ตลอดเส้นทางชีวิตของคนคนหนึ่ง จะดีมีความสมบูรณ์แบบแค่ไหน หากมีใครอีกคนเดินจับมือเคียงข้างกัน แม้ระหว่างการเดินทางอาจจะมีอุปสรรค มีฝุ่นผงเข้าตา มีปัญหากันบ้าง และจะยากดีมีจนแค่ไหน... ถ้าเรามี ‘คู่ชีวิต’ คอยสนับสนุนให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เคียงข้างกันมานาน
ถึง 48 ปี เหมือนกับคู่ของ ‘ศาสตราจารย์เจริญ - จิตรา วรรธนะสิน’ นักกีฬา นักวิชาการ นักบริหาร นักคิด นักเขียน และยังเป็นคุณพ่อคุณแม่คุณภาพของ ‘จิตติมา (แจน) – จิรายุส (โจ) – เจตริน (เจ) วรรธนะสิน’ นางแบบนักบริหาร นักร้องนักดนตรี นักร้องป๊อปแร็พระดับซุปเปอร์สตาร์
Hug : จุดเริ่มต้นของความรักเกิดขึ้นได้อย่างไรคะ
จิตรา : จริงๆ แล้วเราเป็นเพื่อนบ้านกันที่เชียงใหม่ค่ะ บ้านพี่อยู่ในซอย บ้านอาจารย์อยู่ปากซอย ครอบครัวของเราต่างรู้จักกันทั้งคู่ ทั้งคุณยาย คุณแม่ ก็รู้จักว่าครอบครัวนี้เป็นใคร และสิ่งสำคัญที่ทำให้เรารู้จักกันคือ เราเป็นคริสเตียนทั้งคู่ ตัวพี่เองเป็นลูกคนเดียว ก็จะถูกสอนให้ซึมซับในความดี และเรียนโรงเรียนคริสเตียนมาโดยตลอด
ศ.เจริญ : ครอบครัวเราทั้งสองเป็นคริสเตียนถึง 3 ชั่วอายุคน และเราได้รับการเลี้ยงดูแบบคริสเตียนที่เคร่ง ตอนเด็กๆ ถูกส่งไปเรียนนรวีวาระศึกษา เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิล เรียนเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า เท่าที่ผมจำได้ สมัยเด็ก ผมเกรงกลัวพระเจ้ามากๆ เหมือนคนยุโรปยุคกลางที่เป็น God fearing people จิตสำนึกรู้อย่างเดียวว่า ถ้าเราทำผิดบาป เราจะถูกพระเจ้าลงโทษ นั่นคือการคิดเด็กๆ ที่ยังไม่มีตรรกะแบบผู้ใหญ่
Hug : เป็นคริสเตียนเหมือนกัน บ้านอยู่ใกล้กัน ก็ได้พบกันตั้งแต่เด็ก
ศ.เจริญ : ตอน นั้นผมก็เริ่มเป็นหนุ่มแล้วนะ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าคนที่จะมาเป็นคู่เราจะเป็นคนแบบไหน ตอนเจอกันเราก็รู้ว่าครอบครัวของคุณจิตราเป็นคริสเตียน คือเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้เป็นแฟนกันนะ
HUG : แอบสบตากันมั่งหรือเปล่าคะ
ศ.เจริญ : ไม่ได้สบเลย (ยิ้ม) เคยเห็นเขากับพี่เลี้ยงมาเล่นแถวหน้าบ้าน ไม่เคยได้พูดกัน แต่ผมจำได้
จิตรา : แต่พี่จำไม่ได้หรอก เพราะยังเด็กมาก
ศ.เจริญ : แสดงว่าผมมองคุณข้างเดียวสิ (ฮาทั้งวง)
Hug : แล้วเริ่ม ‘สบตา’ กันตอนไหนคะ
ศ.เจริญ : ผมเล่นแบดมินตันมาตั้งแต่อายุ 15 ปี ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็ติดทีมชาติ ผมขึ้นอันดับเร็วมาก ช่วงนั้นผมเป็นดาวจรัสแสงของวงการแบดมินตันจริงๆ สมัยก่อนไทยเราแข่งแพ้ทีมโธมัสคัพอินเดีย 2 สมัย 8 ปี ไม่เคยชนะเขาเลย พอผมติดทีมชาติ ลงเล่นทั้งเดี่ยวและคู่ ผมชนะอินเดียหมดทั้ง 4 แต้ม จนได้ครองแชมเปี้ยนแห่งเอเชีย ได้ไปแข่งรอบชิงชนะเลิศ Inter Zone ที่สิงคโปร์ในปี ค.ศ. 1958 สื่อกีฬาตอนนั้นให้สมญานามผมว่า
‘อัจฉริยะแบดมินตันที่สวรรค์ประทาน’ ในช่วงปี ค.ศ. 1964 ผมกำลังจะไปแข่งขันโธมัสคัพที่โตเกียว คุณจิตราทำงานการบินไทย เราไปพบกันที่ท่าอากาศยานดอนเมืองโดยบังเอิญ และได้ทักทายกัน เอ๊ะ...ผมทักคุณด้วยเหรอ? (แอบแซวภรรยาแล้วหัวเราะขำ)
