คือผมตอนนี้มีเงินอยู่ 1 000 000 บาท แต่ยังสับสนกับตัวเองว่าจะเลือกทำธุรกิจอะไรดี ตั้งแต่เด็กก็ชอบการค้าขายมาตลอด สำหรับผมตอนนี้อายุ 21 ปีเอง ความคิดและประสบการณ์อาจจะยังไม่รอบคอบ เลยอยากนำตัวเลือกที่ผมคิดไว้มาลองปรึกษาพี่ๆชาวพันทิปทุกท่าน ว่ามีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง และอยากขอคำแนะนำจากพี่ๆกูรู ทุกท่าน ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
เพิ่มเติมนิดนึงนะครับ ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่า ธูรกิจตัวเลือกไหน ที่พอจะมีโอกาสสร้ายรายได้ 100 000 บาทต่อเดือน ในระยะเวลา 1 ปี
เริ่มเลยละกัน ...
1.ร้านรับฝาก
เปิดแถวๆมหาวิทบาลัย ผมคิดว่าทำร้านรับฝากก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจและด้วยทำเลแถวมหาวิทยาลัย จำนวนคนที่เยอะน่าจะได้เปรียบ โอกาสคนที่จะมาฝากของที่ร้านก็จะเยอะตาม
ข้อดี
1.ความเสี่ยงน้อยหว่าปล่อยเงินกู้ เพราะยังมีสินค้าค้ำประกัน
2.ดอกเบี้ยน้อยกว่าปล่อยเงินกู้ ร้านรับฝากส่วนใหญ่อยุ่ที่ร้อยละ 5-7 ต่อเดือน แต่ถ้ามองว่าเป็นการออมทรัพย์ มากวว่าการลงทุน ถือว่าดีกว่าการฝากเงินในธนาคาร
3.นอกจากดอกเบี้ยที่จะได้ต่อเดือนแล้วยังมีรายได้จากการขายต่อสินค้าที่หลุดฝากได้อีกด้วย
4.เป็นธุรกิจที่ใช้คนน้อย
5.เป็นงานที่ ลูกค้าต้องเป็นฝ่ายวอร์คอิน เข้ามาหาเรา
ข้อเสีย
1เป็นธุรกิจสีเทา จำเป็นต้องมีใบประกอบการการค้าของเก่า และกล้องวงจรปิด เพื่อป้องกันข้อหารับซื้อของโจร
2.ประสบการณ์ในการดูสินค้าของเรายังมีไม่มาก ทำให้ร้าน รับฝากสินค้าเพียงสินค้าหลักๆ เช่น กล้อง notebook game iPhone iPad Samsung จึงเกิดความหลากหลายน้อย และมีโอกาสที่จะตีสินค้าได้ไม่ดีเท่าที่ควร
3.ต้องสามารถกระจายสินค้าได้ กรณีของหลุดฝาก
อุบสรรค
1.เป็นไปได้สูงในช่วงระยะเวลา2-3 เดือนนั้น ยอดรับฝากอาจจะน้อย เนื่องจากยังใหม่และลูกค้ายังไม่ค่อยรู้จัก รายได้จึงยังไม่เกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นได้น้อยไม่ดีเท่าที่ควร
2.ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นหลักๆ ที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน คือ
- ค่าเช่าที่ ( เนื่องจากไม่มีพื้นที่ของตัวเอง ) สมมติ 10000 บาท
- ค่าน้ำ ค่าไฟ สมมติ 2000 บาท
กำไรที่คาดหวังขั้นต่ำต่อเดือน สมมติ 10000 - 15000 บาท ในที่นี้ส่วนนี้อาจจะหมายรวมเป็นค่าจ้างของตัวเอง
ถ้ายอดฝากคิดที่ร้อยละ 5 ต่อเดือน จำเป็นต้องมียอดฝากขั้นต่ำ 540 000 บาทขึ้นไป ถึงจะเพียงพอตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
