ลำดับเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่อง ปรส. ตามที่ผมเข้าใจ

ผมเพิ่งติดตามการเมืองได้ไม่นานนัก พอจะลำดับเหตุการณ์เกี่ยวกับการขายชาติครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ซึ่งคนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยพูดถึง ความเสียหายในครั้งนั้นได้ส่งผลต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เพราะเราได้ใช้หนี้แค่ดอกเบี้ยส่วนเงินต้นนั้นแทบไม่กระดิก เพียงแต่ว่าผมไม่แน่ใจนักว่าความเข้าใจของผมนั้นมันถูกต้องหรือไม่ จึงอยากเรียนถามท่านผู้รู้ทั้งในห้องสินทรและห้องหว้ากอถึงประวัติศาสตร์ชาติไทยของเราในช่วงนี้ครับ
1.เดิมทีประเทศเรามีการตั้งกำแพงดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ที่ราวๆ17%เพื่อป้องกันการเติบโตของเศรษฐกิจไม่ให้ก้าวกระโดดเร็วจนเกินไป และเพื่อเป็นการสร้างนิสัยคนในชาติให้มีการรู้จักประหยัดอดออมโดยให้ดอกเบี้ยเงินฝากที่ค่อนข้างสูง และในขณะเดียวกันก็มีมาตรการสกัดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไม่ให้ทะลักเข้ามาสู่ประเทศเรามากจนเกินไป จึงเป็นเหตุให้ค่าเงินบาท/us dollarsค่อนข้างเสถียร ถ้าจำไม่ผิดน่าจะราวๆ22-25บาท/dollars
2.ต่อมาในสมัยพลเอกชาติชายเป็นนายก เกาะฮ่องกงครบกำหนดที่ต้องส่งคืนให้จีน รัฐบาลชาติชายเกิดหัวใสหวังดึงเงินจากคนจีนฮ่องกงที่กลัวการปกครองของจีนในระบอบคอมมูนิสต์ให้ย้ายเงินมาลงทุนในไทย จึงยกเลิกกำแพงทางด้านการเงินและดอกเบี้ยเงินกู้ เกิดภาวะเงินทะลักเข้ามาในบ้านเรามากมายโดยผ่านทางบ.เงินทุนหลักทรัพย์และไฟแนนซ์ต่างๆโดยที่มีรัฐบาลเป็นประกัน!!! เศรษฐกิจการค้าบ้านเรายุคนั้นจึงเฟื่องฟูสุดขีด เม็ดเงินในทุกตลาดสะพัดชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
3.นักลงทุน นักธุรกิจต่างๆ พากันกู้เงินกันเป็นการใหญ่เพราะดอกเบี้ยถูกแบบชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จากเคยกู้ดอกร้อยละ17 เหลือเพียงร้อยละ7-8บาทเท่านั้น ส่วนแบงค์พานิชภายในประเทศก็เกิดสภาวะปั่นป่วน เพราะไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากสูงๆได้อีกต่อไป การฝากเงินเพื่อหวังกินดอกเบี้ยของประชาชนจึงต้องยุติลง
4.กติกาการกู้เงินมันมีอยู่ว่า เงินที่พวกบ.เงินทุนและไฟแนนซ์กู้มาจากต่างชาตินั้นมันเป็นus dollas เมื่อกู้มาได้แล้วจึงเอามาแลกเป็นเงินบาทกับธ.แห่งประเทศไทย จากนั้นจึงปล่อยต่อให้นักลงทุนภายในประเทศอีกที
5.แต่เงินที่กู้มานั้นมันเป็นเงินกู้ระยะสั้นและเป็นเงินus dollarsซึ่งมีกำหนดอายุสัญญา5ปี เมื่อครบกำหนดแล้วก็ต้องหาเงินไปคืนเค้าทั้งต้นและดอก(จ่ายแต่ดอกอย่างเดียวไม่ได้) หากจะยืมต่อค่อยมาทำหนังสือสัญญาใหม่ว่ากันอีกที
6.จอร์จ โซรอส ซึ่งเป็นขาใหญ่ในวงการค้าเงิน เห็นเเล้วว่าบ.เงินทุนในไทยใกล้ครบกำหนดที่ต้องจ่ายหนี้ จึงมีการเหยียบTEENกันไว้ในหมู่นักค้าเงิน ว่าไม่ให้ปล่อยเงินdollarsให้ไทย จนในที่สุดเมื่อใกล้ครบกำหนดเวลาชำระหนี้ จึงปล่อยเงินdollasออกมาแต่ว่าปล่อยที่33บาท/dollars (ในชุดแรก)ไม่ใช่ที่25บาท/dollars
