เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนค่ะ ก็อยากจะขอแชร์ประสบการณ์ในการต่อสู้กับโรคซึมเศร้า และ โรคกลัวสังคม เพื่อเป็นกำลังใจและแนวทางให้กับผู้ที่ประสบชะตากรรมเดียวกัน จะพยายามเขียนให้สั้นๆ จะตัดเหตุการณ์บางอย่างออก เน้นแต่ส่วนหลักๆ จะได้ไม่เป็นภาระทางสายตาให้คนอ่านนะคะ และอีกข้อคือ ลอคอินนี้สมัครเพื่อกระทู้นี้ค่ะ เพราะไม่อยากใช้ลอคอินหลักเล่าเรื่องนี้ หากคนรู้จักผ่านมาก็เงียบๆไว้นะคะ
จุดเริ่มของความเจ็บป่วย
ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่า ฉันเริ่มป่วยเป็นซึมเศร้าตั้งแต่เมื่อไร แต่ถ้าให้คิด ก็น่าจะเริ่มตั้งแต่ช่วงม.3 เพราะช่วงนั้นผลการเรียนของฉันตกต่ำลงมาก จากเดิมที่เคยอยู่ที่ 3.8 - 3.9 ก็ลดฮวบลงมา และเริ่มขาดเรียนบ่อยขึ้น เข้าสายมากขึ้น คือ เข้าเรียนหลังผ่านคาบแรกไปแล้วเป็นประจำ แต่ด้วยความเป็นเด็กอาจารย์ ก็เลยถูกปล่อยผ่านตลอด ก็ยิ่งได้ใจ หลังๆเลยไม่เข้าเรียนมันซะเลย สาเหตุมาจากความรู้สึกเบื่อและรู้สึกไม่ชอบวิชาคณิตด้วย เพราะคิดว่า ยากเกิน แล้วช่วงนั้นก็มีปัญหากับเพื่อนในห้อง ด้วยความเป็นเด็กเรียน บ้านก็ไม่ได้มุ่งแฟชั่น เลยตามเพื่อนไม่ทัน ต้องไปหาซื้อหนังสือแนว J - pop มานั่งอ่าน บางทีก็ถูกเพื่อนทำเหมือนเป็นตัวตลก แต่ก็ได้แต่ฝืนยิ้มไป ชื่อดาราก็ไม่ค่อยรู้จัก เข้าห้องน้ำก็ต้องตามไปด้วย ไปกินข้าวก่อนเลยไม่ได้ ผิดธรรมเนียม และหากถ้าไม่ทำแบบนั้น ก็จะไม่มีเพื่อนเลย
ด้วยความเบื่อเพื่อนร่วมห้อง ก็หันมาสนิทกับเพื่อนในกองร้อยพิเศษมากขึ้น (ช่วง ม.ต้น จะทำกิจกรรมลูกเสืออยู่กองร้อยพิเศษ) จนเจอกับรุ่นพี่กลุ่มนึง คุยเฮฮา มีความสุข ก็คิดไปว่า นี่ล่ะ จุดที่เราไม่ต้องเสแสร้ง กลุ่มที่ยอมรับในความเป็นตัวเรา ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้เลยว่า ความวิบัติกำลังจะเกิดในอีกไม่นาน
