สิ่งพื้นฐานของวัตถุก็มีเพียงธาตุ ๔ คือ ดิน (ของแข็ง) น้ำ (ของเหลว) ไฟ (ความร้อน) และลม (อากาศ) โดยสิ่งพื้นฐานทั้ง ๔ นี้เองที่ได้ปรุงแต่งหรือสร้างสรรค์ให้เกิดวัตถุและพลังงานทั้งหลายที่แตกต่างกันขึ้นมาในโลก ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต
ส่วนชีวิตนั้นจะอาศัยวัตถุชนิดพิเศษ (คือร่างกายของพืช สัตว์ คน) ที่ยังเป็นๆอยู่นี้มาปรุงแต่งให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณธาตุ คือธาตุแห่งการรับรู้ขึ้นมาได้อีกทีหนึ่ง เมื่อร่างกายของพืช สัตว์ และคนนี้เกิดขึ้นมา มันก็จะกลายเป็นวัตถุที่มีความสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ (ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) ได้ และรู้สึก (คือรู้สึกสุข หรือ ทุกข์ หรือ ไม่สุขไม่ทุกข์) ต่อสิ่งที่รับรู้ทั้งหลายได้ ซึ่งทุกชีวิตที่เกิดขึ้นมานี้เดิมที่เดียวจะมีเพียงเท่านี้ คือแค่รับรู้และรู้สึกได้เท่านั้น จะยังไม่มีความทรงจำและการคิดนึกปรุงแต่งใดๆ (เช่นเด็กที่เพิ่งเกิดมาใหม่ๆจะยังไม่มีความทรงจำใดๆจึงยังคิดนึกปรุงแต่งไม่ได้) ซึ่งนี่ก็แสดงถึงว่า ชีวิตของทุกชีวิตเดิมจะมีลักษณะเหมือนกัน หรือเท่ากับว่าเป็นการแยกหรือคัดลอกจากชีวิตแรกมาอีกที แต่ว่าเมื่อชีวิตทั้งหลายได้รับการรับรู้สิ่งต่างๆ (ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ที่แตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม จึงได้เกิดความทรงจำที่แตกต่างกันไป แล้วความทรงจำที่แตกต่างกันนี้เอง ที่ทำให้เกิดการคิดนึกปรุงแต่งที่แตกต่างกันไป จนเกิดความรู้สึกว่ามีตนเองที่แตกต่างกันขึ้นมาในภายหลัง
สรุปได้ว่า ธรรมชาติได้สร้างวัตถุทั้งหลายขึ้นมาพร้อมกับจิตของสิ่งที่มีชีวิต ซึ่งพื้นฐานของวัตถุทั้งหลาย ก็เป็นแค่ธาตุ ๔ ที่เหมือนกันหมด แต่เมื่อมีการปรุงแต่งที่แตกต่างกัน จึงทำให้เกิดวัตถุที่แตกต่างกันขึ้นมามากมายในโลก ส่วนจิตทุกจิตนั้นโดยพื้นฐานแล้วก็เป็นแค่ ธาตุรู้ (การรับรู้) เหมือนกันหมด เมื่อรับรู้แล้วก็จะเกิดความรู้สึกเหมือนกันหมด จึงเท่ากับว่าทุกชีวิตโดยพื้นฐานดั้งเดิมก็คือเป็นคนๆเดียวกัน แต่ว่ามาแตกต่างกันในภายหลังเท่านั้น ซึ่งเมื่อเราเข้าใจเช่นนี้แล้วเราก็จะรักทุกชีวิตเหมือนกับว่าเรารักตัวเราเอง เพราะทุกชีวิตก็เป็นชีวิตเหมือนกับชีวิตเรา เมื่อเรารับรู้อย่างไร รู้สึกอย่างไร คนอื่นเขาก็รับรู้และรู้สึกได้เหมือนกับเรา เมื่อเรารักคนอื่น ให้อภัย ช่วยเหลือคนอื่น เท่านี้เราก็จะเป็นสุข และถ้ามนุษย์จะมีความเข้าใจเช่นนี้มากๆ โลกก็จะมีสันติภาพได้เอง
