ว่าด้วยเรื่องการบวชใจ

กระทู้สนทนา
ก่อนอื่นขอกล่าวคำสวัสดีสมาชิกห้องศาสนาทุกท่านค่ะ
คิดอยู่นานว่าจะลงกระทู้นี้ดีหรือไม่ แต่ด้วยความตั้งใจจะปฏิบัติธรรมและต้องการที่ปรึกษา
เวลาที่มีปัญหา ต้องการคำแนะนำ จะได้ขอคำแนะนำจากท่านสมาชิกในนี้

ดิฉันเป็นผู้หนึ่งที่อดีตเป็นผู้มีกิเลสหนาครบถ้วน(ตอนนี้ก็ยังมีหลงเหลืออยู่) โดยนิสัยส่วนตัว
เป็นคนอวดดื้อถือดี เอาแต่ใจตัวเอง ชอบลองชอบรู้ และเมื่อนาน ๆ เข้าก็ถูกมารกิเลสครอบงำเต็มตัว
โดยการหลงผิดตกในการพนัน(ไพ่) จนทำให้หมดเนื้อหมดตัว แถมเป็นหนี้สินอีก จนทำให้เกิดทุกข์
นอนไม่หลับ ร้องไห้ทุกคืน คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรกับชีวิต ทำไมตัวเราถึงทำตัวตกต่ำเช่นนี้
เฝ้าคิดแต่โทษตัวเอง จนในที่สุด ก็คิดสั้นอยากฆ่าตัวตาย และคิดหาวิธีฆ่าตัวตายไว้เรียบร้อยแล้วด้วย
แต่เนื่องจากเรายังเป็นคนต้องมีการรักตัวกลัวตายอยู่แล้ว จึงไปหาในเน็ตถึงบาปของการฆ่าตัวตาย
พบว่ามีผู้เอามาลงให้อ่านหลายเวป เราก็อ่านไปเจอบทความหนึ่ง เขาบอกว่าคนฆ่าตัวตายจะรับชดใช้กรรมคือ
ต้องเกิดมาฆ่าตัวตายอีก 500 ชาติ ซึ่งตอนนั้นเราหน้ามืดสิ้นคิดไปเสียแล้ว ก็ไม่กลัวแล้วกับการตกนรก
เพราะเท่าที่เป็นอยู่ก็ทุกข์สาหัสมากเหมือนตกนรกอยู่แล้ว มันร้อนในอกไปหมด ไม่มีความสบายเลย แต่พอเลื่อนลงมา
เจอประโยคนี้ของพระุพุทธเจ้าซึ่งทรงตรัสกับภิกษุสาวกของท่าน (ข้อความในกรอบสีน้ำเงิน)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดิฉันถึงกับน้ำตาไหล ร้องไห้หน้าคอมฯอย่างไม่อายใคร แล้วก็คิดว่าทำไมตัวเราช่างโง่เขลาแบบนี้ เราคิดจะทำอะไร
ตอนนั้นเริ่มสำนึกได้แล้วว่าถ้าเราคิดสั้นลงไป คนข้างหลัง พ่อแม่น้อง จะเสียใจอย่างมาก เลยล้มเลิกความคิดนี้ไป
และก้มหน้าก้มตารับใช้เวรกรรมที่ก่อไว้ คือทนทุกข์ทรมานต่อไป และใช้หนี้ไปเรื่อย ๆ (เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ
เดือน พ.ย.2012) ดิฉันใ้ช้หนี้หมดเดือน ส.ค. 2013

เมื่อใช้หนี้สินหมด กลับตัวเป็นคนใหม่ จะไม่ข้องแวะกับอบายมุขอีกต่อไป ก็คิดว่าฟ้าเปิดสำหรับเราแล้ว
ต่อไปนี้คงมีแต่ความสุข สดใส คือจะเริ่มตั้งต้นทำตัวใหม่ เก็บเงินใหม่ (โชคดีที่ยังมีงานทำ) แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น
เรามีความอยากมีอยากได้อีกแล้ว อยากได้สร้อย อยากได้แหวน อยากได้โน่นได้นี่ มีความอยากไม่สิ้นสุด
แล้วก็พิจารณาว่ามันเกิดจากอะไร ทำไมเรายังไม่พ้นทุกข์สักที ก็เลยคิดจะควบคุมตนเองโดยหาศีล 8 มาครอบไว้
เมื่อศึกษาจากอินเตอร์เน็ตถึงวิธีรักษาศีล 8 ก็เลยทำให้อ่านต่อไปถึงวิธีการดับทุกข์ (เพิ่งรู้ว่ามีในโลก เพราะเมื่อก่อนไม่เคย
สนใจศาสนาเลย ศีลเคยทำผิดมาแล้วทุกข้อ) จากคนที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพระธรรมคำสอน ก็โดดมารักษาศีล 8 เลย
ครีมทาหน้า บำรุงผิวพรรณ ลิป แป้ง เครื่องประทับทั้งหลายที่ซื้อมาแสนแพง เรากวาดใส่ถุงทิ้งขยะทั้งหมดเลย
รวมถึงกางเกงขาสั้น เสื้อสายเดี่ยว ก็กวาดไปทิ้งหลายถุงเหมือนกัน
เพราะมีความตั้งใจจริง เพราะพระธรรมคำสอนขององค์พระศาสดาทำให้เราอยากบวช แต่เรายังมีหน้าที่ ภาระทางโลก
ต้องรับผิดชอบดูแลพ่อแม่อยู่ จึงไม่อาจทิ้งไปได้  (เราเริ่มปฏิบัติธรรมรักษาศีล 8 ตั้งแต่วันที่ 11/12/2013)

