สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
"ชัยพล ยิ้มไทร" กับ "จบปริญญามาทำนา"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จะกี่ศตวรรษ ชาวนาก็คือกระดูกสันหลังของชาติครับ
ร่างกายคน หากขาดกระดูกสันหลัง ก็อาจจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ เช่นกันกะ ชาติที่ไม่มีชาวนา ชาตินั้นก็จะอยู๋ไม่ได้ครับ
ผมมองอาชีพชาวนานั้นสูงเกียรติกว่าอาชีพดารา นักการเมือง หรือนักธุรกิจอีกครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จะกี่ศตวรรษ ชาวนาก็คือกระดูกสันหลังของชาติครับ
ร่างกายคน หากขาดกระดูกสันหลัง ก็อาจจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ เช่นกันกะ ชาติที่ไม่มีชาวนา ชาตินั้นก็จะอยู๋ไม่ได้ครับ
ผมมองอาชีพชาวนานั้นสูงเกียรติกว่าอาชีพดารา นักการเมือง หรือนักธุรกิจอีกครับ

ความคิดเห็นที่ 3
ชาวนาหรือเกษตรกรคือกระดึกสันหลังของชาติก็แค่วาทกรรมสร้างชาติสร้างความภูมิใจให้คนขยันผลิตอาหาร ไม่ให้คนกลุ่มนี้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเท่านั้นเองครับ
เพราะถ้าไม่ใช้วาทกรรมนี้ก็อาจจะหาคนทำเกษตรได้น้อยลง จะพูดว่าโดนหลอกให้ภูมิใจก็ว่าได้
เอคเข้าจริงในยุคปัจจุบันเราควรปฏิวัติวงการเกษตรได้แล้ว จับเข้าอุตสาหกรรมการเกษตรซะ ไอ้การทำไร่ทำนาแบบเก่าทำเท่าไหร่ก็ไม่รวยควรจะยกเลิกซักที
เพราะถ้าไม่ใช้วาทกรรมนี้ก็อาจจะหาคนทำเกษตรได้น้อยลง จะพูดว่าโดนหลอกให้ภูมิใจก็ว่าได้
เอคเข้าจริงในยุคปัจจุบันเราควรปฏิวัติวงการเกษตรได้แล้ว จับเข้าอุตสาหกรรมการเกษตรซะ ไอ้การทำไร่ทำนาแบบเก่าทำเท่าไหร่ก็ไม่รวยควรจะยกเลิกซักที
ความคิดเห็นที่ 5
มาเล่าให้เด็กรุ่นหลังให้ฟัง
คำว่า ชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ มาจากการที่รายได้จากการส่งออกข้าวค้ำจุนประเทศตอนที่เรากำลังเริ่มเกิดอุตสาหกรรมในประเทศทดแทนการนำเข้าเมื่อ 50-60 ปีก่อน รัฐเก็บภาษีส่งออกข้าวเรียกว่าพรีเมี่ยม มาเป็นรายได้ประเทศเป็นจำนวนมาก ผู้ส่งออกก็เลยไปกดราคาข้าวเปลือกเพราะต้องต่อสู้ในตลาดต่างประเทศ ขายแพงไม่ได้ มีคู่แข่ง เห็นไหมครับ ชาวนากระดูกสันหลังแทบหัก เพราะถูกกดราคาจากการเก็บภาษีส่งออกครับ
