เรียนทันตแพทย์ไม่จบ ทำอะไรต่อไปดีคะ

ขอบคุณทุก ๆ คำแนะนำ ทุก ๆ ความเห็นมากนะคะ
ตอนนี้คงต้องเริ่มด้วยการให้กำลังใจตัวเอง เปลี่ยนทัศนคติ มองโลกให้สดใสขึ้น
หลังจากนั้นไอเดียใหม่ ๆ ความคิดดี ๆ คงจะตามมา
รวมกับหาข้อมูลอาชีพต่าง ๆ ว่าเค้าทำอะไรยังไงกันบ้าง (เพราะตอนนี้รู้จักอาชีพน้อยมาก)
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ ขอบคุณมาก ๆ
--------------------------------------------------------------------
บางคนถามว่าไม่ชอบทำคนไข้คืออาการยังไง
เราสังเกตตัวเองจากช่วงปี 4 ที่เริ่มทำคนไข้
พอถึงเวลารับคนไข้ เราจะขอรับเป็นคนสุดท้ายเสมอ
คือถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ / ไม่มีคนอื่นว่างทำแล้ว เราก็จะไม่ทำ
เราจะเก็บเคสแค่พอดีกับ minimum requirement เท่านั้น ไม่เกินไปกว่านี้
พอถึงคลินิกถอนฟัน ช่วงที่จ่ายคนไข้เราก็จะไปแอบ หลังห้องบ้าง ห้องน้ำบ้าง จนได้ว่างไม่ต้องทำคนไข้ไปตลอดทั้งคาบ
คืนไหนรู้ว่าพรุ่งนี้เช้าต้องทำคนไข้ก็จะนอนไม่หลับ หรือไม่ก็ตื่นเช้าโทรมาไปเลื่อนนัดคนไข้อ้างว่าป่วย
เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ปี 4 ทรมานมาก ๆ
นอกจากนี้ยังกลัวการฉีดยา กลัวทำคนไข้เสียชีวิต หมดความมั่นใจ
เลยคิดว่าขืนทำต่อไปก็เป็นบาปต่อคนไข้และตัวเอง
-------------------------------------------------------------------
เริ่มด้วยเราเป็นรุ่นเอนท์ทรานซ์รุ่นสุดท้าย คะแนนเยอะไปนิดหนึ่งเลยโดนบังคับให้เลือกเรียนทันตแพทย์แล้วก็ดันติด
1-3 ปีแรกก็เป็นการเรียนวิทยาศาสตร์ lecture ทั่ว ๆ ไป เกรดค่อนข้างแย่ เรียนแทบไม่รู้เรื่อง
พอขึ้นปี 4 ก็เริ่มทำคนไข้จริงจัง รู้ตัวเองเลยว่าไม่ชอบทำคนไข้เลย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่กล้าบอกที่บ้าน + ที่บ้านไม่เคยถาม
ทู่ซี้เรียนมาเรื่อยจนจบปี 5 เริ่มติด F
ปี 6 เรียน lecture ทำวิจัย ทำงานภาคสนาม ได้ค่อนข้างดี + ชอบงานวิจัยนิด ๆ แต่ก็ยังทำคนไข้ไปไม่รอด
[เิพิ่มเติมนิดค่ะ ชอบถึงขนาดที่ว่า เข้าใจและนำเสนองานวิจัยเป็นภาษาอังกฤษได้ที่ 2 ของประเทศ ,, เป็นความภูมิใจเดียวขณะที่เรียนคณะนี้]
สรุปผลการเรียนทันตแพทย์แล้วคือสำเร็จทุกอย่างยกเว้นการทำคนไข้ + ได้โรคซึมเศร้าแถมติดกลับมา

จนตอนนี้ล่วงเลยมาจนครบปีที่ 10 แล้ว ไม่ได้เก็บวิชาทำคนไข้ได้เพิ่มขึ้นเลยซักตัวเดียว เลยพักการเรียนกลับมาบ้าน
ทำงานประจำเป็นธุรการได้เงินเดือนเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เกือบ 3 เดือน
ล่าสุดโดนทางบ้านทวงถามว่าจะทำอะไรต่อ ผ่านมา 3 เดือนแล้วควรจะได้คำตอบได้แล้วว่าชอบอะไร อยากทำอะไร
มืดแปดด้านเลยค่ะ ทั้งชีวิตคลุกคลีอยู่กับแค่ทันตแพทย์
ไม่รู้จะเริ่มหาหนทางจากตรงไหน
ล่าสุดตอบส่ง ๆ ไปว่าเรียน MBA การเงิน แต่ก็ไม่ได้แ่น่ใจว่าอยากเรียนจริงรึเปล่า
แค่คิดว่าชีวิตนี้ไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่อยากเป็นสาวออฟฟิศ มนุษย์เงินเดือน ไปเช้าเย็นกลับ