จิตรา : ทักสิคะ (มองค้อนเล็กน้อย) แอบรู้สึกว่าเขาก็ปิ๊งพี่แล้ว เพราะขอเบอร์โทรศัพท์พี่ด้วย เขาถามพี่ว่า ทำงานที่ไหน พักที่ไหน ก็ได้คุยกันในเวลาสั้นๆ
Hug : วัยรุ่นสมัยก่อนจีบกันยังไงคะ
ศ.เจริญ : พอกลับมาจากญี่ปุ่น ผมก็โทรไปหาเขา จำได้ว่าครั้งแรกนัดไปดื่มน้ำชาที่ Tea Room โรงแรมเอราวัณ ซึ่งหรูหรามากในสมัยนั้น โดยมีเพื่อนร่วมงานของผมที่ลีเวอร์บราเธอร์คนหนึ่งไปเป็นเพื่อนแก้ขวยด้วย
จิตรา: คุณเจริญไปรับพี่ที่บ้านค่ะ ตอนนั้นพี่พักอยู่กับคุณลุง ซึ่งเป็นเพื่อนรักของคุณพ่ออยู่แถวบางพลัด จรัญสนิทวงศ์ ฝั่งธนฯ
ศ.เจริญ : สมัยก่อนการเดินทางถือว่าลำบากมาก เพราะบ้านผมอยู่แถวพร้อมพงษ์ แต่ไปจีบผู้หญิงที่บางพลัด (หัวเราะ) ดีที่ยุคนั้นการจราจรไม่เลวร้ายเหมือนสมัยนี้ ตอนนั้นขับรถโฟลค์เต่าเล็กๆ ไป (ยิ้มสดชื่น)
Hug : อาจารย์เจริญชอบคุณจิตราตรงไหนคะ
ศ.เจริญ : เขาเป็นคนน่ารัก ไม่พูดมาก เรียบร้อย มาจากครอบครัวที่ดี อย่างแม่ยายผมที่เห็นอยู่เนี่ย อายุ 93 แล้วนะ เป็นคุณครู ยังแข็งแรง และทำงานด้านศาสนามาตลอดชีวิต ตอนนั้นคุณลุงคุณจิตรา (นายแพทย์จินดา สิงหเนตร) เป็นนายกเทศมนตรีเชียงใหม่ เมื่อผมได้ครองแชมเปี้ยนแบดมินตันหลายตำแหน่งจากสหพันธ์รัฐมลายู พอกลับไปเชียงใหม่ คุณลุงเขาก็จัดงานต้อนรับแห่ผมไปรอบเมือง ส่วนคุณตาผมเป็นหมอฟัน คุณลุงเขาเป็นนายแพทย์ เป็นเจ้าของโรงพยาบาลจินดา สิงหเนตร ก็รู้จักกันในฐานะคริสเตียน ครอบครัวของเราต่างรู้จักกันหมดเลย
จิตรา : มันเหมือนกับเป็นความผูกพัน แม้ว่าครอบครัวเรารู้จักกัน แต่เราไม่ได้เจอกันเลย คุณเจริญไปเรียนเมืองนอก ไปผ่านชีวิตอะไรมาเยอะแยะ กลับมาเราถึงได้เจอกัน
Hug : แล้วคุณจิตราล่ะคะ รู้สึกชอบอาจารย์เจริญตั้งแต่เมื่อไหร่
จิตรา : เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยได้พูดที่ไหน แต่จะเล่าให้ฟัง (ยิ้ม) ก่อนหน้าที่จะได้เจอกันที่สนามบิน พี่ไปดูหนังกับเพื่อนที่ศาลาเฉลิมไทยในสมัยก่อน (ปัจจุบันคือบริเวณโลหะปราสาท วัดราชนัดดารามวรวิหาร) ออกจากโรงหนังมา เห็นอาจารย์เจริญขับรถโฟลค์เต่าผ่านไป เห็นปั๊บ ก็บอกกับตัวเองว่า คนนี้เป็นแชมเปี้ยนแบดมินตันที่ อยู่ปากซอยบ้านเรานี่นา ใจก็คิดว่า แหม.. ถ้าได้รู้จักคนคนนี้ก็น่าจะดีนะ นั่นคือการเห็นครั้งแรก จากที่ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่สมัยเด็กๆ หลังจากนั้นก็หายไปเลย จนกระทั่งมาเจอกันที่สนามบิน พอเขามาคุยกับเรา ก็รู้สึกได้ว่า เราสองคนไม่ได้ห่างไกลกัน พออาจารย์เจริญขอเบอร์โทรศัพท์ก็เลยให้ แปลกไหมล่ะ (ยิ้ม)
ศ.เจริญ : พอให้ไปแล้วก็คิดในใจว่าเมื่อไหร่จะโทรมา (หัวเราะ) ตอนนั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือด้วยนะ เป็นเบอร์โทรศัพท์ที่ทำงาน คุณจิตราไม่กล้าให้เบอร์บ้านคุณลุง เพราะคุณลุงคุณป้าหวงและดูแลใกล้ชิดมาก
Hug : ใช้เวลาคบกันนานไหมคะ