แต่เริ่ม 20 ปีมานี้ อุตสาหกรรมทดแทนเราดีขึ้น และเริ่มขยายตัวส่งออกได้เพิ่มมากขึ้น รัฐก็เลยเลิกเก็บภาษีส่งออกข้าว ทำให้ชาวนาอ้าปากได้ขึ้นนิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่ก็ยังรายได้น้อย เพราะต้องพึ่งน้ำฝนทำนาได้ครั้งเดียว ฤดูแล้งชาวนาอีสานมาทำงานในกรุงมากครับ ต่อมามีนักการเมืองหัวใสเริ่มจากพรรคความหวังใหม่ของ พลเอกชวลิตนี่แหละที่เริ่มเอาอีสานเป็นฐานการเมืองจนได้อำนาจเป็นรัฐบาล ก็เริ่มมีการรับจำนำข้าวในราคาสูงกว่าท้องตลาดครับ และการช่วยเหลือชาวนาก็มีต่อๆ มาในทุกรัฐบาลจะมากหรือน้อยแล้วแต่พรรค แต่มากที่สุดก็ยุคปัจจุบันนี่เองครับ แทบจะทำให้เงินหมดคลัง และเป็นหนี้ที่ต้องกู้ไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดจนกว่าประเทศจะเจ้งไปข้างหนึ่งเพราะทำอย่างไรก็ถมไม่พอในการสนับสนุนจำนำข้าวครับ เพราะขัดกับกลไกตลาดและมีการคอรับชั่นสูง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคไหนครับ
นี่บรรยายเรื่องวิชาการความเป็นมา ไม่มีการเมืองมาเกี่ยวข้อง ขอร้องพวก ควายแดง สลิ่มเหลือง เหลือบน้ำเงิน/เขียว อย่ามายุ่งกับเรื่องนี้ครับ
คำว่า ชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ มาจากการที่รายได้จากการส่งออกข้าวค้ำจุนประเทศตอนที่เรากำลังเริ่มเกิดอุตสาหกรรมในประเทศทดแทนการนำเข้าเมื่อ 50-60 ปีก่อน รัฐเก็บภาษีส่งออกข้าวเรียกว่าพรีเมี่ยม มาเป็นรายได้ประเทศเป็นจำนวนมาก ผู้ส่งออกก็เลยไปกดราคาข้าวเปลือกเพราะต้องต่อสู้ในตลาดต่างประเทศ ขายแพงไม่ได้ มีคู่แข่ง เห็นไหมครับ ชาวนากระดูกสันหลังแทบหัก เพราะถูกกดราคาจากการเก็บภาษีส่งออกครับ
แต่เริ่ม 20 ปีมานี้ อุตสาหกรรมทดแทนเราดีขึ้น และเริ่มขยายตัวส่งออกได้เพิ่มมากขึ้น รัฐก็เลยเลิกเก็บภาษีส่งออกข้าว ทำให้ชาวนาอ้าปากได้ขึ้นนิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่ก็ยังรายได้น้อย เพราะต้องพึ่งน้ำฝนทำนาได้ครั้งเดียว ฤดูแล้งชาวนาอีสานมาทำงานในกรุงมากครับ ต่อมามีนักการเมืองหัวใสเริ่มจากพรรคความหวังใหม่ของ พลเอกชวลิตนี่แหละที่เริ่มเอาอีสานเป็นฐานการเมืองจนได้อำนาจเป็นรัฐบาล ก็เริ่มมีการรับจำนำข้าวในราคาสูงกว่าท้องตลาดครับ และการช่วยเหลือชาวนาก็มีต่อๆ มาในทุกรัฐบาลจะมากหรือน้อยแล้วแต่พรรค แต่มากที่สุดก็ยุคปัจจุบันนี่เองครับ แทบจะทำให้เงินหมดคลัง และเป็นหนี้ที่ต้องกู้ไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดจนกว่าประเทศจะเจ้งไปข้างหนึ่งเพราะทำอย่างไรก็ถมไม่พอในการสนับสนุนจำนำข้าวครับ เพราะขัดกับกลไกตลาดและมีการคอรับชั่นสูง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคไหนครับ
นี่บรรยายเรื่องวิชาการความเป็นมา ไม่มีการเมืองมาเกี่ยวข้อง ขอร้องพวก ควายแดง สลิ่มเหลือง เหลือบน้ำเงิน/เขียว อย่ามายุ่งกับเรื่องนี้ครับ
แสดงความคิดเห็น
ตอนเด็กๆเรียนมาว่า "ชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ" ปัจจุบันยังเป็นตามนี้อยู่ไหมครับ