ด้วยความที่เรามีอวิชชามากมาย รักษาศีลวันแรกเราศีลขาด คือไปฆ่าตะขาบในห้องน้ำ เพราะเรากลัวมันมากและกลัวมันจะมากัด
ก็คิดแล้วว่ามันจะทำให้เราศีลขาดเพราะถือศีลอยู่ แต่ด้วยปัญญามีน้อยนิดจึงนึกหาทางออกไม่เจอ จึงได้ฆ่ามัน แล้วก็มานั่งคิดมาก
ว่าได้ทำผิดศีลข้อ 1 ไปแล้ว ทำอย่างไรดี เราก็ไปค้นหาคำตอบในเน็ตอีก ก็เจอคำตอบที่ทำให้อาการแย่ไปกว่าเดิมคือเขาบอกว่า
ถ้าศีลขาดข้อเดียวก็ถือว่าขาดหมดไปเลยนะ คือเราจะบาปมาก เราก็ยิ่งคิดมากไปอีก และก็อ่านไปเรื่อยๆ เจอคำตอบหนึ่ง
ที่อ่านแล้วมีกำลังใจขึ้น เขาบอกว่าพระท่านบอกไว้ว่าอย่าไปยึดติดกับอดีตมากนัก ที่ผ่านมาแล้วคืออดีต เคยทำผิดพลาดมา
ก็ถือว่าให้แล้วไป และอย่าวิตกกับอนาคตที่ยีงมาไม่ถึง ให้อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เขาบอกให้ต่อศีล แล้วก็เริ่มปฏิบัติใหม่
โดยใส่ความเพียรและความตั้งใจเข้าไปว่าจะไม่ทำผิดอีก เราก็รู้สึกสบายใจขึ้นและตั้งมั่นจะำไม่ทำผิดอีก ทุกวันนี้แม้แต่มดตัวเดียว
ที่เจอในห้องน้ำ เรายังไม่คิดจะฆ่าเลยค่ะ ก็ใช้กระดาษชิ้นเล็กๆมาตักมันออกไปปล่อยข้างนอก คือจะดูทุกซอกทุกมุมก่อนอาบน้ำว่า
มีแมลงหลงเหลืออยู่ไหม กลัวเราอาบน้ำแล้วสาดน้ำไปโดนมันจะตายเข้า

แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่งคือการสวดมนต์ มาคู่กับการนั่งสมาธิ คือเราไม่เคยทำมาก่อน แรก ๆ สวดมนต์ยาวเป็นชั่วโมง นั่งสมาธิอีก
เกือบชั่วโมง แล้วทีนี้ไปจำวิธีฝึกสมาธิแบบผิดๆมาอีก ทำให้เรามีอาการเกร็งทั้งตัว สั่นอย่างแรง (ก่อนหน้านี้ไปอ่านเรื่องฌาน)
ก็คิดว่าตัวเองได้ฌานอีก ทั้งๆที่ไม่ได้อยากมีอยากได้เลย แต่มันมีอาการแบบที่เขาเขียนไว้ในเน็ต ยังโชคดีที่เรามีน้องซึ่งบวช
เป็นพระมาสิบกว่าปี ก็เลยโทรไปปรึกษาพระน้อง ท่านบอกว่า "พี่เคร่งกับมันเกินไป การตั้งใจจริงเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าตึงเกินไปมักขาด
ถ้าหย่อนเกินไปก็ไม่ดี ควรยึดหลักเดินทางสายกลาง" เราก็คิดตาม ว่าคงเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เราคงจะเครียดมากเกินไป
จึงทำให้ร่างกายและจิตใจมันเครียดไปด้วย เลยเกิดอาการเหมือนจะชัก (ร่างกายและจิตปรับสภาพไม่ทัน) จากนั้นมาเราก็
ค่อย ๆ นั่งสมาธิวันละ 15-20 นาที คือไม่เข่นตัวเองมาก ทำเท่าที่เราทำได้เพราะอยู่ในช่วงฝึกใหม่อยู่