ศ.เจริญ : ด้วยความที่คุณจิตราเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว ผมจะซี้ซั้วทำเป็นเล่นไม่ได้ (หัวเราะชอบใจ) เราใช้เวลาทำความรู้จักกันประมาณครึ่งปี แต่ก็เหมือนเรารู้จักกันมานานหลายปี เราเจอกันที่สนามบินปี ค.ศ. 1964 ไปเที่ยวกำแพงแสนด้วยกันกับกลุ่มเพื่อนเดือนพฤศจิกายน 1964 วันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1965 เราก็หมั้น พอวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1965 ก็แต่งงาน ทุกอย่างไวอย่างกับจรวดเลย (หัวเราะ)
จิตรา : ที่แต่งงานเร็ว เพราะเราเจอกันทุกวัน ไปรับไปส่ง ไปทานข้าวด้วยกันตลอด ตอนนั้นพี่อายุ 23 ปี อาจารย์เจริญอายุ 28 ปี อาจารย์เจริญไปขอกับคุณพ่อด้วยตัวเอง ไปหมั้นที่เชียงใหม่ แล้วกลับมาแต่งที่กรุงเทพฯ
ศ.เจริญ : ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นสมรสพระราชทานด้วย (ยิ้มภูมิใจ)
จิตรา : พอเสร็จจากพิธีสมรสพระราชทานในพระราชวังจิตรลดา เราก็มาเข้าพิธีและฉลองกันที่โบสถ์วัฒนา
Hug : ชีวิตหลังแต่งงานเป็นอย่างไรคะ
ศ.เจริญ : เราได้รับพระเมตตาจาก พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา พระองค์ ท่านเปรียบเสมือนท่านแม่ของเรา เป็นเจ้านายที่ทรงอยู่ใกล้ชิดตั้งแต่ผมยังไม่ได้ติดทีมชาติ ทรงเห็นผมไต่เต้าทำชื่อเสียงด้านกีฬาแบดมินตันให้แก่ประเทศไทยมาแต่ต้น ได้รับพระมหากรุณาธิคุณทุนพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ไป ศึกษาต่อที่อังกฤษ เรียนจบกลับมาก็ทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง หามรุ่งหามค่ำที่บริษัทลีเวอร์บราเธอร์ ผมดำเนินชีวิตอยู่ในเส้นทางที่ตรงและดีมาโดยตลอด ท่านก็ทรงเมตตาเรามาก ท่านทรงเรียกผมว่า ‘นายห้าง’ พอแต่งงานท่านก็ให้ไปอยู่บ้านหลังเล็กชั้นเดียว ลักษณะเป็นคอทเทจ (Cottage) จะเรียกกระต๊อบก็ได้มั้ง (หันไปถามภรรยาแล้วหัวเราะ)
จิตรา : ท่านมีบ้านแล้วก็มีที่ดินน่ะค่ะ เราหาที่ปลูกบ้านตั้งแต่ก่อนแต่งงาน พอแต่งงาน ท่านประทานให้อยู่บ้านเล็กๆ ให้ เป็นบ้านชั้นเดียว น่ารักมาก เราก็ได้อยู่ที่นั่นระหว่างรอปลูกบ้านหลังใหม่ ตอนน้องแจนเกิด เราก็ยังอยู่บ้านหลังนั้น แต่ตอนโจกับเจเกิด ได้ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่แล้ว
ศ.เจริญ : จากนั้นผมก็สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา ได้ทำงานมั่นคง มีเงินเดือนสูงพอสมควร เพราะผมไม่เที่ยวไนท์คลับ ไม่ดื่มเหล้า มีสูบบุหรี่บ้างเฉพาะเวลาไปเจอลูกค้า แต่ไม่ได้ติดบุหรี่ พอมีลูกก็เลิกเด็ดขาด เงินทองก็เลยพอมีเหลือเก็บ ตอนเป็นผู้จัดการเขตภาคใต้ ผมมีเงินเก็บเยอะเลย เพราะเงินเดือนแทบไม่ได้ใช้ การทำงานในต่างจังหวัดบริษัทจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้
Hug : เรียกว่าอาจารย์สร้างเนื้อสร้างตัวได้ตั้งแต่หนุ่มๆ