หลังจากนั้นเราก็ขึ้น ม.ปลาย ยังอยู่โรงเรียนเดิมนะ เพื่อนร่วมชั้นเรียนก็เปลี่ยนไป เพื่อนเดิมก็มี เพื่อนใหม่ก็มี ด้วยความที่ห้องนี้ผู้หญิงน้อยค่ะ และส่วนมากเป็นเด็กเรียนด้วย ก็เลยเข้ากันไม่ยาก แต่....เราไม่ค่อยอยากเข้ากับใครเอง อาจเพราะกำลังติดกลุ่มรุ่นพี่อยู่ หลังเลิกเรียนก็ไปคอนโดพวกรุ่นพี่ประจำ แต่ก็ครองเนื้อครองตัวมาได้อย่างปาฏิหาริย์ เพราะใจเราคิดแค่ว่า เขาเป็นพี่ และเหมือนมีพี่ชายจริงๆ และเขาก็มีแฟนกันอยู่แล้ว เลยไม่คิดอะไร ช่วงนี้กลับบ้าน ตี 2 - 3 ประจำ กิจกรรมส่วนมากก็ ทำมาม่าทาน ร้องเพลงเล่นกีต้าร์ นั่งคุยเล่น เปิดเทปฟัง ส่วนตอนเช้าก็ไปเรียน 8.30 คือ ไปเรียนหลังเขาเคารพธงชาติกันเสร็จแล้ว ช่วงสายหน่อย มักไม่มีครูเฝ้ายามหน้าประตู เดินเข้าออกได้ไม่ยาก เข้าห้องเรียนสายตลอดค่ะ ทางบ้านก็รับรู้พฤติกรรมตลอด แต่ก็ไม่ได้ดุว่าหรืออะไร บางทีเราก็หยุดเรียนดื้อๆ เพียงเพราะเบื่อที่จะไป และก็ไม่อยากเจอหน้าเพื่อนร่วมชั้นด้วย แต่เราก็ไม่สนใจ คิดว่า ทางบ้านคงไม่ค่อยรักก็เลยไม่ตามไม่ใส่ใจ อยากทำไรก็ทำ
ภายหลังกลุ่มรุ่นพี่นี้ได้ก่อเรื่องบางอย่างขึ้น กลุ่มได้แตกออก และเราตัดสินใจเลิกติดต่อกัน ตอนนี้เริ่มเคว้ง กลุ่มเพื่อนเดียวที่เหลืออยู่คือ เพื่อนร่วมชั้น ซึ่งก็ไม่ได้สนิทกันเท่าไร เพราะส่วนหนึ่งคือ เราไม่ค่อยไปเรียนด้วย ยิ่งเจอหน้ายิ่งอึดอัด หลังๆเริ่มหายใจลำบาก บางทีเพื่อนก็แหย่ก็หยอกบ้าง เราก็ต้องตามน้ำไป เริ่มกลับไปเหมือนอารมณ์ตอน ม.3 ช่วงหลังเลยขาดเรียนหนักขึ้น จากเดิมโผล่ไปสาย หลังๆ โผล่ไปบ่ายเลยค่ะ และโผล่ไปแค่วันที่มีเรียนสำคัญ หรือ มีสอบเป็นหลักด้วย
สุดท้ายทนไม่ไหวจริงๆกับสิ่งที่เป็นอยู่ ไหนจะผิดหวังกับกลุ่มรุ่นพี่ ไหนจะไม่เข้าใจกับที่บ้าน แล้วปรับตัวเ้ข้ากับเพื่อนร่วมชั้นไม่ได้ ซึ่งเพื่อนไม่ใช่ไม่ดีนะ เขาช่วยเหลือ ช่วยทำการบ้านที่เราค้าง เริ่มมาห่วงใยมากขึ้น แต่มันเป็นความหวังดีที่ทำให้เรารู้สึกอึดอัดน่ะ ทำตัวไม่ถูก สุดท้ายก็เลยเลิกไปเรียน ทางบ้านก็ไปยื่นหนังสือลาออกให้ค่ะ วันนั้นจำได้ว่า อาจารย์ประจำชั้นก็โทรมาคุย อยากให้มาเรียนต่อ แต่เราไม่ไหว ไม่อยากไป
