อยจะชื่นชมชื่นชอบชาวไทยด้วยกัน ชอบด่าว่าคนชาติเดียวกันว่าแย่อย่างนั้น นิสัยที่แท้จริงเป็นอย่างนี้ เพียงเพื่อมโนเอาเองว่าคนอื่นจะมองว่าตัวคนที่พูดเองนั้นแหละ ดีกว่าคนทุกคนในชาตินี้ ก็คงต้องระคายหูหน่อย ที่จะบอกว่า ที่ต้องตีเอาละแวก เพราะนิสัยลอบกัด ตอนไทยดีไม่มีศึกก็มาเจริญสัมพันธไมตรีค้าขายด้วย ได้กำรี้กำไรไปก็มาก ยามไทยตกยาก ผู้ชายไปรบหน้าศึกตกตายเลือดทาแผ่นดิน กษัตริย์ละแวกก็มีนโยบายอันเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ตน ด้วยการเข้าปล้นพระนครและหัวเมืองรายทางของไทย ฉุดคร่า ทำร้าย เยี่ยงกองโจรมากกว่าทัพกษัตริย์ ครั้งหนึ่งเหยีบถึงชานพระนคร แม้ไทยจะเพิ่งเสียกรุงครั้งที่หนึ่งไปไม่นาน แต่ทัพละแวกเขมรก็ไม่สามารถเข้าปล้นกรุงได้สำเร็จ ได้แต่เพียงตีชิงริบทรัพย์จับเชลยคนไทยเอากับหัวเมืองรายทางของเราที่กำลังอ่อนแอเท่านั้น เป็นที่ให้รำคาญและระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเป็นยิ่งนัก สมเด็จพระนเรศวร จึงต้องทรงเสด็จยกทัพไปเหยีบกรุงละแวก เข้าใจไว้ด้วยนะครับเหล่าคนดีศรีสยามทั้งหลายแห่งอาณาจักรมโนธารา
....ที่กล่าวมา คือ คำตอบให้กับเจ้าของกระทู้ว่า ยุทธศาสตร์เชิงรุกทางทหารในการขยายขอบเขตอิทธิพลของราชอาณาจักรเราชาวไทยมาแต่ละยุคแต่ละสมัยนั้น มีไม่ใช่ไม่มี....
และจะขออธิบายเพิ่มเติมอีกสักหน่อยพอหอมปากหอมคอว่า การเปิดศึกสงครามนั้น ในวิสัยทัศน์ของผู้ปกครองประเทศ เปิดแล้วต้องได้ประโยชน์ อาณาจักรพม่าก่อนจะมารุกรานอาณาจักรของไทย ก็เคยรุกรานอาณาจักรมอญมาก่อน เพราะชาติพันธุ์ชาวพม่านั้น อาณาจักรอยู่ทางตอนเหนือ ไม่มีทางออกทางทะเล ดังนั้น การอุปโภคบริโภคต้องอาศัยซื้อวัตถุดิบจากหัวเมืองทางใต้ซึ่งเป็นอาณาเขตปกครองของชาวมอญ แน่นอน ชาวมอญซื้อของต่างชาติมาในราคาถูก ก็ต้องขายเอากำไรกับชาวพม่า หรือพูดง่ายๆ ชาวมอญหาปลาในทะเลได้ พม่าอยากได้ก็ต้องซื้อเอา พม่าย่อมอยากครอบครองเส้นทางการค้าทางทะเล และเมืองท่าต่างๆ สมัยพระเจ้าตะเบงชะเวตี้จึงตียึดเอาหงสาวดี เมืองหลวงของชาวมอญในอดีตมาครอบครอง และถึงขั้นย้ายศูนย์กลางของอาณาจักรมาไว้ที่เมืองหงสาวดี ทวาย มะริด ตะนาวศรี ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เมืองเหล่านี้แม้เป็นเมืองน้อย แต่ไม่ต่างอะไรกับเซี่ยงไฮ้ พูดแบบนี้เข้าใจมั้ยครับ? ว่าทำไมอาณาจักรของสองชาติพันธุ์ต้องแย่งกัน ทำไมตีเอาทวาย มะริด ตะนาวศรี ก็พอ ไม่ต้องไปเอาแปร เอาตองอู หรอก ก็เพราะในทางเศรษฐกิจการค้า มันไม่มีประโยชน์กับเราถึงขั้นต้องเสียเลือดเสียเนื้อเสียทรัพยากรมหาศาลในการทำศึกสงครามเพื่อแลกมาไงครับ ยกเว้นก็แต่เพียงสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอีกเช่นกัน ที่สมเด็จท่านต้องเข้าตีเมืองสำคัญของพม่า ก็เพราะเป็นยุคที่ไทยมีกองกำลังเข้มแข็ง มีทหารอาชีพมาก ก็ต้องหางานให้ทำอยู่เฉยๆไม่ได้อะไร แม้ยุทธศาสตร์จะไม่ใช่หวังผลในการครอบครองปัจจัยในทางเศรษฐกิจ แต่ก็คือหวังขยายอาณาเขตเพื่อผลทางการเมืองและความสงบของอาณาจักรระยะยาวซึ่งก็สำคัญไม่แพ้กัน