ศ.เจริญ : ครับ ตอนนั้นตั้งใจสร้างเนื้อสร้างตัวเองจริงๆ ทำงานเอาจริงเอาจังมาก คนอื่นทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ผมทำงานวันละ 14-15 ชั่วโมง มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาเล่าให้ฟังในตอนหลังว่า ตอนที่เขาสัมภาษณ์ผม เขาคิดว่าผมเป็นดารานักกีฬา ผมคงทำงานด้านการตลาดการขายไม่ได้ คงมาเป็นแค่ฉุยฉายพราหมณ์โฉบไปโฉบมาในบริษัท และท่านก็คาดผิด เพราะผมไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมใช้วินัยที่ฝึกมาจากการเล่นกีฬาเพื่อความเป็นเลิศมาใช้ในการทำงานเพื่อความเป็นเลิศ ซึ่งมันก็ได้ผล และ ติดเป็นสไตล์การทำงานของผมมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าผมจะทำงานแขนงไหน เป็นนักวิชาการ เป็นนักกีฬา เป็นนักเขียน เป็นนักบริหาร ผมใช้ปรัชญาและแนวทางการทำงานในสไตล์นี้ ทำให้ทุกอย่างเกิดประสิทธิผลมาโดยตลอด
Hug : ระยะแรกมีอุปสรรคเรื่องการปรับตัวบ้างไหมคะ
ศ.เจริญ : ชีวิตคู่ ชีวิตการแต่งงานก็มีกันทุกคู่แหละ เขาเรียกว่า Period of Adjustments แต่ คู่ของเราไม่ได้ปรับตัวยาก คือผมทำตัวเป็นตัวผม ส่วนเขาก็ทำตัวเป็นตัวเขา ในขณะเดียวกัน ผมเป็นผู้ชาย ต้องเป็นผู้นำในการปรับตัว สิ่งสำคัญที่สุดคือ ชีวิตผมเรียบง่าย ไม่ได้ต้องการอะไรมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องการกินการอยู่ ส่วนตัวเขาก็พยายามปรับตัวเป็นแม่บ้านที่ดี พยายามทำอาหารเอาใจผม (สบตากันแล้วยิ้ม)
จิตรา : จาก ที่ทำอาหารไม่ค่อยเป็นเลย เพราะเป็นลูกคนเดียว พี่มาเรียนรู้เองที่หลัง คุณเจริญเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย อะไรก็ได้ ขอแค่อาหารครบ 5 หมู่ก็พอแล้ว
Hug : แต่งงานแล้วนานไหมคะกว่าจะมีลูก
ศ.เจริญ : ผมแต่งงานปี ค.ศ. 1965 น้องแจนเกิดปี ค.ศ. 1966 ไม่ได้ชิงสุกก่อนห่ามนะ(หัวเราะ) แต่แต่งปุ๊บติดปั๊บเลย เราแต่งงานเดือนมีนาคม พอพฤษภาคมก็ท้องเลย
จิตรา : เราอยากมีค่ะ ตั้งใจไว้เลยว่า แต่งงานแล้วจะมีลูกทันที (เสียงหนักแน่น)
Hug : อาจารย์ยึดหลักอะไรในการดำเนินชีวิตคู่
ศ.เจริญ : ชีวิตคู่ควรเริ่มให้เป็นครอบครัวที่อยู่อย่างเรียบง่าย จะทำให้หลายๆ อย่างง่ายขึ้น พระราชดำรัสที่ว่า ‘ชีวิตพอเพียง’ เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตดำเนินไปอย่างสมเหตุสมผลที่สุด ผมเคยเล่าเรื่องพระราชดำริของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงให้ฝรั่งฟัง ฝรั่งฟังแล้วซึ้งใจมาก เขาบอกว่า ถ้าโลกนี้รู้จักเดินตามเบื้องพระยุคลบาทเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง โลกจะเป็นโลกที่น่าอยู่มากขึ้น พระองค์เคยรับสั่งในวันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ ปีหนึ่งว่า Our Loss is our gain หมายถึง การขาดทุนของเราคือกำไร ซึ่งผมชอบมาก ชีวิตที่มีความพอเพียง หรือ Simplicity of life จะทำให้ชีวิตการทำงาน ชีวิตครอบครัว ชีวิตส่วนตัว มีความสุขมากขึ้น
จิตรา : เราต้องใช้ชีวิตให้มีความพอดี ให้ดำเนินไปอย่างง่ายๆ สบายๆ แต่เราก็ต้องทำงานด้านสังคมด้วย พี่กับอาจารย์เจริญเป็นคนที่ทำงานจิตอาสาทั้งคู่ การทำงานจิตอาสาทำให้เรามีความสุข แต่เราต้องไม่บีบรัดตัวเอง เต็มใจไปเราก็ไป ถ้าเรามีภารกิจ เราก็ไม่ไป เราต้องแบ่งเวลาให้เป็น ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ชีวิตจึงจะมีความสุข