แต่ถ้าไม่คิดกำไรที่คาดหวังไว้ คิดแค่ค่าใช้จ่ายเบื้องต้น ควรจะมียอดฝากอยู่ที่ 240 000 บาทต่อเดือน ขึ้นไป
ซึ่งในช่วงระยะเวลาแรกๆเป็นไปได้ยากที่ยอดฝากอาจจะไม่ถึงยอดขนาดนั้น
2.ร้านกาแฟ เบเกอรี่
พอดีมีรุ่นพี่ที่รู้จักกันเค้าจะเซ้งพื้นร้านกาแฟกับเบเกอรี่ ที่ในห้าง เนื่องจากตัวเค้าเองนั้น จะไปทำ 7 - eleven ของตัวเอง ร้านกาแฟของพี่เค้าก็เปิดมาได้เป็นสิบปีแล้ว มีฐานลูกค้า โดยรายได้เฉลี่ยส่วนใหญ่ หักค่าเช่าที่ 27 000 บาท แล้ว ก็เหลือๆ ประมาณ 60000 - 70000 ต่อเดือน ยอดคงที่ประมาณนี้ ร้านพี่เขาไม่มีลุกน้อง ใช้คนเพียงคนเดียวคือพี่เขา ถ้าเราจะเทคต่อ เขาจะเซ้งให้ 800 000 บาท ณ ตอนนี้ อยุ่ในช่วงดำเนินการกับเซเว่น ผมคิดว่ายังมีเวลาตัดสินใจ 2 เดือน อ้อ! เพิ่มเติมนิดนึงนะครับ เท่าที่ผมได้ลองไปสังเกตุดู 60% รายได้มาจากการขายเค้กชิ้น 40 % มาจากเครื่องดื่ม
ข้อดี
1.ไม่ต้องเริ่มศูนย์ เพราะร้านมีฐานลูกค้าอยุ่แล้ว
2.ใช้พนักงานน้อย เพียงคนเดียวก็ทำได้
ข้อเสีย
1.ถ้าเปลี่ยนมือคนขายไป จะมีปัญหาเกิดขึ้นไหม จะกระทบต่อยอดขายไหม เช่น กาแฟ ลูกค้าอาจกังวลว่ารสชาดจะเปลี่ยนถึงแม้ว่าเราจะไทำตามสูตรที่พี่เค้าบอกก็ตาม เป็นต้น
2.สัญญาที่ทำกับห้าง เราไม่มีข้อมูลอะไรเลย
3. ใช้ระยะเวลาขั้นต่ำ 1 ปี คืนทุนเลย
4.มีโอกาสที่เค้กจะเหลือ ขายไม่หมด
5.จะดีกว่าไหม ถ้าเราไปหาพื้นที่ สักสี่ที่ ลงทุนสักพิ้นที่ละสองแสน เป้าหมายรายได้ 30000 - 40000 บาท / เดือน / ร้าน เปิดน้ำจากสี่ก็อกน้อยๆ น่าจะดีกว่า เปิดก็อกเดียวแรงๆไหม ถ้าเลือกหลายก็อกต้องใช้เวลาตระเวนดูพื้นที่และเริ่มนับศูนย์ใหม่
อุปสรรค
ถ้าเลือกเปิดแบบหลายก็อก ซึ่งจำเป็นต้องใช้พนักงาน การบริหารคนถือเป็นอะไรที่ต้องใช้เรื่องของความเซนซิทิฟ และ เปิดหลายก็อกก็จะทำให้เราดูแลได้ไม่ถี่ถ้วนได้
3.ร้านอาหาร
ผมอยากเปิดร้านข้าวผัด กระเพาะปลา เนื่องจากเคยคลุกคลีอยู่กับร้านพอสมควร มีอยู่หลายสาขา ซึ่งก็ได้วิชาความรู้ ประสบการณ์มาพอสมควร ตอนนี้ก็ดูๆพื้นที่ไว้บ่าง มี 2 พื้นที่ ระหว่างพื้นที่เปิดติดถนนซึ่งอาจเปิดได้ 8.00 - 21.00 แต่ต้องเริ่มนับ 1 ใหม่เลย ลูกค้าอาจจะมาไม่เยอะทีเดียว อาจจะมีมาเรื่อยๆ และมีโอกาสเก็บฐานลูกค้าได้เยอะกว่า ในอนาคต กับพื้นที่ในกลุ่มโซนออฟฟิศ พื้นที่ปิด อาจขายได้ 8.00 - 15.00 น. ความหลากหลายทางการตลาดยังน้อยแต่ว่าก็จะได้ลูกค้าเพียงกลุ่มเดียวในระแวกนั้น ลูกค้าจะเยอะเพียงช่วงๆ เท่านั้น 11.00 - 13.00 น. ควรจะเลือกแบบไหนดี
ข้อดี
1.รสชาดอาหารที่ใช้ได้ และเป็นธุรกิจในแบรนด์ของเราเอง เป็นงานที่เราถนัด