มืดมาก ๆ ค่ะ มีคำแนะนำอะไรไหมคะ เริ่มจากวิธีเริ่มต้นค้นหาว่าตัวเองชอบอะไร ควรทำอะไร ควรให้เวลาตัวเองในการค้นหาคำตอบนานแค่ไหน

พิมพ์ไปก็น้ำตาไหลไป บางคนอาจจะเห็นว่าเป็นกระทู้ระบาย ขอโทษด้วยนะคะ ไม่เคยปรึกษาอะไรใครผ่านทางนี้เลย



เพิ่มเติม :: เก็บวิชาที่จะได้วุฒิ วทบ หมดแล้วค่ะ
พบจิตแพทย์ + ทานยาต้านเศร้าได้เกือบปีค่ะ อารมณ์นิ่งขึ้นแต่ไม่ร่าเริงเหมือนเดิมแล้ว

ขอบคุณทุก ๆ ความเห็นมาก จะนำไปปฏิบัติจ้า
แต่เรื่องกลับไปเรียนทันตะอีกคงไม่แล้วล่ะค่ะ >,,< (แต่บางอารมณ์ก็ลังเลเหมือนกันนะ คิดว่าจบแล้วน่าจะสบายแน่ ๆ)
แก้ไขข้อความเมื่อ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 60
อ่านชีวิต  จขกท  แล้ว  เหมือนกับเคสล่าสุดปีที่แล้วนี่เอง  ที่ผมได้ช่วยให้คำแนะนำเด็กคนหนึ่ง
เคสที่เกิดขึ้นเหมือน  จขกท  มาก  อายุน่าจะเท่ากัน  คือ  29

เรื่องมีดังนี้
น้องคนนี้เป็นคนเรียนเก่ง  เรียนวิศว  พระจอม  แต่ปัญหาค่อนข้างเป็นคนไม่ชอบคุยกับคนอื่น
ขี้อาย  เพื่อนน้อย  เก็บตัว  ไม่ค่อยมั่นใจ

จนกระทั้งปี  4  เรียนต้องจับกลุ่มทำโปรเจค  ปรากฎว่า  มีปัญหากับเพื่อน  ก็เลยไม่ทำกับเพื่อน
แล้วก็เลยไม่จบตามเพื่อนในกลุ่มในรุ่นเดียวกัน  เลยรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง  ทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้
ดรอปรักษาสภาพนักศึกษา  ออกมาอยู่บ้านเฉยๆ  กินๆ  นอนๆ  เล่นเกม  เล่นเน็ต

แล้วก็เก็บตัว  ช่วงเป็นหนักมากๆ  เป็นโรคซึมเศร้า  นอนไม่หลับ
บางทีนอนลืมตาเฉยไม่หลับยันเช้า  หรือตื่น  แต่อยู่นิ่งๆ  ไม่ขยับเป็นชั่วโมงๆ  
เก็บตัวเลี่ยงการพบปะญาติ  หรือคนอื่น  

จนกระทั้งพ่อ  แม่  ก็ถามว่าจะเอายังไง  เพราะถ้าปีนี้ไม่ทำโปรเจค  ก็ไม่จบแล้วต้อง
ออกแล้ว(หลักสูตร 4  ปี  เรียนได้ 8 ปี)  และน้องมีโอกาศในปีนั้นเป็นปีสุดท้าย
ระหว่าง  ปี 4 -  ปี8  ก็ไปทำงานก๊อกๆแก๊กๆ  แบบไม่รู้จะทำอะไร  เหมือน จขกท

พ่อแม่  พามาหาผม  ผมบอกเค้า   ให้ออกไปทำอย่างอื่น   เดินห้าง  วิ่งออกกำลังกาย
ไม่ให้เค้าใช้ชีวิตเดิมๆ  ไม่ให้เก็บตัว  กระตุ้นเค้า  ปรับทัศน์คติ  ให้เห็นคุณค่าของการเรียน  
อย่างน้อยต้องจบป.ตรี  กลับไปทำโปรเจคให้ได้  จนกระทั้งทำโปรเจคและเรียนจบ  

ปัญหาที่เกิดขึ้นมากกับคนที่เรียนจะจบแล้วไม่จบ  เพราะมีเหตุจะมีอาการคล้ายกัน
แก้ได้จนเรียนจบ  แต่ก็จะเจออีกปัญหาหนึ่ง  คือ  