เส้นทางรัก . . นักแบตอัจฉริยะ
ตลอดเส้นทางชีวิตของคนคนหนึ่ง จะดีมีความสมบูรณ์แบบแค่ไหน หากมีใครอีกคนเดินจับมือเคียงข้างกัน แม้ระหว่างการเดินทางอาจจะมีอุปสรรค มีฝุ่นผงเข้าตา มีปัญหากันบ้าง และจะยากดีมีจนแค่ไหน... ถ้าเรามี ‘คู่ชีวิต’ คอยสนับสนุนให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เคียงข้างกันมานาน
ถึง 48 ปี เหมือนกับคู่ของ ‘ศาสตราจารย์เจริญ - จิตรา วรรธนะสิน’ นักกีฬา นักวิชาการ นักบริหาร นักคิด นักเขียน และยังเป็นคุณพ่อคุณแม่คุณภาพของ ‘จิตติมา (แจน) – จิรายุส (โจ) – เจตริน (เจ) วรรธนะสิน’ นางแบบนักบริหาร นักร้องนักดนตรี นักร้องป๊อปแร็พระดับซุปเปอร์สตาร์
Hug : จุดเริ่มต้นของความรักเกิดขึ้นได้อย่างไรคะ
จิตรา : จริงๆ แล้วเราเป็นเพื่อนบ้านกันที่เชียงใหม่ค่ะ บ้านพี่อยู่ในซอย บ้านอาจารย์อยู่ปากซอย ครอบครัวของเราต่างรู้จักกันทั้งคู่ ทั้งคุณยาย คุณแม่ ก็รู้จักว่าครอบครัวนี้เป็นใคร และสิ่งสำคัญที่ทำให้เรารู้จักกันคือ เราเป็นคริสเตียนทั้งคู่ ตัวพี่เองเป็นลูกคนเดียว ก็จะถูกสอนให้ซึมซับในความดี และเรียนโรงเรียนคริสเตียนมาโดยตลอด
ศ.เจริญ : ครอบครัวเราทั้งสองเป็นคริสเตียนถึง 3 ชั่วอายุคน และเราได้รับการเลี้ยงดูแบบคริสเตียนที่เคร่ง ตอนเด็กๆ ถูกส่งไปเรียนนรวีวาระศึกษา เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิล เรียนเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า เท่าที่ผมจำได้ สมัยเด็ก ผมเกรงกลัวพระเจ้ามากๆ เหมือนคนยุโรปยุคกลางที่เป็น God fearing people จิตสำนึกรู้อย่างเดียวว่า ถ้าเราทำผิดบาป เราจะถูกพระเจ้าลงโทษ นั่นคือการคิดเด็กๆ ที่ยังไม่มีตรรกะแบบผู้ใหญ่
Hug : เป็นคริสเตียนเหมือนกัน บ้านอยู่ใกล้กัน ก็ได้พบกันตั้งแต่เด็ก
ศ.เจริญ : ตอน นั้นผมก็เริ่มเป็นหนุ่มแล้วนะ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าคนที่จะมาเป็นคู่เราจะเป็นคนแบบไหน ตอนเจอกันเราก็รู้ว่าครอบครัวของคุณจิตราเป็นคริสเตียน คือเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้เป็นแฟนกันนะ
HUG : แอบสบตากันมั่งหรือเปล่าคะ
ศ.เจริญ : ไม่ได้สบเลย (ยิ้ม) เคยเห็นเขากับพี่เลี้ยงมาเล่นแถวหน้าบ้าน ไม่เคยได้พูดกัน แต่ผมจำได้
จิตรา : แต่พี่จำไม่ได้หรอก เพราะยังเด็กมาก
ศ.เจริญ : แสดงว่าผมมองคุณข้างเดียวสิ (ฮาทั้งวง)
Hug : แล้วเริ่ม ‘สบตา’ กันตอนไหนคะ
ศ.เจริญ : ผมเล่นแบดมินตันมาตั้งแต่อายุ 15 ปี ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็ติดทีมชาติ ผมขึ้นอันดับเร็วมาก ช่วงนั้นผมเป็นดาวจรัสแสงของวงการแบดมินตันจริงๆ สมัยก่อนไทยเราแข่งแพ้ทีมโธมัสคัพอินเดีย 2 สมัย 8 ปี ไม่เคยชนะเขาเลย พอผมติดทีมชาติ ลงเล่นทั้งเดี่ยวและคู่ ผมชนะอินเดียหมดทั้ง 4 แต้ม จนได้ครองแชมเปี้ยนแห่งเอเชีย ได้ไปแข่งรอบชิงชนะเลิศ Inter Zone ที่สิงคโปร์ในปี ค.ศ. 1958 สื่อกีฬาตอนนั้นให้สมญานามผมว่า ‘อัจฉริยะแบดมินตันที่สวรรค์ประทาน’ ในช่วงปี ค.ศ. 1964 ผมกำลังจะไปแข่งขันโธมัสคัพที่โตเกียว คุณจิตราทำงานการบินไทย เราไปพบกันที่ท่าอากาศยานดอนเมืองโดยบังเอิญ และได้ทักทายกัน เอ๊ะ...ผมทักคุณด้วยเหรอ? (แอบแซวภรรยาแล้วหัวเราะขำ)
