หรือเราจะไม่เหมาะกับต่างประเทศ ? [กระทู้ระบายความกลุ้มใจ]

หลังจากที่เจอหลายๆ เรื่องมาจนถึงตอนนี้ ขออนุญาตใช้พื้นที่เพื่อระบายความกลุ้มใจครับ (ไม่เคยพิมพ์อะไรยาวขนาดนี้เลยครับ) ขอบคุณครับ

เรามาเรียนภาษาอังกฤษอยู่สหราชอาณาจักรได้ 6 เดือนแล้ว ตั้งแต่เดือนมิถุนายน

ช่วง 3 เดือนแรกเราเรียนหลักสูตรปรับพื้นฐานภาษา (Pre Sessional) ของมหาวิทยาลัยที่เราได้รับการตอบรับเข้าเรียนบัณฑิตศึกษา ผลปรากฏว่าเราสอบปิดคอร์สได้คะแนนไม่ถึงเกณฑ์ ความรู้สึกเฟลกระหน่ำเข้ามามากมาย ที่น่าเบื่อคือ ต่อให้คะแนนเข้าชั้นเรียนมี เพราะไม่เคยขาด ส่งงานครบทุกชิ้นแต่ไม่ได้มีผลใดๆ ในการพิจารณาสักนิด แม้จะมีคะแนนส่วนนี้ปรากฏในใบรายงานผลคะแนนก็ตาม และ แอบเสียความรู้สึกเพราะ มีคนอื่นหลายคนที่คะแนนสอบไม่ถึงแต่คณะของเขากลับให้เข้าเรียน (มีเราคนเดียวที่เรียนคณะแปลกกว่าคนอื่น และ คณะเรากลับไม่ให้เราเข้าเรียนซะงั้น)

แต่เราก็พยายามสู้ต่อ เพราะ ประธานหลักสูตรสั่งให้ไปเรียนภาษาเพิ่มที่โรงเรียนภาษาอีกเมือง ซึ่งมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยนี้ (คอนเฟิร์มได้จาก บอร์ดรายชื่ออาจารย์ผู้สอน ที่เจออาจารย์สอนปรับภาษาจากมหาลัย มาเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนี้หลายคน) อย่างไรก็ตาม เราแอบเซ็งตรงที่

1. จริงๆ มหาวิทยาลัยมีคอร์สเฉพาะทางสำหรับการเขียน การนำเสนองาน ฯลฯ เป็น In Sessional ซึ่งจะเปิดตอนเปิดเทอม เราขอประธานหลักสูตรเข้าเรียน คอร์สนี้ไปด้วยและจะเรียนตามปกติไปด้วย ก็ไม่ยอม (อย่าได้พูดถึงเอเจนซี่เลย รายนั้นสนับสนุนเราเรียนภาษาต่อแน่ๆ เพราะ โรงเรียนนี้เอเจนซี่ก็รับติดต่อ แถมมีดราม่านิดๆ เพราะตอนแรก เราติดต่อไปโรงเรียนภาษาใหม่นี้เองเนื่องจากคอร์สภาษาใหม่นี้กำลังจะเปิด พอเอเจนซี่รู้เข้า เขาบอกเราว่า "จริงๆ พี่ต้องเป็นคนติดต่อให้นะคะ" ---> หวังผลอะไรอยู่หรือเปล่า หึหึหึ + อดคิดไม่ได้ว่าหรือ ท่านประธานหลักสูตรจะได้ประโยชน์จากการที่ให้เรามาเรียนอันนี้ด้วย ?)