จึงอยากจะขอเตือนผู้ที่ฝึกนั่งสมาธิว่า ให้ระวังจิตของเราไว้ให้ดี เพราะมันหลอกหลอนตัวเองได้ทุกเมื่อ และเมื่อเวลานั่งสมาธิ
เกิดไปรู้ไปเห็นไปได้ยินอะไรเข้า พระน้องท่านบอกว่า ให้ภาวนาว่า "เห็นหนอ ไ้ด้ยินหนอ ได้กลิ่นหนอ" แค่นี้ก็พอ คือไม่ต้องหลงตามมันไป
ให้รับรู้อาการที่เราเจอก็พอ  มิเช่นนั้นจะเกิดโทษอย่างมหันต์เลยค่ะ เราจำความรู้สึกนั้นได้ดี ทุกวันนี้เราก็ยังอยู่ในช่วง
ซ่อมแซมจิตใจและร่างกาย คือฟื้นฟูให้กลับมาอยู่ในอาการสงบก่อน แล้วค่อยทำสมาธินานขึ้น

กิจวัตรประจำวันของเรา ตื่นเช้า 04.30 น.(ตั้งนาฬิกาปลุกไว้) บางทีก็ขี้เกียจลุก ก็บอกตัวเองว่าอย่าขี้เกียจ เพราะมันเป็นกิเลสอย่างนึง
ลุกมาล้างหน้า แล้วก็สวดมนต์ นั่งสมาธิ  แล้วก็ออกไปใส่บาตร ซื้อกับข้าวเข้ามากิน 06.30 น. ทานข้าวเช้า เสร็จก็ออกมารอรถ
เพื่อมาทำงาน และทานอาหารกลางวันตอน 11.20 น.  ตกเย็นเลิกงาน กลับถึงห้อง 16.30 น. ก็อาบน้ำ แล้วอ่านพระธรรม
(ศึกษาไปวันละนิดละหน่อย) แล้วก็พิจารณา คิดตามแล้วรู้สึกว่าสามารถนำมาใช้เข้ากับชีวิตประจำวันได้ดีเลยคือ
มรรคมีองค์ 8 , อริยสัจ 4, พรหมวิหาร 4,สติปัฎฐาน 4
หลังจากนั้น 20.00 น. ก็สวดมนต์ และนั่งสมาธิ จนถึง 3 ทุ่ม ถ้ายังไม่ง่วงก็จะหยิบพระธรรมมาอ่านต่อจนถึงสามทุ่มครึ่งก็จะนอนค่ะ

ด้วยอานิสงฆ์ของการสวดมนต์ และนั่งสมาธิ ทำให้เราใจเย็น พูดจาเพราะขึ้น (จากก่อนพูดห้วนไม่รักษาน้ำใจใคร) และที่สำคัญ
มีสติในการทำงานมากขึ้น ,ท่องบทสวดอิติปิโสเท่าอายุ+1 โดยไม่ต้องนับนิ้วแล้ว,และจากก่อนเคยเป็นคนจิตอ่อน ตกใจง่าย
ได้ยินเสียงอะไรนิดหน่อยก็สะดุ้งตกใจ ตอนนี้กลายเป็นไม่อ่อนไหวตกใจง่ายแล้ว และเราตั้งมั่นไว้ว่าเมื่ออายุ 55 ปี คือเกษียณจาก
การทำงานแล้ว คิดจะไปบวชเป็นแม่ชีอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่เมื่ออ่านเจอบทความนี้ของพระท่านหนึ่ง ก็รู้สึกว่า การบวชกายไม่สำคัญ
เท่าการบวชใจเลย ถ้าหากอยู่บ้านเราก็สามารถบวชได้ ขอเีพียงใจเราบวชแล้วเท่านั้น

http://www.buddhadasa.com/shortbook/homesika.html

เมื่ออ่านข้อความนี้ก็ได้รับรู้อย่างหนึ่งคือพระท่านคงเป็นห่วงเพราะผู้หญิงยังไงก็เป็นผู้หญิง ไปอยู่ที่ไหนอันตรายก็รอบด้าน
แล้วถ้ายิ่งไปบวชอยู่ในป่า อาจจะไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไรนัก แต่ดิฉันก็ยังไม่ถอนคำมั่น คิดว่าถ้าอยู่ถึงแก่ ก็จะคิดอีกทีว่าจะบวช
หรือว่าจะปฏิบัติธรรมในร่างฆราวาสเช่นนี้ต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่