พอไปสมัครงาน  ไม่มีที่ไหนเอา  เพราะ  อายุ  27  เรียน  ปตรี 8 ปี(เต็มเหนี่ยวเลย)
ไม่มีประสพการณ์ทำงาน  ไม่มีบริษัทไหนรับทำงาน
(เป็นผม  ผมอ่านใบสมัคร  ผมก็กลัวที่จะรับเข้าทำงาน  เรียนตรี   8 ปี  อายุ  27  มันต้องมีอะไรที่ผิดปกติแน่ๆ)

ผลสุดท้าย  สังคมแห่งการคัดสรรก็ไม่ให้โอกาศเขา
พ่อแม่  จึงพามาหาผมอีกรอบ  ผมเลยถามว่า  ชอบงานขายไหม
เพราะส่วนมาก  งานขาย  เซลล์ไม่ค่อยเรื่องมาก(แต่เค้าบอกเค้าไม่ชอบ)

เลยต้องมาปรับทัศนคติให้เค้าชอบแล้วรู้สึกดีกับงานขายอีกรอบ
คราวนี้สมัครแต่งานขายเลยก็ได้  ตอนนี้ทำงานเกือบ  2  ปีแล้ว
เงินเดือน  30,000  รวมค่าคอมอีก  3-40,000  เดือน  เดือนๆหนึ่ง 6-70,000  บาท

บางครั้งคุณต้องหาตัวช่วย  คนให้คำปรึกษา
การตกสู่สภาวะนั้น  เหมือนรถติดหล่ม  รถติดหล่มเท่าที่ผมเห็น
แทบจะร้อยทั้งร้อย  ขึ้นจากหล่มด้วยตัวเองไม่ได้
ต้องหารถมาดึง  เอาคนมาช่วยดัน

มันขาดคนชี้แนะ  มันขาดคนกระตุ้น  จะฮึดสู้ที่ไรกำลังใจก็หมดง่าย

คุณลองหาคนที่คิดว่าให้คำแนะนำดีๆ  แล้วคุณจะผ่านช่วงชีวิตที่เลวร้ายนี้ไปได้
ความคิดเห็นที่ 65
มีบางอย่างที่ตรงกับจขกท.ค่ะ  คิดว่าเข้าใจความรู้สึกเจ้าของกระทู้ในระดับหนึ่ง ยาวหน่อย เเต่อยากให้อ่านให้จบนะคะ ^^

เราเป็นเอนทรานซ์รุ่นสุดท้ายเหมือนกัน (งั้นเราคงอายุเท่ากันเน๊อะ ^^)
สอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐมีชื่อเเละเลือกเรียนคณะเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพที่ในหลักสูตรมากกว่าสี่ปี (คล้ายกันอีกเเล้ว ^^)
เพราะคิดว่าช่วงเวลาที่ยากลําบากที่สุดคือการสอบเข้ามหาวิทยาลัย พอเข้ามามหาวิทยาลัยได้จึงคิดว่าเรียนสบายๆก็น่าจะได้
ปรากฏว่าขึ้นปีสอง วิชาที่ต้องเรียนเป็นวิชาตรงสายทั้งหมดซึ่งหนักมากกกกกกกกกก เราสบายๆ ผลคือหลายวิชาเป็นคะเเนนต่ำสุดของรุ่น
ในความรู้สึกตอนนั้นคือ 'นี่เรากําลังฝันอยู่รึเปล่า ชีวิตเราแย่ได้ขนาดนี้เลยหรอ' เเล้วพอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเเย่  ชีวิตก็เเย่ขึ้นเรื่อยๆค่ะ
การสอบต่อๆมาในทุกวิชา เพราะคิดว่าต้องนทำคะเเนนว่าเพิ่มในครั้งที่เสียไป กดดันตัวเอง กลายเป็นเเย่ยิ่งกว่าเดิมเเละเเย่ทุกวิชา
ทีนี้รู้สึกเหมือนคนป่วยทางจิตเลยค่ะ รู้สึกว่าชีวิตไร้ค่า เเย่ถึงขนาดไม่อยากมามหาลัย ไม่เข้าใจว่าทุกคนหัวเราะเเละยิ้มได้อย่างไร
กลายเป็นคนไม่หัวเราะเเละยิ้ม เพื่อนๆเป็นห่วง เวลาเพื่อนเก่าเจอก็ถามว่าป่วยรึเปล่า เพราะสภาพดูเเย่มาก
ในที่สุดเราก็ตัดสินใจ 'ดรอปเรียน' เราเป็นคนเเรกของรุ่นที่ดรอป เพราะเราอยากขอโอกาสให้ตัวเองใหม่อีกครั้ง
เหมือนชีวิตจะดีขึ้น สุขภาพดีขึ้น เริ่มกลับมายิ้มเเละหัวเราะได้ เเต่ผลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทําให้เรากลายเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองสุดๆ
การเรียนเกรดเเย่มาก เเต่ก็คิดว่าเอาให้จบพอ เพราะเราเลือกคณะนี้มาเป็นที่หนึ่ง
ถึงเเม้จะรู้ว่าตัวเองคงไม่เก่งมากเมื่อเทียบกับเพื่อน เเต่ก็ยังอยากจบจากคณะนี้
เเล้วมาวันหนึ่ง เราก็สอบติด F ในวิชาหนึ่ง ซึ่งทั้งรุ่นมีคนติดไม่ถึง 10 คนด้วยซ้ำ
ความรู้สึกตอนนั้นก็คือ นี่ชีวิตมันเเย่ได้ขนาดนี้จริงๆหรอ ต้องตกรุ่นอีกรอบหรอ
เเต่โชคดีที่อาจารย์ให้โอกาส ให้เรียน summer คนที่ติดเอฟจึงเรียนใหม่เเละสอบใหม่ สามารถเลื่อนชั้นต่อไปได้
เราเรียนจบมาด้วยความรู้สึกที่ว่า 'เราไม่ได้เรื่องเเละไม่มีเป้าหมายในชีวิต คงไม่ดีเหมือนคนอื่นเขา' คือเอาจริงๆรู้สึกเหมือนหายใจทิ้งไปวันๆ
เเต่ตอนนี้เราได้ค้นพบอะไรบางอย่างหลังจากที่เราจบมา