2.มีโอกาสสร้างรายได้ มากกว่า 100 000 บาทต่อเดือน ในอนาคต เพียงร้านเดียว หากได้พื้นที่ทำเลที่ดีย่านคนเยอะ อาหารเข้ากับควาต้องการของลูกค้า
3.ใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก ค่อยๆขยายตามฐานลูกค้าที่มากขึ้นก็ได้
4.แถวๆระแวกนั้นๆ ยังไม่มีอาหารสไตล์แนวนี้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นอะไรที่ยังใหม่ เป็นไปได้ว่า... จะขายดี กับ ขายได้ไม่ดีไปเลย
5.อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ซึ่ง คนจำเป้นต้องทานและต้องทานกันทุกวัน
ข้อเสีย
1.เป็นงานที่ต้องใช้คนหลายคน ไม่สามารถทำคนเดียวได้ ต้องทำงานกับคน บริหารคนหลายๆคน
2.ในช่วงระยะแรกๆ ยอดขายอาจจะไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการสร้างชื่อ ทำให้ลูกค้ารู้จัก
3.ร้านอาหารเป็นงานที่ต้องใส่ใจรายละเอียดเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นคัดสรรวัตถุดิบ รวมไปถึงรสชาด ตลอดจนการขาย บริการลูกค้า
4.เป็นงานที่เหนื่อยมากพอสมควรเพราะเราต้องใช้เวลาเพื่ออยู่งาน และต้องใช้เวลาเตรียมการเยอะ เพื่อให้บริการลูกค้าให้ได้ดีที่สุด
อุปสรรค
ในช่วงระยะเวลาแรกๆ 2-3 เดือน ยอดขายที่จะยังไม่ดีเท่าที่ควร คนยังไม่รู้จัก ต้องใช้เวลาสร้างฐานลูกค้าไป
ปล. ผมไม่เก่งเรื่องการเล่นหุ้นนะครับ พวกหุ้น เทรดทองนี่ไม่ถนัดเลย
************************************ จบแล้วนะครับสำหรับคำถาม ****************************************
มีเงินก้อนนึง จะเลือกทำธุรกิจนี้ดีไหมครับ ขอคำชี้แนะด้วยครับ
เพิ่มเติมนิดนึงนะครับ ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่า ธูรกิจตัวเลือกไหน ที่พอจะมีโอกาสสร้ายรายได้ 100 000 บาทต่อเดือน ในระยะเวลา 1 ปี
เริ่มเลยละกัน ...
1.ร้านรับฝาก
เปิดแถวๆมหาวิทบาลัย ผมคิดว่าทำร้านรับฝากก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจและด้วยทำเลแถวมหาวิทยาลัย จำนวนคนที่เยอะน่าจะได้เปรียบ โอกาสคนที่จะมาฝากของที่ร้านก็จะเยอะตาม
ข้อดี
1.ความเสี่ยงน้อยหว่าปล่อยเงินกู้ เพราะยังมีสินค้าค้ำประกัน
2.ดอกเบี้ยน้อยกว่าปล่อยเงินกู้ ร้านรับฝากส่วนใหญ่อยุ่ที่ร้อยละ 5-7 ต่อเดือน แต่ถ้ามองว่าเป็นการออมทรัพย์ มากวว่าการลงทุน ถือว่าดีกว่าการฝากเงินในธนาคาร
3.นอกจากดอกเบี้ยที่จะได้ต่อเดือนแล้วยังมีรายได้จากการขายต่อสินค้าที่หลุดฝากได้อีกด้วย
4.เป็นธุรกิจที่ใช้คนน้อย
5.เป็นงานที่ ลูกค้าต้องเป็นฝ่ายวอร์คอิน เข้ามาหาเรา
ข้อเสีย
1เป็นธุรกิจสีเทา จำเป็นต้องมีใบประกอบการการค้าของเก่า และกล้องวงจรปิด เพื่อป้องกันข้อหารับซื้อของโจร