ซึ่งช่วงก่อนจะเลิกเรียนนี้ ทางโรงเรียนได้เชิญทางบ้านมาพูดคุยกัน ซึ่งโรงเรียนก็ใส่ไฟเยอะเลย หาว่าโดดเรียนเล่นเกมส์บ้างอะไรบ้าง เรื่องเล่นเกมส์น่ะจริง แต่เรื่องโดดเรียนไม่ใช่ค่ะ ทางบ้านเราก็แย้งกลับว่า เขาไม่ได้โดดเรียนไปเล่นเกมส์ วันไหนที่เขาไม่มาเรียน เขาก็อยู่ที่บ้าน อีกอย่างบ้านมีคอม (อยู่ในห้องนอนเรา) ส่วนอาจารย์ท่านอื่นที่รู้จักเรา ก็ถามเราเล่นยาบ้างไหม ก็ว่ากันไปนั่นล่ะนะ ลองคิดดูนะคะ ในช่วง 10 ปีก่อน โรคซึมเศร้า ไม่ได้เป็นที่รู้จักกันมากในสังคมเหมือนอย่างยุคสมัยนี้น่ะ
ก่อนจะออกจากโรงเรียน เราไปพบจิตแพทย์ที่เอกชนแห่งหนึ่งค่ะ ซึ่งหมอก็ระบุว่าเป็นซึมเศร้า ตรงนี้ความทรงจำเราลางๆ และมีสับสนบ้าง คุณหมอก็คุยกับทางบ้าน บอกว่า เขาให้เราเลือกแท่งสี ซึ่งเราเลือกแต่โทนมืดๆ และจากประวัติ เราไม่ได้โตกับพ่อแม่ โตมาโดยญาติเลี้ยงดู ซึ่งหมอก็ถามว่า เราโกรธญาติไหม เกลียดหรือเปล่า เราก็บอกเปล่า เรารักญาติมากๆ แต่เหมือนปมครอบครัวเรามีอยู่ตั้งแต่เด็ก ซึ่งญาติก็มาแทนพ่อแม่แท้ๆไม่ได้ แล้วพอยิ่งเข้าวัยรุ่น ก็ยิ่งไม่เข้าใจ ไม่ได้สื่อสารกัน ก็เลยทำให้เราออกแนวเก็บกด ไม่พอใจก็ชอบเงียบเอาไว้ จนถึงที่สุดก็ทนไม่ไหว ช่วงนี้ก็ได้ยามาทานเพียบเลยค่ะ แทบจะตื่นแล้วหลับ ยาบางตัวต้องอมใต้ลิ้น ใช้เวลาที่เราเกิดความเครียดมากๆอย่างกะทันหัน ก็ช่วยให้ไปโรงเรียนได้บ้างในระดับหนึ่ง แต่บางวันเราก็ให้ที่บ้านมารับกลับก่อนเที่ยงวันซะอีก
วันนั้นเมื่อฉันเป็นซึมเศร้า
จุดเริ่มของความเจ็บป่วย
ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่า ฉันเริ่มป่วยเป็นซึมเศร้าตั้งแต่เมื่อไร แต่ถ้าให้คิด ก็น่าจะเริ่มตั้งแต่ช่วงม.3 เพราะช่วงนั้นผลการเรียนของฉันตกต่ำลงมาก จากเดิมที่เคยอยู่ที่ 3.8 - 3.9 ก็ลดฮวบลงมา และเริ่มขาดเรียนบ่อยขึ้น เข้าสายมากขึ้น คือ เข้าเรียนหลังผ่านคาบแรกไปแล้วเป็นประจำ แต่ด้วยความเป็นเด็กอาจารย์ ก็เลยถูกปล่อยผ่านตลอด ก็ยิ่งได้ใจ หลังๆเลยไม่เข้าเรียนมันซะเลย สาเหตุมาจากความรู้สึกเบื่อและรู้สึกไม่ชอบวิชาคณิตด้วย เพราะคิดว่า ยากเกิน แล้วช่วงนั้นก็มีปัญหากับเพื่อนในห้อง ด้วยความเป็นเด็กเรียน บ้านก็ไม่ได้มุ่งแฟชั่น เลยตามเพื่อนไม่ทัน ต้องไปหาซื้อหนังสือแนว J - pop มานั่งอ่าน บางทีก็ถูกเพื่อนทำเหมือนเป็นตัวตลก แต่ก็ได้แต่ฝืนยิ้มไป ชื่อดาราก็ไม่ค่อยรู้จัก เข้าห้องน้ำก็ต้องตามไปด้วย ไปกินข้าวก่อนเลยไม่ได้ ผิดธรรมเนียม และหากถ้าไม่ทำแบบนั้น ก็จะไม่มีเพื่อนเลย