2. หลักสูตรที่ประธานหลักสูตรให้เรียนคือหลักสูตรเตรียมสอบ Ielts แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก ยังคงพยายามเต็มที่เหมือนเดิม  บางทีก็มากไปด้วยซ้ำ เรามั่นใจว่านอกห้องเรียนเราก็พยายามหาอะไรที่เป็นภาษาอังกฤษมาฟังมาอ่าน หรือ ทั้งการบ้านที่เป็นการเขียน หรือ การบ้านพวกทำรายงานมาพรีเซนต์หน้าห้องเราก็ทำมามากกว่าคนอื่นแน่ๆ เพราะเราส่งทุกอย่าง ส่งครบ ส่งตรงเวลา ตลอด ในขณะที่คนอื่นเขามาเรียนเฉยๆ เพราะไม่ต้องใช้ผลการเรียนจากโรงเรียนนี้ไปเข้ามหาวิทยาลัยแบบเรา บางคนก็มีโดดบ้าง ไม่ส่งงานบ้าง (เพราะไม่บังคับส่ง) แต่ผลการสอบปิดคอร์สก็ซ้ำรอยเดิม คือ คะแนนยังไม่ถึงเกณฑ์ (เจ็บใจตรงที่ เป็นอีกครั้งที่คะแนนส่งงาน และ การเข้าชั้นเรียนไม่มีความหมายอีกแล้ว แถมไม่กล่าวถึงเลยสักนิดในใบประเมิน ใบประเมินมีแต่คะแนนสอบจบ) ทั้งนี้ เราแจ้งผลการเรียนให้ที่คณะทราบแล้วเขาบอกว่า จะติดต่อสัมภาษณ์เราทางโทรศัพท์ภายหลัง แต่ เกือบ 1 อาทิตย์ผ่านไปยังไม่มีอะไรคืบหน้า (แถมเดี๋ยวก็จะหยุดยาวคริสมาสต์อีก) คือ เราไม่เข้าใจจริงๆ มันจะยากอะไรกับการตอบกลับมา จะตอบมาทางอีเมล์ก็ได้ เพราะ อย่างไรก็ตาม คำตอบมันก็ไม่ทิ้ง 3 รูปแบบนี้ คือ รับเข้าซะที (แม้จะไม่ผ่านเกณฑ์ก็ตาม เหมือนที่คนอื่นเขาได้สิทธิ์นี้ / ต่อให้เขาไม่เรียกร้องอะไรกับเราเพิ่มแต่เราก็จะยังคงไปลงทะเบียน In Session แน่นอน) , รับแต่มีเงื่อนไข (เช่นให้ ลงคอร์สภาษาที่โรงเรียนสอนภาษาเพิ่มแล้วเอาผลมายื่นอีก) , ไม่รับเราแล้ว เขี่ยเราทิ้งไปเลย

3. การเรียนภาษาเพิ่มที่นี่ทางเราต้องออกค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเอง ทุกอย่างทั้งค่าเรียนค่าที่พัก (มาเรียนภาษาที่เมืองใหม่นี้เรา โลดโผนมาก ย้ายโฮสต์มาร่วม 3 ครั้ง เพราะโฮสต์แรกอยู่ไปไม่นานเขาจะย้ายบ้านและไม่มีห้องพอให้เราพัก / โฮสต์สองบ้านสกปรกมีเชื้อราและไรฝุ่นมาอยู่แค่อาทิตย์เดียวป่วยเลยทั้งๆ ที่อยู่ประเทศนี้มาหลายเดือนไม่เคยเป็นอะไร + โดนสิ่งมีชีวิตคาดว่าเป็นไรฝุ่นกัดกว่า 50 จุดทั่วแขนขา) แต่ก็ไม่น่าเบื่อเท่า หอพักในมหาวิทยาลัยที่จองไว้ตอนแรกก็ต้องเสียสิทธิ์ไปให้คนอื่นเพราะเราย้ายเมืองแบบนี้เขาไม่ให้ถือสิทธิ์ห้องไว้ (ทางฝ่ายหอพักมหาลัยบอกว่า ให้ใกล้ๆ จบคอร์สภาษานี้ค่อยมาติดต่อใหม่ โชคดีที่ฝ่ายหอพักหาห้องให้ได้ แม้จะไม่ใช่โซนเดิมที่อยากได้ก็ต้องยอม + เกือบไปแล้วเพราะเขาบอกว่าถ้าไม่ได้ลงทะเบียนเรียนปกติจะไม่ให้เข้าอยู่ แต่กรณีของเราจะให้เป็นกรณีพิเศษ [คือถ้าเราไม่เจอเรื่องแบบนี้ วันย้ายหอจากหอนักเรียนปรับภาษา มาหอบัณฑิตศึกษา จะเป็นวันเดียวกัน] แน่นอนว่าไม่มีการประสานงานใดๆ จากคณะทั้งสิ้นเราต้องชี้แจงเองทุกอย่างว่า ทำไมยังไม่มีชื่อเราในระบบบัณฑิตศึกษา เงินจองก็ไม่ได้คืน แล้วยิ่งตอนนี้ที่ คณะไม่ยอมแจ้งผลการพิจารณามาแบบนี้ซะทีเราก็ยิ่งทำอะไรต่อไม่ได้เข้าไปใหญ่)