2.ประสบการณ์ในการดูสินค้าของเรายังมีไม่มาก ทำให้ร้าน รับฝากสินค้าเพียงสินค้าหลักๆ เช่น กล้อง notebook game iPhone iPad Samsung จึงเกิดความหลากหลายน้อย และมีโอกาสที่จะตีสินค้าได้ไม่ดีเท่าที่ควร
3.ต้องสามารถกระจายสินค้าได้ กรณีของหลุดฝาก
อุบสรรค
1.เป็นไปได้สูงในช่วงระยะเวลา2-3 เดือนนั้น ยอดรับฝากอาจจะน้อย เนื่องจากยังใหม่และลูกค้ายังไม่ค่อยรู้จัก รายได้จึงยังไม่เกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นได้น้อยไม่ดีเท่าที่ควร
2.ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นหลักๆ ที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน คือ
- ค่าเช่าที่ ( เนื่องจากไม่มีพื้นที่ของตัวเอง ) สมมติ 10000 บาท
- ค่าน้ำ ค่าไฟ สมมติ 2000 บาท
กำไรที่คาดหวังขั้นต่ำต่อเดือน สมมติ 10000 - 15000 บาท ในที่นี้ส่วนนี้อาจจะหมายรวมเป็นค่าจ้างของตัวเอง
ถ้ายอดฝากคิดที่ร้อยละ 5 ต่อเดือน จำเป็นต้องมียอดฝากขั้นต่ำ 540 000 บาทขึ้นไป ถึงจะเพียงพอตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
แต่ถ้าไม่คิดกำไรที่คาดหวังไว้ คิดแค่ค่าใช้จ่ายเบื้องต้น ควรจะมียอดฝากอยู่ที่ 240 000 บาทต่อเดือน ขึ้นไป
ซึ่งในช่วงระยะเวลาแรกๆเป็นไปได้ยากที่ยอดฝากอาจจะไม่ถึงยอดขนาดนั้น
2.ร้านกาแฟ เบเกอรี่
พอดีมีรุ่นพี่ที่รู้จักกันเค้าจะเซ้งพื้นร้านกาแฟกับเบเกอรี่ ที่ในห้าง เนื่องจากตัวเค้าเองนั้น จะไปทำ 7 - eleven ของตัวเอง ร้านกาแฟของพี่เค้าก็เปิดมาได้เป็นสิบปีแล้ว มีฐานลูกค้า โดยรายได้เฉลี่ยส่วนใหญ่ หักค่าเช่าที่ 27 000 บาท แล้ว ก็เหลือๆ ประมาณ 60000 - 70000 ต่อเดือน ยอดคงที่ประมาณนี้ ร้านพี่เขาไม่มีลุกน้อง ใช้คนเพียงคนเดียวคือพี่เขา ถ้าเราจะเทคต่อ เขาจะเซ้งให้ 800 000 บาท ณ ตอนนี้ อยุ่ในช่วงดำเนินการกับเซเว่น ผมคิดว่ายังมีเวลาตัดสินใจ 2 เดือน อ้อ! เพิ่มเติมนิดนึงนะครับ เท่าที่ผมได้ลองไปสังเกตุดู 60% รายได้มาจากการขายเค้กชิ้น 40 % มาจากเครื่องดื่ม
ข้อดี
1.ไม่ต้องเริ่มศูนย์ เพราะร้านมีฐานลูกค้าอยุ่แล้ว
2.ใช้พนักงานน้อย เพียงคนเดียวก็ทำได้
ข้อเสีย
1.ถ้าเปลี่ยนมือคนขายไป จะมีปัญหาเกิดขึ้นไหม จะกระทบต่อยอดขายไหม เช่น กาแฟ ลูกค้าอาจกังวลว่ารสชาดจะเปลี่ยนถึงแม้ว่าเราจะไทำตามสูตรที่พี่เค้าบอกก็ตาม เป็นต้น
2.สัญญาที่ทำกับห้าง เราไม่มีข้อมูลอะไรเลย
3. ใช้ระยะเวลาขั้นต่ำ 1 ปี คืนทุนเลย
4.มีโอกาสที่เค้กจะเหลือ ขายไม่หมด