"ถ้าเราไม่มีเป้าหมาย เราต้องทําตัวเองให้มีเป้าหมาย"

"ถ้าเราไม่มีคุณค่า เราต้องทําตัวเองให้มีคุณค่า"



เราพยายามสร้างคุณค่าให้ตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าจขกท.รู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถด้านการสอนเด็ก
จขกท.ก็ลองหาเวลาว่างๆไปทํากิจกรรมกับเด็กดู อย่างเช่น ไปร่วมกิจกรรมสอนหนังสือเด็กที่ด้อยโอกาส เป็นต้น
เพราะการที่เรารู้สึกว่าเรามีคุณค่าเเละทําประโยชน์ได้ จะทําให้จขกท.รู้สึกดีขึ้น มันเป็นสิ่งที่รู้สึกดีทั้งผู้ให้เเละผู้รับ
หรือถ้าจขกท.รู้สึกตัวเองไม่มีเป้าหมายก็อยากให้จขกท.เขียนเป้าหมายในชีวิตใส่กระดาษเเล้วแปะที่ฝาผนังดู เขียนหลายๆข้อเลย (เราทําอยู่^^)
ยกตัวอย่างเช่น สักวันจขกท.จะมีบ้านน่ารักๆตอนอายุ 60 ปี เป็นต้น อันนี้ก็เเล้วเเต่เป้าหมายเเละความฝันของจขกท.
ทุกๆวันเวลาที่จขกท.มองกระดาษแผ่นนี้ข้างฝาบ้าน มันจะทําให้จขกท.มีเเรงใจในการใช้ชีวิตประจําวัน อันนี้เราลองมาเเล้ว