ด้วยความเบื่อเพื่อนร่วมห้อง ก็หันมาสนิทกับเพื่อนในกองร้อยพิเศษมากขึ้น (ช่วง ม.ต้น จะทำกิจกรรมลูกเสืออยู่กองร้อยพิเศษ) จนเจอกับรุ่นพี่กลุ่มนึง คุยเฮฮา มีความสุข ก็คิดไปว่า นี่ล่ะ จุดที่เราไม่ต้องเสแสร้ง กลุ่มที่ยอมรับในความเป็นตัวเรา ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้เลยว่า ความวิบัติกำลังจะเกิดในอีกไม่นาน
หลังจากนั้นเราก็ขึ้น ม.ปลาย ยังอยู่โรงเรียนเดิมนะ เพื่อนร่วมชั้นเรียนก็เปลี่ยนไป เพื่อนเดิมก็มี เพื่อนใหม่ก็มี ด้วยความที่ห้องนี้ผู้หญิงน้อยค่ะ และส่วนมากเป็นเด็กเรียนด้วย ก็เลยเข้ากันไม่ยาก แต่....เราไม่ค่อยอยากเข้ากับใครเอง อาจเพราะกำลังติดกลุ่มรุ่นพี่อยู่ หลังเลิกเรียนก็ไปคอนโดพวกรุ่นพี่ประจำ แต่ก็ครองเนื้อครองตัวมาได้อย่างปาฏิหาริย์ เพราะใจเราคิดแค่ว่า เขาเป็นพี่ และเหมือนมีพี่ชายจริงๆ และเขาก็มีแฟนกันอยู่แล้ว เลยไม่คิดอะไร ช่วงนี้กลับบ้าน ตี 2 - 3 ประจำ กิจกรรมส่วนมากก็ ทำมาม่าทาน ร้องเพลงเล่นกีต้าร์ นั่งคุยเล่น เปิดเทปฟัง ส่วนตอนเช้าก็ไปเรียน 8.30 คือ ไปเรียนหลังเขาเคารพธงชาติกันเสร็จแล้ว ช่วงสายหน่อย มักไม่มีครูเฝ้ายามหน้าประตู เดินเข้าออกได้ไม่ยาก เข้าห้องเรียนสายตลอดค่ะ ทางบ้านก็รับรู้พฤติกรรมตลอด แต่ก็ไม่ได้ดุว่าหรืออะไร บางทีเราก็หยุดเรียนดื้อๆ เพียงเพราะเบื่อที่จะไป และก็ไม่อยากเจอหน้าเพื่อนร่วมชั้นด้วย แต่เราก็ไม่สนใจ คิดว่า ทางบ้านคงไม่ค่อยรักก็เลยไม่ตามไม่ใส่ใจ อยากทำไรก็ทำ
ภายหลังกลุ่มรุ่นพี่นี้ได้ก่อเรื่องบางอย่างขึ้น กลุ่มได้แตกออก และเราตัดสินใจเลิกติดต่อกัน ตอนนี้เริ่มเคว้ง กลุ่มเพื่อนเดียวที่เหลืออยู่คือ เพื่อนร่วมชั้น ซึ่งก็ไม่ได้สนิทกันเท่าไร เพราะส่วนหนึ่งคือ เราไม่ค่อยไปเรียนด้วย ยิ่งเจอหน้ายิ่งอึดอัด หลังๆเริ่มหายใจลำบาก บางทีเพื่อนก็แหย่ก็หยอกบ้าง เราก็ต้องตามน้ำไป เริ่มกลับไปเหมือนอารมณ์ตอน ม.3 ช่วงหลังเลยขาดเรียนหนักขึ้น จากเดิมโผล่ไปสาย หลังๆ โผล่ไปบ่ายเลยค่ะ และโผล่ไปแค่วันที่มีเรียนสำคัญ หรือ มีสอบเป็นหลักด้วย