จิตรา : ทักสิคะ (มองค้อนเล็กน้อย) แอบรู้สึกว่าเขาก็ปิ๊งพี่แล้ว เพราะขอเบอร์โทรศัพท์พี่ด้วย เขาถามพี่ว่า ทำงานที่ไหน พักที่ไหน ก็ได้คุยกันในเวลาสั้นๆ
Hug : วัยรุ่นสมัยก่อนจีบกันยังไงคะ
ศ.เจริญ : พอกลับมาจากญี่ปุ่น ผมก็โทรไปหาเขา จำได้ว่าครั้งแรกนัดไปดื่มน้ำชาที่ Tea Room โรงแรมเอราวัณ ซึ่งหรูหรามากในสมัยนั้น โดยมีเพื่อนร่วมงานของผมที่ลีเวอร์บราเธอร์คนหนึ่งไปเป็นเพื่อนแก้ขวยด้วย
จิตรา: คุณเจริญไปรับพี่ที่บ้านค่ะ ตอนนั้นพี่พักอยู่กับคุณลุง ซึ่งเป็นเพื่อนรักของคุณพ่ออยู่แถวบางพลัด จรัญสนิทวงศ์ ฝั่งธนฯ
ศ.เจริญ : สมัยก่อนการเดินทางถือว่าลำบากมาก เพราะบ้านผมอยู่แถวพร้อมพงษ์ แต่ไปจีบผู้หญิงที่บางพลัด (หัวเราะ) ดีที่ยุคนั้นการจราจรไม่เลวร้ายเหมือนสมัยนี้ ตอนนั้นขับรถโฟลค์เต่าเล็กๆ ไป (ยิ้มสดชื่น)
Hug : อาจารย์เจริญชอบคุณจิตราตรงไหนคะ
ศ.เจริญ : เขาเป็นคนน่ารัก ไม่พูดมาก เรียบร้อย มาจากครอบครัวที่ดี อย่างแม่ยายผมที่เห็นอยู่เนี่ย อายุ 93 แล้วนะ เป็นคุณครู ยังแข็งแรง และทำงานด้านศาสนามาตลอดชีวิต ตอนนั้นคุณลุงคุณจิตรา (นายแพทย์จินดา สิงหเนตร) เป็นนายกเทศมนตรีเชียงใหม่ เมื่อผมได้ครองแชมเปี้ยนแบดมินตันหลายตำแหน่งจากสหพันธ์รัฐมลายู พอกลับไปเชียงใหม่ คุณลุงเขาก็จัดงานต้อนรับแห่ผมไปรอบเมือง ส่วนคุณตาผมเป็นหมอฟัน คุณลุงเขาเป็นนายแพทย์ เป็นเจ้าของโรงพยาบาลจินดา สิงหเนตร ก็รู้จักกันในฐานะคริสเตียน ครอบครัวของเราต่างรู้จักกันหมดเลย
จิตรา : มันเหมือนกับเป็นความผูกพัน แม้ว่าครอบครัวเรารู้จักกัน แต่เราไม่ได้เจอกันเลย คุณเจริญไปเรียนเมืองนอก ไปผ่านชีวิตอะไรมาเยอะแยะ กลับมาเราถึงได้เจอกัน
Hug : แล้วคุณจิตราล่ะคะ รู้สึกชอบอาจารย์เจริญตั้งแต่เมื่อไหร่
จิตรา : เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยได้พูดที่ไหน แต่จะเล่าให้ฟัง (ยิ้ม) ก่อนหน้าที่จะได้เจอกันที่สนามบิน พี่ไปดูหนังกับเพื่อนที่ศาลาเฉลิมไทยในสมัยก่อน (ปัจจุบันคือบริเวณโลหะปราสาท วัดราชนัดดารามวรวิหาร) ออกจากโรงหนังมา เห็นอาจารย์เจริญขับรถโฟลค์เต่าผ่านไป เห็นปั๊บ ก็บอกกับตัวเองว่า คนนี้เป็นแชมเปี้ยนแบดมินตันที่ อยู่ปากซอยบ้านเรานี่นา ใจก็คิดว่า แหม.. ถ้าได้รู้จักคนคนนี้ก็น่าจะดีนะ นั่นคือการเห็นครั้งแรก จากที่ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่สมัยเด็กๆ หลังจากนั้นก็หายไปเลย จนกระทั่งมาเจอกันที่สนามบิน พอเขามาคุยกับเรา ก็รู้สึกได้ว่า เราสองคนไม่ได้ห่างไกลกัน พออาจารย์เจริญขอเบอร์โทรศัพท์ก็เลยให้ แปลกไหมล่ะ (ยิ้ม)
ศ.เจริญ : พอให้ไปแล้วก็คิดในใจว่าเมื่อไหร่จะโทรมา (หัวเราะ) ตอนนั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือด้วยนะ เป็นเบอร์โทรศัพท์ที่ทำงาน คุณจิตราไม่กล้าให้เบอร์บ้านคุณลุง เพราะคุณลุงคุณป้าหวงและดูแลใกล้ชิดมาก
Hug : ใช้เวลาคบกันนานไหมคะ