เพราะเราเป็นเพื่อนอายุเท่ากันเเละผ่านเหตุการณ์คล้ายๆกันมา
ทุกอย่างมันจะผ่านไปค่ะ เเล้วเวลาที่จขกท.นึกย้อนอดีตที่ผ่านมา จขกท.จะรู้สึกว่า 'เราเก่งเเละอดทนมากๆที่ผ่านมันมาได้'
ดังนั้นต่อให้มีปัญหาอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ เราก็เชื่อว่าจขกท.จะผ่านมันไปได้ เป็นกําลังใจให้จขกท.นะคะหัวใจ
ความคิดเห็นที่ 1
ก่อนจะไปค้นหาตัวเอง พักก่อนดีไหมครับ
เหนื่อยมามากเลยนะครับแบบนี้
ให้เวลากับตัวเองสักหน่อย แค่สักครึ่งปีก็ได้ ลองพูดกับพ่อแม่ดูครับ
จะไปเที่ยว พักผ่อน หรืออยู่กับครอบครัว
ขอให้ตัวเองได้พักผ่อนหน่อย ให้ร่างกายโล่งก่อน
ค่อยคิดใหม่ว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่
ต้องมาเริ่มอะไรใหม่ๆ ทั้งที่ตัวเองยังเหนื่อยกับอะไรเก่าๆอยู่ ไม่น่าเวิร์คหลอกครับ
อยู่กับตัวเองนี่แหล่ะครับ เดี๋ยวก็รู้ว่าเราชอบอะไรกันแน่ สู้ๆนะคับ
ความคิดเห็นที่ 24
เราสอบสอบแอดมิชชั่นรุ่นแรก น่าจะเป็นรุ่นน้อง ขอเรียกพี่นะคะ
ตลอดที่เรียนมา 6 ปี ได้ยินข่าวมีรุ่นพี่ลาออกตอนปี4 ไปเพื่อทำตามสิ่งที่ชอบค่ะ ตอนนี้เค้าเป็นนักบิน และเป็นได้ดีด้วย เพราะเป็นสิ่งที่เค้ารักจริงๆ
รุ่นน้องอีกคน จบปีสี่ ทำวิจัย ได้ วทบ ไปต่อโทสาขาที่ชอบ ดูนางมีความสุขดีค่ะ

ที่พูดถึงไม่ใช่ว่าอยากให้พี่ออกจากวังวนนี้นะคะ เพื่อนหนูก็เป็นซึมเศร้าและมีช่วงเวลาที่ยากแสนเข็นเหมือนกัน
คนสุดท้ายที่จบของรุ่นหนู จบช้ากว่าเพื่อน แต่เค้าก็ผ่านมาได้อย่างภาคภูมิ อยู่ที่ใจล้วนๆค่ะ

ถึงตอนนี้ อยากให้พี่ลองคิดดูว่าสิ่งที่พี่ต้องการจริงๆคืออะไร เราเลือกได้ค่ะ ถ้าจะไปต่อก็อยู่ที่ใจเราล้วนๆเลย อีกนิดเดียวเอง
แต่ถ้าทางนี้มันไม่ใช่ที่เราชอบจริงๆ ก็ยังไม่สายที่จะกลับรถและไปต่อในทางที่อยากไป
สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้จริงๆ
ความคิดเห็นที่ 19
ถ้าเหลือวิชาเรียนไม่มาก พยายามเรียนให้จบ ได้วุฒิก่อนนะคะ  จบแล้วค่อยไปทำงานอย่างอื่น หรือทำในสายงานวิจัยแทน
เวลาในชีวิตยังมีอีกมากค่ะ จะเรียนใบที่ 2 ที่ 3 หรือต่อโท MBA อะไรก็ว่าไป (น้องเราก็จบสายแพทย์ แล้วต่อโท MBA เปลี่ยนไปทำธุรกิจซะงั้น ไม่แปลกค่ะ)
ถ้าอยากเริ่มเรียนใหม่ ก็ค่อยเอาวุฒิที่จบมาไปเทียบโอนลงรามคำแหง แป๊บๆไม่นานก็จบค่ะ วันนี้คุณอาจจะคิดว่ามันหนักหนา แต่วันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไป คุณมาเจอโลกกว้างจริงๆ คุณจะรู้สึกขอบคุณตัวเองที่ผ่านมันมาได้

แต่ถ้าทิ้งทุกอย่างไปเลยตอนนี้ คุณอาจจะต้องเหนื่อยกับการตอบคำถามคนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งตอบคำถามตัวเองยังยากเลยค่ะ
เวลาที่เสียไป ยังไม่เท่ากับ กำลังใจที่เสียไปด้วยนะคะ

อย่างไรก็ตาม ถ้าคิดว่ามันไม่ไหวจริงๆ และอยากเลือกจะเดินออกมาเลยตอนนี้ ก็ขอให้เดินอย่างเข้มแข็งนะคะ อย่างน้อยการที่คุณกล้าตัดสินใจเอง ก็นับเป็นการเติบโตอย่างหนึ่ง อย่ามองว่าเป็นความล้มเหลว ขอให้เชื่อมั่นและศรัทธาตัวเอง และผ่านทุกสิ่งทุกอย่างไปได้ด้วยตัวคุณเอง
ส่วนปัญหาอุปสรรคที่ต้องเจอ ก็อย่าได้เสียกำลังใจ ให้รู้แค่ว่า ตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปนะ ^^ จะอีก 3-4 ปี มันก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ชีวิตยังมีช่วงเวลาที่ต้องเหนื่อยอีกเยอะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่