7.บ.เงินทุนขาดทุนย่อยยับเพราะกู้มาเป็นdollarsและต้องใช้คืนเป็นdollars แต่เวลาปล่อยให้กู้ต่อนั้นปล่อยเป็นเงินบาท ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่บ.เงินทุนต่างๆจะสามรถชำระหนี้ได้ แต่ถ้าหากไม่จ่ายหนี้เขา เจ้าหนี้ตัวจริงซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนต่างชาติที่ปล่อยเงินให้ไฟแนนซ์ในไทย ก็จะสามารถเข้ามายึดทรัพย์ทั้งหมดได้ นั่นเท่ากับว่าเราสูญเสียเอกราชแบบกลายๆไปเลยทีเดียว
8.ในช่วงแรกๆรัฐบาลแก้ปัญหาโดยการนำทองคำสำรองที่มีอยู่ออกขายเป็นdollars เพราะเงินบาทเริ่มที่จะไร้ค่า เมื่อขายมาแล้วก็นำมาให้บ.เงินทุนต่างๆเอาเงินบาทมาแลกเป็นdollarsในราคาถูกกว่าความเป็นจริง ทั้งนี้เพื่อเป็นการปกปิดค่าเงินบาทที่แท้จริงและช่วยยืดลมหายใจไปได้ในระยะหนึ่ง
9.เมื่อทองหมดในสมัยรบ.บิ๊กจิ๋ว รบ.จึงจำเป็นต้องประกาศค่าเงินบาทลอยตัว ส่งผลทำให้บ.เงินทุนต่างๆอยู่ในสภาพไม่ต่างจากล้มละลายไปในทันที สุดท้ายแล้วรัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก นอกจากต้องไปกู้เงินจากIMFเพื่อมาชำระหนี้ให้กับบ.เงินทุนต่างชาติ เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นแล้ว ทรัพย์สินต่างๆในประเทศจะถูกยึดจากบ.เงินทุนต่างชาติโดยทันที
10.เจ้าหนี้ถูกเปลี่ยนมือจากไฟแนนซ์มาเป็นรัฐบาล โดยมีIMFมาเป็นเจ้าหนี้รัฐบาลอีกต่อหนึ่ง  ทางIMFต้องการให้มีการจัดการขายทรัพย์สินทอดตลาด ทางรบ.จึงได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการจัดการหนี้สินเหล่านี้โดยมีชือว่า"คณะกรรมการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคม"หรือ ปรส.นั่นเอง
11.บ.ไฟแนนซ์ต่างๆขณะที่รู้ตัวว่ากำลังจะล้ม ก็ได้มีการshortหุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์เพื่อทำกำไรหุ้นขาลง รวมทั้งกลุ่มอสังหาและกลุ่มธุรกิจอื่นๆที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการที่ไฟแนนซ์ล้ม เรียกว่าฟันทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะรู้อยู่แล้วว่าหุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์ยังไงก็เป็น0 ส่วนพวกที่ซวยก็คงจะเป็นเม่าที่ไม่รู้เรื่องวงในนั่นเอง
12.ปรส.จึงได้มีการจัดให้เกิดการประมูลทรัพย์สินโดยตั้งเงื่อนไขว่าไม่ให้คนไทยเข้าร่วมประมูล ทำให้เกิดการฮั้วประมูลในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติครั้งมโหราฬ สุดท้ายแล้วทรัพย์สินมูลค่า800,000ล้านบาท ขายไปได้เพียง160,000ล้านบาทเท่านั้น(สมัยนั้นก่อนเกิดวิกฤติค่าเงิน ราคาทองน่าจะราวๆบาทละ3,400)
13.ประเทศเราเสียหายหลายเด้งนับตั้งแต่เรื่องค่าเงินจนมาถึงปรส. และในทุกวันนี้เราก็ยังเป็นหนี้ต่างชาติบานโขอยู่ที่เดียว เพียงแค่เปลี่ยนเจ้าหนี้จากIMFมาเป็นญี่ปุ่นเพราะได้ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ถูกกว่า
........มาถึงจุดนี้ ทั้งหมดคือความเข้าใจของผมเกี่ยวกับเรื่องที่มาที่ไปของ ปรส. ผมไม่รู้ว่าถูกหรือผิด ส่วนตัวแล้วผมไม่มีข้างมีสี ผมเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่ได้รับข่าวสารข้อมูลมาแต่ก็ไม่แน่ใจว่าถูกหรือผิด หากท่านใดมีอะไรเพิ่มเติมผมยินดีรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่