ธรรมชาติปรุงแต่ง (สร้างสรรค์) ชีวิตมาเพียงชีวิตเดียว แล้วคัดลอกมาเป็นชีวิตมากมาย
ส่วนชีวิตนั้นจะอาศัยวัตถุชนิดพิเศษ (คือร่างกายของพืช สัตว์ คน) ที่ยังเป็นๆอยู่นี้มาปรุงแต่งให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณธาตุ คือธาตุแห่งการรับรู้ขึ้นมาได้อีกทีหนึ่ง เมื่อร่างกายของพืช สัตว์ และคนนี้เกิดขึ้นมา มันก็จะกลายเป็นวัตถุที่มีความสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ (ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) ได้ และรู้สึก (คือรู้สึกสุข หรือ ทุกข์ หรือ ไม่สุขไม่ทุกข์) ต่อสิ่งที่รับรู้ทั้งหลายได้ ซึ่งทุกชีวิตที่เกิดขึ้นมานี้เดิมที่เดียวจะมีเพียงเท่านี้ คือแค่รับรู้และรู้สึกได้เท่านั้น จะยังไม่มีความทรงจำและการคิดนึกปรุงแต่งใดๆ (เช่นเด็กที่เพิ่งเกิดมาใหม่ๆจะยังไม่มีความทรงจำใดๆจึงยังคิดนึกปรุงแต่งไม่ได้) ซึ่งนี่ก็แสดงถึงว่า ชีวิตของทุกชีวิตเดิมจะมีลักษณะเหมือนกัน หรือเท่ากับว่าเป็นการแยกหรือคัดลอกจากชีวิตแรกมาอีกที แต่ว่าเมื่อชีวิตทั้งหลายได้รับการรับรู้สิ่งต่างๆ (ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ที่แตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม จึงได้เกิดความทรงจำที่แตกต่างกันไป แล้วความทรงจำที่แตกต่างกันนี้เอง ที่ทำให้เกิดการคิดนึกปรุงแต่งที่แตกต่างกันไป จนเกิดความรู้สึกว่ามีตนเองที่แตกต่างกันขึ้นมาในภายหลัง
สรุปได้ว่า ธรรมชาติได้สร้างวัตถุทั้งหลายขึ้นมาพร้อมกับจิตของสิ่งที่มีชีวิต ซึ่งพื้นฐานของวัตถุทั้งหลาย ก็เป็นแค่ธาตุ ๔ ที่เหมือนกันหมด แต่เมื่อมีการปรุงแต่งที่แตกต่างกัน จึงทำให้เกิดวัตถุที่แตกต่างกันขึ้นมามากมายในโลก ส่วนจิตทุกจิตนั้นโดยพื้นฐานแล้วก็เป็นแค่ ธาตุรู้ (การรับรู้) เหมือนกันหมด เมื่อรับรู้แล้วก็จะเกิดความรู้สึกเหมือนกันหมด จึงเท่ากับว่าทุกชีวิตโดยพื้นฐานดั้งเดิมก็คือเป็นคนๆเดียวกัน แต่ว่ามาแตกต่างกันในภายหลังเท่านั้น ซึ่งเมื่อเราเข้าใจเช่นนี้แล้วเราก็จะรักทุกชีวิตเหมือนกับว่าเรารักตัวเราเอง เพราะทุกชีวิตก็เป็นชีวิตเหมือนกับชีวิตเรา เมื่อเรารับรู้อย่างไร รู้สึกอย่างไร คนอื่นเขาก็รับรู้และรู้สึกได้เหมือนกับเรา เมื่อเรารักคนอื่น ให้อภัย ช่วยเหลือคนอื่น เท่านี้เราก็จะเป็นสุข และถ้ามนุษย์จะมีความเข้าใจเช่นนี้มากๆ โลกก็จะมีสันติภาพได้เอง