ศ.เจริญ : ด้วยความที่คุณจิตราเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว ผมจะซี้ซั้วทำเป็นเล่นไม่ได้ (หัวเราะชอบใจ) เราใช้เวลาทำความรู้จักกันประมาณครึ่งปี แต่ก็เหมือนเรารู้จักกันมานานหลายปี เราเจอกันที่สนามบินปี ค.ศ. 1964 ไปเที่ยวกำแพงแสนด้วยกันกับกลุ่มเพื่อนเดือนพฤศจิกายน 1964 วันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1965 เราก็หมั้น พอวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1965 ก็แต่งงาน ทุกอย่างไวอย่างกับจรวดเลย (หัวเราะ)
จิตรา : ที่แต่งงานเร็ว เพราะเราเจอกันทุกวัน ไปรับไปส่ง ไปทานข้าวด้วยกันตลอด ตอนนั้นพี่อายุ 23 ปี อาจารย์เจริญอายุ 28 ปี อาจารย์เจริญไปขอกับคุณพ่อด้วยตัวเอง ไปหมั้นที่เชียงใหม่ แล้วกลับมาแต่งที่กรุงเทพฯ
ศ.เจริญ : ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นสมรสพระราชทานด้วย (ยิ้มภูมิใจ)
จิตรา : พอเสร็จจากพิธีสมรสพระราชทานในพระราชวังจิตรลดา เราก็มาเข้าพิธีและฉลองกันที่โบสถ์วัฒนา
Hug : ชีวิตหลังแต่งงานเป็นอย่างไรคะ
ศ.เจริญ : เราได้รับพระเมตตาจาก พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา พระองค์ ท่านเปรียบเสมือนท่านแม่ของเรา เป็นเจ้านายที่ทรงอยู่ใกล้ชิดตั้งแต่ผมยังไม่ได้ติดทีมชาติ ทรงเห็นผมไต่เต้าทำชื่อเสียงด้านกีฬาแบดมินตันให้แก่ประเทศไทยมาแต่ต้น ได้รับพระมหากรุณาธิคุณทุนพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ไป ศึกษาต่อที่อังกฤษ เรียนจบกลับมาก็ทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง หามรุ่งหามค่ำที่บริษัทลีเวอร์บราเธอร์ ผมดำเนินชีวิตอยู่ในเส้นทางที่ตรงและดีมาโดยตลอด ท่านก็ทรงเมตตาเรามาก ท่านทรงเรียกผมว่า ‘นายห้าง’ พอแต่งงานท่านก็ให้ไปอยู่บ้านหลังเล็กชั้นเดียว ลักษณะเป็นคอทเทจ (Cottage) จะเรียกกระต๊อบก็ได้มั้ง (หันไปถามภรรยาแล้วหัวเราะ)
จิตรา : ท่านมีบ้านแล้วก็มีที่ดินน่ะค่ะ เราหาที่ปลูกบ้านตั้งแต่ก่อนแต่งงาน พอแต่งงาน ท่านประทานให้อยู่บ้านเล็กๆ ให้ เป็นบ้านชั้นเดียว น่ารักมาก เราก็ได้อยู่ที่นั่นระหว่างรอปลูกบ้านหลังใหม่ ตอนน้องแจนเกิด เราก็ยังอยู่บ้านหลังนั้น แต่ตอนโจกับเจเกิด ได้ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่แล้ว
ศ.เจริญ : จากนั้นผมก็สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา ได้ทำงานมั่นคง มีเงินเดือนสูงพอสมควร เพราะผมไม่เที่ยวไนท์คลับ ไม่ดื่มเหล้า มีสูบบุหรี่บ้างเฉพาะเวลาไปเจอลูกค้า แต่ไม่ได้ติดบุหรี่ พอมีลูกก็เลิกเด็ดขาด เงินทองก็เลยพอมีเหลือเก็บ ตอนเป็นผู้จัดการเขตภาคใต้ ผมมีเงินเก็บเยอะเลย เพราะเงินเดือนแทบไม่ได้ใช้ การทำงานในต่างจังหวัดบริษัทจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้
Hug : เรียกว่าอาจารย์สร้างเนื้อสร้างตัวได้ตั้งแต่หนุ่มๆ