4. ตอนที่เราตกรอบ 2 นี้เราถึงขั้นเข้าไปพบกับ Head ของโรงเรียนภาษานี้เลยนะว่า ช่วยเราไม่ได้เหรอ เพราะ เราก็มีคะแนนจากการบ้านที่อาจารย์ให้ไว้อยู่ ขอเอาคะแนนส่วนนั้นมาช่วยเสริมเพื่อปรับแก้ให้ได้ไหม การลงคะแนนในใบรายงานผลแค่คะแนนสอบจบมันไม่ยุติธรรมเลย ถามอาจารย์ประจำชั้นก็ได้ว่าฉันไม่ได้เหลวไหล (ประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม เพราะตอนนั้นคะแนนออกหมาดๆ เครียดมาก ยิ่งพูดยิ่งใกล้จะร้องไห้ แต่ในหัวยังต้องคิดประโยคโต้ตอบกับอาจารย์ฝรั่ง) ซึ่งเขาก็บอกว่า ช่วยเราไม่ได้แถมยังเจอคำพูดประมาณว่า จริงๆ ต่อให้แก้เป็นคะแนนที่แม้จะผ่านเกณฑ์แต่ในความเป็นจริงมันไม่พอด้วยซ้ำกับการเรียนบัณฑิตศึกษาสาขานี้ ยิ่งของคุณได้คะแนนเดิมไม่ถึงเกณฑ์ด้วยแบบนี้ ยิ่งไม่เพียงพอเข้าไปใหญ่...เฮ้อออออออออ (เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า การต่อรองหรือการอะลุ่มอะหล่วยบางทีก็ใช้ไม่ได้กับต่างประเทศแต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้) / ได้ข้อคิดจริงๆ ว่า คนบางคนอาจจะไม่เหมาะกับ "การสอบ" (ซึ่งการสอบภาษาอังกฤษไม่ว่าจะเป็น Ielts หรือ Pre Sessional พวกนี้ยิ่งแล้วใหญ่เพราะหัวข้อที่จะเจอเราอาจจะไม่ถนัดก็ได้) แต่ต่อให้ไม่ผ่านเขาก็สามารถ "เรียน" ได้ จงอย่าตัดสินคนที่คะแนน !!!!!!!!! (เพราะจนถึงตอนนี้เวลาคุยกับเพื่อนๆ ที่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยนั้นแล้ว เราพบว่าไม่ว่าเขาจะเคยได้ Ielts หรือคะแนน Pre Sessional เท่าไหร่ ทุกคนก็บ่นว่ายากเหมือนกันหมดอย่างเสมอภาค)

__________

จริงๆ เราได้รับตอบรับจากอีกมหาวิทยาลัยเหมือนกัน (มหาวิทยาลัยนี้ติดต่อเองไม่ได้ผ่านเอเจนซี่) แถมมหาวิทยาลัยนี้ยังได้แบบเข้าเรียนเลยไม่ต้องปรับภาษาด้วย แถม Rank ก็ดีกว่า (เสียดายที่จดหมายตอบรับมหาวิทยาลัยนี้มาช้าไป) ซึ่งสำหรับเรา เรื่อง Rank เราไม่คิดมาก เพราะ เราตั้งใจจะทำงานหน่วยงานราชการซึ่ง สอบเข้ารับราชการ เรื่อง Rank ก็คงไม่มีอะไรต้องคิดมากขนาดนั้น (ถึง Rank จะด้อยกว่าก็ไม่ได้ด้อยกว่ากันเกิน 5-10 ตำแหน่งแน่ๆ จากที่ดูมาหลายๆ เว็บทั้ง Rank มหาวิทยาลัยและ Rank สาขาวิชา) แต่ประเด็นที่ค้นพบและน่าเอามาเปรียบเทียบก็คือ

1. มหาวิทยาลัยแรก ค่าเทอม ค่าใช้จ่าย ถูกกว่า อีกมหาวิทยาลัย ร่วม 1-2 พันปอนด์ รวมทั้งค่าครองชีพของเมืองในมหาลัยแรก ก็ถูกกว่าด้วย (อันนี้เราค่อนข้างซีเรียสเพราะ เรามาด้วยทุนครอบครัว ดังนั้นทุกบาททุกสตางค์ต้องประหยัดเท่าที่จะทำได้ จนถึงตอนนี้เราบอกตัวเลขค่าใช้จ่ายประจำสัปดาห์ไปมีแต่คนตกใจว่า ทำได้อย่างไร บางคนเงินจำนวนเท่ากันนี้ ใช้หมดตั้งแต่เดือนแรกด้วยซ้ำ)