ตามภูมิศาสตร์ อาณาจักรอยุธยา แผ่อิทธิพลการปกครองไปจนถึงสุดแหลมมาลายู แล้วเอาทวาย มะริด ตะนาวศรี มาไว้ในครอบครอง เส้นทางการค้าทางเรือ เราคุมหมด ส่วยสาอากรที่ได้จากการค้าขาย เข้าสู่ราชอาณาจักรอยุธยาหมด แถมสำเภายังเข้าอ่าวไทย ล่องเจ้าพระยามาเทียบลงที่กรุงได้เลย ดูสิว่า ภูมิศาสตร์เยี่ยมยอดขนาดไหน ในขณะที่พม่าไม่มี.... พม่าจะแข่งทางเศรษฐกิจการค้าไม่ได้ เมื่อแข่งไม่ได้ พัฒนาการก็จะน้อย สักวันก็จะโดนกลืน จึงจำเป็นต้องตีเอา นี่จึงเป็นที่มาว่า พม่าซีเรียสกับธุระการทหารในการยึดเอาพระนครศรีอยุธยาให้ได้
แถมท้ายนะครับ อาณาจักรอยุธยา ไม่เคยเน้นความมั่นคงทางการทหารเป็นสำคัญ อาณาจักรของชนชาวไทย ไม่ใช่รัฐทหารมาตั้งแต่ในอดีต เพิ่งจะมีนโยบายตั้งทหารประจำการก็ในสมัย ร.5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมาเท่านั้น เดิมเป็นรัฐเศรษฐกิจ เป็นพ่อค้าครับ และเป็นนักการเมืองระหว่างประเทศที่เก่งด้วย จึงแผ่อิทธิพลได้กว้างไกลและเป็นปึกแผ่นมั่นคง ผิดกับพม่า ที่การปกครองมีศูนย์กลางอำนาจเปลี่ยนไปมาตลอดเวลา รบพุ่งกันตลอดเวลา รวมๆแตกๆ แตกๆรวมๆ อยู่อย่างนี้ ความเป็นปึกแผ่นของพม่าแต่ละช่วงกินเวลาน้อยกว่าของไทยมาก ของไทยอย่างมากก็รบกันในหมู่ชั้นเจ้านายเพือสืบราชสมบัติเท่านั้น หาได้นำความเดือดร้อนลงมาสู่ไพร่ฟ้าประชาชนไม่ พวกทหารประจำการก็เป็นแต่เพียงล้อมวัง คอยอารักขาผู้นำอาณาจักร กับพวกตำรวจเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยเท่านั้น การสักเลขสังกัดกรมกองส่วนใหญ่ก็นำมาใช้ราชการแรงงานหลวง ยามศึกสงครามต้องเกณฑ์กำลังหัวเมือง กำลังอาสา เสียเป็นส่วนใหญ่
ทหารมีแล้วต้องดูแล ทหารอาชีพใช้เงินอย่างเดียว ไม่หาเงิน เมื่อยุทธศาสตร์ของไทยไม่ได้เน้นการทหาร เพราะใช้การแผ่อำนาจด้วยการค้าและการเมืองเป็นหลัก แล้วจะต้องมีทหารไว้รบพุ่งทำไมเยอะๆ "เปลือง" เว้นแต่ในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเท่านั้น ที่มีกำลังทหารเข้มแข้งเป็นตัวเป็นตน อาชีพคือรบอย่างเดียว ซึ่งเราก็จะเห็นว่า หลังจากว่างศึกเลี้ยงทหารเปล่าๆก็ไม่เวิร์ค จึงต้องใช้ทหารในการแผ่พระราชอำนาจให้เป็นประโยชน์สูงสุด ให้ทหารได้ทำงาน เพื่อผลประโยชน์ทางอ้อมอันจะได้มาโดยการใช้กำลัง มีแม้กระทั่งจดหมายเหตุของจีนบันทึกไว้ว่า ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวร ทูตไทยมีการเจรจาเกี่ยวกับการจะส่งทัพอยุธยาช่วยพระเจ้ากรุงจีนรบญี่ปุ่นด้วยซ้ำ
ผมจะไม่สรุปอะไรทั้งนั้นนะครับ แต่เจ้าของกระทู้คงได้จิ๊กซอว์เพื่อนำไปต่อสร้างเป็นภาพความเข้าใจที่กระจ่างได้นะครับ หากบทความนี้จะเกิดประโยชน์ทางปัญญาขึ้น ก็ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษเราชาวไทยผู้กอปรด้วยความรักชาติรักแผ่นดิน รักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของเราชาวไทยตั้งแต่ในอดีตทุกองค์ทุกตัวคนด้วยเทอญ
แสดงความคิดเห็น
แปลกใจ ทำไมไทยไม่บุกพม่า