5.จะดีกว่าไหม ถ้าเราไปหาพื้นที่ สักสี่ที่ ลงทุนสักพิ้นที่ละสองแสน เป้าหมายรายได้ 30000 - 40000 บาท / เดือน / ร้าน เปิดน้ำจากสี่ก็อกน้อยๆ น่าจะดีกว่า เปิดก็อกเดียวแรงๆไหม ถ้าเลือกหลายก็อกต้องใช้เวลาตระเวนดูพื้นที่และเริ่มนับศูนย์ใหม่
อุปสรรค
ถ้าเลือกเปิดแบบหลายก็อก ซึ่งจำเป็นต้องใช้พนักงาน การบริหารคนถือเป็นอะไรที่ต้องใช้เรื่องของความเซนซิทิฟ และ เปิดหลายก็อกก็จะทำให้เราดูแลได้ไม่ถี่ถ้วนได้
3.ร้านอาหาร
ผมอยากเปิดร้านข้าวผัด กระเพาะปลา เนื่องจากเคยคลุกคลีอยู่กับร้านพอสมควร มีอยู่หลายสาขา ซึ่งก็ได้วิชาความรู้ ประสบการณ์มาพอสมควร ตอนนี้ก็ดูๆพื้นที่ไว้บ่าง มี 2 พื้นที่ ระหว่างพื้นที่เปิดติดถนนซึ่งอาจเปิดได้ 8.00 - 21.00 แต่ต้องเริ่มนับ 1 ใหม่เลย ลูกค้าอาจจะมาไม่เยอะทีเดียว อาจจะมีมาเรื่อยๆ และมีโอกาสเก็บฐานลูกค้าได้เยอะกว่า ในอนาคต กับพื้นที่ในกลุ่มโซนออฟฟิศ พื้นที่ปิด อาจขายได้ 8.00 - 15.00 น. ความหลากหลายทางการตลาดยังน้อยแต่ว่าก็จะได้ลูกค้าเพียงกลุ่มเดียวในระแวกนั้น ลูกค้าจะเยอะเพียงช่วงๆ เท่านั้น 11.00 - 13.00 น. ควรจะเลือกแบบไหนดี
ข้อดี
1.รสชาดอาหารที่ใช้ได้ และเป็นธุรกิจในแบรนด์ของเราเอง เป็นงานที่เราถนัด
2.มีโอกาสสร้างรายได้ มากกว่า 100 000 บาทต่อเดือน ในอนาคต เพียงร้านเดียว หากได้พื้นที่ทำเลที่ดีย่านคนเยอะ อาหารเข้ากับควาต้องการของลูกค้า
3.ใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก ค่อยๆขยายตามฐานลูกค้าที่มากขึ้นก็ได้
4.แถวๆระแวกนั้นๆ ยังไม่มีอาหารสไตล์แนวนี้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นอะไรที่ยังใหม่ เป็นไปได้ว่า... จะขายดี กับ ขายได้ไม่ดีไปเลย
5.อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ซึ่ง คนจำเป้นต้องทานและต้องทานกันทุกวัน
ข้อเสีย
1.เป็นงานที่ต้องใช้คนหลายคน ไม่สามารถทำคนเดียวได้ ต้องทำงานกับคน บริหารคนหลายๆคน
2.ในช่วงระยะแรกๆ ยอดขายอาจจะไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการสร้างชื่อ ทำให้ลูกค้ารู้จัก
3.ร้านอาหารเป็นงานที่ต้องใส่ใจรายละเอียดเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นคัดสรรวัตถุดิบ รวมไปถึงรสชาด ตลอดจนการขาย บริการลูกค้า
4.เป็นงานที่เหนื่อยมากพอสมควรเพราะเราต้องใช้เวลาเพื่ออยู่งาน และต้องใช้เวลาเตรียมการเยอะ เพื่อให้บริการลูกค้าให้ได้ดีที่สุด
อุปสรรค
ในช่วงระยะเวลาแรกๆ 2-3 เดือน ยอดขายที่จะยังไม่ดีเท่าที่ควร คนยังไม่รู้จัก ต้องใช้เวลาสร้างฐานลูกค้าไป
ปล. ผมไม่เก่งเรื่องการเล่นหุ้นนะครับ พวกหุ้น เทรดทองนี่ไม่ถนัดเลย
************************************ จบแล้วนะครับสำหรับคำถาม ****************************************