2. มหาวิทยาลัยแรก อาจารย์ที่ปรึกษา กับ หน่วยวิจัยในคณะ ตรงสายกับเรามากกว่า อีกทั้ง ยังมีทุนพวกผู้ช่วยสอนด้วย (แต่ต้องรอเพราะทุนนี้และทุนอื่นๆ ของปีนี้ปิดไปแล้ว) และนี่คือเหตุผลหลักที่ยังทนอยู่เพื่อเข้ามหาลัยนี้เพราะสำหรับเราเราว่าการที่ได้อาจารย์ที่ตรงสายและมีหน่วยวิจัยที่เหมาะสมมันสำคัญอยู่นะ แต่อีกมหาวิทยาลัย แม้จะเป็นมหาลัยใหญ่กว่า แต่อาจารย์กับหน่วยวิจัยที่มี ยังไม่ตรงสายเรานัก และไม่มีทุนผู้ช่วยสอน (ทุนอื่นๆ ของปีนี้ก็ปิดไปแล้วเช่นกัน) / เรากะว่าไม่ว่าอย่างไรก็คง ช่วยงานอาจารย์แน่ๆ เพราะ เราหลักสูตรเราต้องจบด้วยการทำวิจัย หากได้ช่วยงานอาจารย์ก็น่าจะมีประโยชน์กับเราด้วย

3. มหาวิทยาลัยแรก แม้จะเล็กแต่ก็ทำให้การเดินทางติดต่อตึกต่างๆ สะดวกมากๆ แต่ อีกมหาวิทยาลัยเอาง่ายๆ แค่หอพักกับคณะก็ห่างกันร่วมกิโลครึ่ง / ยิ่งเมื่อเดินทางเข้าเมือง เมืองของมหาลัยแรก ร้านต่างๆ อย่างซุปเปอร์มาเก็ต อยู่ใกล้ป้ายรถเมล์ที่ลงมากๆ แต่ เมืองของอีกมหาวิทยาลัย ลงป้ายรถเมล์แล้วต้องเดินอีกไกลเลยกว่าจะถึงซุปเปอร์มาร์เก็ต (คงเพราะตอนอยู่ไทย บ้านเราอยู่ชานเมืองมากๆ จะไปมหาวิทยาลัยทีก็เดินทางร่วม 1-2 ชั่วโมง++ ประจำ ขนาดใช้รถเก๋งหรือแท็กซี่ต่อเดียวนะนั่น ถ้ารถสาธารณะก็ใช้เวลาเกิน 2 ชั่วโมงต่อรถอีก 3-4 แน่นอน เราเลยค่อนข้างคิดมากเรื่องนี้)

__________

แต่ถึงกระนั้นหลังจากที่ตกมาซ้ำซ้อนแบบนี้ บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่า หรือเราจะไม่เหมาะกับการเรียนที่ต่างประเทศ? (ไม่ใช่ไม่พยายามนะ พยายามแล้วจริงๆ แต่มันก็อาจเป็นขีดความสามารถจริงๆ ที่พัฒนาได้เท่านี้ / มาเจอหลายๆ เหตุการณ์แบบนี้มันก็รู้สึกแย่สุดๆ เลย) + จำเป็นด้วยหรือที่ต้องเรียนให้จบจากต่างประเทศ? คุณค่าของคนเราไม่ได้วัดกันแค่นี้ซะหน่อย

และอย่างไรก็ตาม

1. สำหรับเรา จะเรียนที่ไหนก็ช่างมันเถอะ ไม่เห็นจะต้องแคร์คนอื่นเลย (คนอื่นเขาไม่มาทุกข์กับเรา+ไม่ได้ออกเงินให้เราซะหน่อย) ขอแค่เราจบไปเป็นบัณฑิตที่ดี นำความรู้มาประกอบวิชาชีพอย่างสุจริต ไม่คดโกง เอาเปรียบคนอื่น ดูแลครอบครัวให้มีความสุขไม่ขัดสน ก็เพียงพอแล้ว ยิ่งมาเรียนที่นี่ ยิ่งเข้าใจเลยว่าไม่มีที่ไหนจะสุขใจเท่าบ้านจริงๆ ไม่รู้สิ คนอื่นเขาก็ดูมีความสุขกับการเรียน (แม้จะมีช่วงเครียด) แต่สำหรับเรา ทำไมมันมีแต่ความทุกข์ขนาดนี้ พรุ่งนี้จะต้องย้ายไปนอนที่ไหน ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำบางที /

ถ้าตอนนี้อยู่ไทย คงได้ดูแลพ่อแม่มากกว่านี้ (ตอนนี้พ่อแม่อยู่กัน 2 คนตายาย ซึ่งคนเป็นพ่อแม่อย่างไรเขาก็ไม่พูดหรอกว่า ตอนนี้เขาลำบากหรือเปล่า) / อย่างน้อยสำหรับเรา การได้มาใช้ชีวิตคนเดียวร่วมครึ่งปีแบบนี้ (ไม่เคยอยู่ห่างบ้านขนาดนี้มาก่อน โชคดีไม่มีปัญหาพวก Culture Shock อะไรแบบนั้นเลย) สำหรับเราเราว่าเราเติบโตขึ้นไปอีกก้าวแล้วล่ะ อย่างน้อยภาษาก็น่าจะก้าวหน้าบ้าง และ ได้ประสบการณ์ชีวิตบ้าง แม้จะไม่ได้เรียนตรงนี้ต่อก็ไม่ได้หมายความว่า เราแพ้ หรือ ชีวิตจะล้มเหลวซะหน่อย คนเราล้วนมีจุดที่เหมาะสมกับตัวเอง (แต่จะบอกที่บ้านอย่างไรดีถ้าอยากจะเลิก เพราะพ่อแม่ไม่ว่าอย่างไรก็ย่อมคาดหวังในตัวลูกอยู่แล้ว)

2. อนาคตเราวางแผนอยากสอบรับราชการอยู่แล้วทันที่ที่เรียนจบหลักสูตรบัณฑิตศึกษา และคงทำจนเกษียนเลยเพราะเป็นหน่วยงานที่อยากเข้าทำงานมากๆ ตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีแล้ว แถมเดินทางสะดวกด้วย ซึ่งไม่ว่าจะจบจากไหนอัตราเงินเดือนก็เป็นไปตามระเบียบราชการอยู่ดีว่าตำแหน่งที่สอบจะได้เท่าไหร่ เมื่อเลื่อนขั้นตามผลงานหรือตามตำแหน่งจะได้เท่าไหร่ คงต่อรองเงินเดือนแบบเอกชนไม่ได้

3. สาขาเราต้องเสนอหัวข้อวิจัยก่อนเข้าเรียนด้วย ซึ่งเราตั้งใจแต่แรกแล้วว่า อยากเก็บตัวอย่างวิจัยที่ไทยเพราะ เราตั้งใจว่าอยากทำหัวข้อที่มีประโยชน์กับหน่วยงานในไทยเนื่องจากเคยช่วยอาจารย์ทำวิจัยกับหน่วยงานนี้มาก่อน เมื่อทำงานวิจัยนี้เสร็จ เราก็คงมอบให้หน่วยงานเจ้าของตัวอย่างวิจัยไปใช้ประโยชน์ต่ออยู่ดีโดยไม่มีเงื่อนไข

__________

เอาอย่างไรดีหนอ
1. สู้ต่อ (จนกว่าจะได้มหาวิทยาลัยนี้ เพราะแม้จะเบื่อประธานหลักสูตร แต่ ข้อดีของมหาวิทยาลัยนี้ก็ยังมีมากพอที่ไม่อยากจะทิ้งมันไป อีกอย่างต่อให้เข้าไปเรียนจริงๆ โอกาสที่จะเจอ ประธานหลักสูตรก็คงมีน้อยเพราะคงได้เจออาจารย์คนอื่นๆ เช่น อาจารย์ที่ปรึกษามากกว่า หรือ จริงๆ ต่อให้เจอตัวก็ไม่คิดอะไรอยู่แล้วเพราะถือว่าเราเลือกทางนี้เอง)

หรือ

2. ทิ้งมหาวิทยาลัยนี้ซะเลย (อยากเรื่องมาก ทำเราเสียเวลาและโอกาสต่างๆ ดีนัก) แล้วไปมหาวิทยาลัยใหม่ (อันนี้มีเพื่อนๆ หลายคนสนับสนุน / แต่เราก็อดกังวลไม่ได้ว่า ถ้าไปที่ม.ใหม่นี้แล้ว ชีวิตจะดีขึ้นจริงๆ หรือ เพราะอย่างเรื่องผลการเรียนภาษาซึ่งทำให้เรารู้สึกกังวลพอควรเนื่องจากไม่กระเตื้องอย่างที่คิด ไหนจะปัจจัยอื่นๆ อีก)

หรือ

3. กลับไปเริ่มชีวิตใหม่ที่ไทย (ตอนนี้ยังพอจะสมัครเรียนที่ไทยทันอยู่บ้าง)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่