ศ.เจริญ : ครับ ตอนนั้นตั้งใจสร้างเนื้อสร้างตัวเองจริงๆ ทำงานเอาจริงเอาจังมาก คนอื่นทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ผมทำงานวันละ 14-15 ชั่วโมง มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาเล่าให้ฟังในตอนหลังว่า ตอนที่เขาสัมภาษณ์ผม เขาคิดว่าผมเป็นดารานักกีฬา ผมคงทำงานด้านการตลาดการขายไม่ได้ คงมาเป็นแค่ฉุยฉายพราหมณ์โฉบไปโฉบมาในบริษัท และท่านก็คาดผิด เพราะผมไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมใช้วินัยที่ฝึกมาจากการเล่นกีฬาเพื่อความเป็นเลิศมาใช้ในการทำงานเพื่อความเป็นเลิศ ซึ่งมันก็ได้ผล และ ติดเป็นสไตล์การทำงานของผมมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าผมจะทำงานแขนงไหน เป็นนักวิชาการ เป็นนักกีฬา เป็นนักเขียน เป็นนักบริหาร ผมใช้ปรัชญาและแนวทางการทำงานในสไตล์นี้ ทำให้ทุกอย่างเกิดประสิทธิผลมาโดยตลอด
Hug : ระยะแรกมีอุปสรรคเรื่องการปรับตัวบ้างไหมคะ
ศ.เจริญ : ชีวิตคู่ ชีวิตการแต่งงานก็มีกันทุกคู่แหละ เขาเรียกว่า Period of Adjustments แต่ คู่ของเราไม่ได้ปรับตัวยาก คือผมทำตัวเป็นตัวผม ส่วนเขาก็ทำตัวเป็นตัวเขา ในขณะเดียวกัน ผมเป็นผู้ชาย ต้องเป็นผู้นำในการปรับตัว สิ่งสำคัญที่สุดคือ ชีวิตผมเรียบง่าย ไม่ได้ต้องการอะไรมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องการกินการอยู่ ส่วนตัวเขาก็พยายามปรับตัวเป็นแม่บ้านที่ดี พยายามทำอาหารเอาใจผม (สบตากันแล้วยิ้ม)
จิตรา : จาก ที่ทำอาหารไม่ค่อยเป็นเลย เพราะเป็นลูกคนเดียว พี่มาเรียนรู้เองที่หลัง คุณเจริญเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย อะไรก็ได้ ขอแค่อาหารครบ 5 หมู่ก็พอแล้ว
Hug : แต่งงานแล้วนานไหมคะกว่าจะมีลูก
ศ.เจริญ : ผมแต่งงานปี ค.ศ. 1965 น้องแจนเกิดปี ค.ศ. 1966 ไม่ได้ชิงสุกก่อนห่ามนะ(หัวเราะ) แต่แต่งปุ๊บติดปั๊บเลย เราแต่งงานเดือนมีนาคม พอพฤษภาคมก็ท้องเลย
จิตรา : เราอยากมีค่ะ ตั้งใจไว้เลยว่า แต่งงานแล้วจะมีลูกทันที (เสียงหนักแน่น)
Hug : อาจารย์ยึดหลักอะไรในการดำเนินชีวิตคู่
ศ.เจริญ : ชีวิตคู่ควรเริ่มให้เป็นครอบครัวที่อยู่อย่างเรียบง่าย จะทำให้หลายๆ อย่างง่ายขึ้น พระราชดำรัสที่ว่า ‘ชีวิตพอเพียง’ เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตดำเนินไปอย่างสมเหตุสมผลที่สุด ผมเคยเล่าเรื่องพระราชดำริของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงให้ฝรั่งฟัง ฝรั่งฟังแล้วซึ้งใจมาก เขาบอกว่า ถ้าโลกนี้รู้จักเดินตามเบื้องพระยุคลบาทเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง โลกจะเป็นโลกที่น่าอยู่มากขึ้น พระองค์เคยรับสั่งในวันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ ปีหนึ่งว่า Our Loss is our gain หมายถึง การขาดทุนของเราคือกำไร ซึ่งผมชอบมาก ชีวิตที่มีความพอเพียง หรือ Simplicity of life จะทำให้ชีวิตการทำงาน ชีวิตครอบครัว ชีวิตส่วนตัว มีความสุขมากขึ้น
จิตรา : เราต้องใช้ชีวิตให้มีความพอดี ให้ดำเนินไปอย่างง่ายๆ สบายๆ แต่เราก็ต้องทำงานด้านสังคมด้วย พี่กับอาจารย์เจริญเป็นคนที่ทำงานจิตอาสาทั้งคู่ การทำงานจิตอาสาทำให้เรามีความสุข แต่เราต้องไม่บีบรัดตัวเอง เต็มใจไปเราก็ไป ถ้าเรามีภารกิจ เราก็ไม่ไป เราต้องแบ่งเวลาให้เป็น ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ชีวิตจึงจะมีความสุข