สุดท้ายทนไม่ไหวจริงๆกับสิ่งที่เป็นอยู่ ไหนจะผิดหวังกับกลุ่มรุ่นพี่ ไหนจะไม่เข้าใจกับที่บ้าน แล้วปรับตัวเ้ข้ากับเพื่อนร่วมชั้นไม่ได้ ซึ่งเพื่อนไม่ใช่ไม่ดีนะ เขาช่วยเหลือ ช่วยทำการบ้านที่เราค้าง เริ่มมาห่วงใยมากขึ้น แต่มันเป็นความหวังดีที่ทำให้เรารู้สึกอึดอัดน่ะ ทำตัวไม่ถูก สุดท้ายก็เลยเลิกไปเรียน ทางบ้านก็ไปยื่นหนังสือลาออกให้ค่ะ วันนั้นจำได้ว่า อาจารย์ประจำชั้นก็โทรมาคุย อยากให้มาเรียนต่อ แต่เราไม่ไหว ไม่อยากไป
ซึ่งช่วงก่อนจะเลิกเรียนนี้ ทางโรงเรียนได้เชิญทางบ้านมาพูดคุยกัน ซึ่งโรงเรียนก็ใส่ไฟเยอะเลย หาว่าโดดเรียนเล่นเกมส์บ้างอะไรบ้าง เรื่องเล่นเกมส์น่ะจริง แต่เรื่องโดดเรียนไม่ใช่ค่ะ ทางบ้านเราก็แย้งกลับว่า เขาไม่ได้โดดเรียนไปเล่นเกมส์ วันไหนที่เขาไม่มาเรียน เขาก็อยู่ที่บ้าน อีกอย่างบ้านมีคอม (อยู่ในห้องนอนเรา) ส่วนอาจารย์ท่านอื่นที่รู้จักเรา ก็ถามเราเล่นยาบ้างไหม ก็ว่ากันไปนั่นล่ะนะ ลองคิดดูนะคะ ในช่วง 10 ปีก่อน โรคซึมเศร้า ไม่ได้เป็นที่รู้จักกันมากในสังคมเหมือนอย่างยุคสมัยนี้น่ะ
ก่อนจะออกจากโรงเรียน เราไปพบจิตแพทย์ที่เอกชนแห่งหนึ่งค่ะ ซึ่งหมอก็ระบุว่าเป็นซึมเศร้า ตรงนี้ความทรงจำเราลางๆ และมีสับสนบ้าง คุณหมอก็คุยกับทางบ้าน บอกว่า เขาให้เราเลือกแท่งสี ซึ่งเราเลือกแต่โทนมืดๆ และจากประวัติ เราไม่ได้โตกับพ่อแม่ โตมาโดยญาติเลี้ยงดู ซึ่งหมอก็ถามว่า เราโกรธญาติไหม เกลียดหรือเปล่า เราก็บอกเปล่า เรารักญาติมากๆ แต่เหมือนปมครอบครัวเรามีอยู่ตั้งแต่เด็ก ซึ่งญาติก็มาแทนพ่อแม่แท้ๆไม่ได้ แล้วพอยิ่งเข้าวัยรุ่น ก็ยิ่งไม่เข้าใจ ไม่ได้สื่อสารกัน ก็เลยทำให้เราออกแนวเก็บกด ไม่พอใจก็ชอบเงียบเอาไว้ จนถึงที่สุดก็ทนไม่ไหว ช่วงนี้ก็ได้ยามาทานเพียบเลยค่ะ แทบจะตื่นแล้วหลับ ยาบางตัวต้องอมใต้ลิ้น ใช้เวลาที่เราเกิดความเครียดมากๆอย่างกะทันหัน ก็ช่วยให้ไปโรงเรียนได้บ้างในระดับหนึ่ง แต่บางวันเราก็ให้ที่บ้านมารับกลับก่อนเที่ยงวันซะอีก