สืบเนื่องจาก กระทู้นี้
http://pantip.com/topic/31401745
เห็นมีบางคนโพสต์ อยากรู้เรื่องของทักษิณ เลยจัดให้
เรื่องของทักษิณ บางส่วน ก๊อปมาจากกระทู้ด้านล่าง
Blowing the Whistle ของนิตยสาร The Economist ฉบับ 16 พย 56
ฉบับดังกล่าวจะไม่วางจำหน่ายในประเทศไทยเพราะมีเนื้อหาละเอียดอ่อนและอาจส่งผลกระทบกับผู้จัดจำหน่ายได้....
ในความเห็นของผม ทุกคนต้องยอมรับว่า ฐานเสียงส่วนใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ก็คือ คนยากจนในชนบททั่วประเทศ ประเด็นคำถามต่อมาก็คือว่า คนยากจน คือคนโง่ใช่หรือไม่ที่ถูกหลอกให้ไปเลือกพรรคเพื่อไทย แล้วคนชั้นกลางและคนรวยเป็นคนดีและเป็นผู้ทรงภูมิปัญญา ตามที่พวกเขาคิดกันเองใช่หรือเปล่า
มูฮัมหมัด ยูนุส เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ปี 2006 อาจารย์ปริญญาเอก สาขาเศรษฐศาสตร์ ผู้ก่อตั้งธนาคารคนจน จากบังกลาเทศ กล่าวไว้ว่า คนจนไม่ใช่คนโง่ แต่คนจนคือคนด้อยโอกาส
ถ้าเราเอาเมล็ดพันธุ์พืชชนิดเดียวกัน เมล็ดหนึ่งปลูกในกระถาง อีกเมล็ดหนึ่งปลูกลงดินซึ่งมีการรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ย แน่นอนเมล็ดที่ปลูกในกระถางมันก็ต้องโตไปเป็นต้นไม้ที่แคระแกรน ซึ่งโดยสายพันธุ์ของมันแล้วมันคือชนิดเดียวกับเมล็ดที่ปลูกลงดินซึ่งโตเอาๆเพราะมีทุกอย่างเพียบพร้อม ยูนุส กล่าวว่า ถ้าคนจนเป็นคนโง่ ป่านนี้คนจนตายหมดโลกไปแล้ว เพราะการดำรงชีพอยู่ของคนจนมันยากยิ่งกว่าการดำรงชีพของคนรวยหลายเท่านัก แต่พวกเขากลับหาวิธีดิ้นรนเพื่อที่จะมีชีวิตให้อยู่รอดได้ ทั้ง ๆ ที่มีทรัพยากรอย่างจำกัด
ดังนั้นถ้าหยิบยื่นโอกาสให้พวกเขา พวกเขาก็สามารถเติบโตไปเป็นต้นไม้ที่โตใหญ่แบบเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกลงดินได้..แล้วใครคือผู้ฉกฉวยโอกาสจากคนพวกนี้ไป คำตอบก็คือบรรดาชนชั้นลาง คนรวย และผู้มีอำนาจ ซึ่งมันเป็นมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์แล้ว
การจะประณามใครว่าโง่นั้น ต้องวัดกันที่ IQ การที่บางคนจบการศึกษาสูง ๆ แล้วไปดูถูกคนที่ไม่มีโอกาสเรียนว่าโง่นั้น จึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ถ้าจะวัดกันมันต้องให้โอกาสเขาไปเรียนเหมือนคุณแล้วมาวัดกันว่าใครเก่งกว่าใคร ( ซึ่งเราก็เคยเห็นพวกความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดมาก็มาก พวกวัวลืมตีนมาก็แยะ) แต่คนจนไม่มีโอกาสนั้นอยู่แล้ว แค่ค่าแรงวันละ 300 บาทพวกคุณยังบอกว่ามากเกินไปจะใช้อะไรกันนักหนา
ให้ไปกู้เงินจากธนาคารหรือ คุณมีหลักทรัพย์ค้ำประกันเท่าไร ระบบธนาคารจึงเอื้อประโยชน์กับคนรวย ส่วนคนจน ที่จนอยู่แล้วจึงต้องไปกู้เงินนอกระบบซึ่งดอกเบี้ยก็แพงกว่าหลายเท่าดู ๆ ไปแล้วชีวิตคนจนก็จึงเป็นเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด
ดังนั้นถ้ามีใครที่หยิบยื่นโอกาสให้กับคนจน พวกเขาก็ต้องชื่นชมและสำนึกบุญคุณเป็นธรรมดา ขนาดหมาเวลาให้ข้าวมันมันยังกระดิกหางให้ หรือเวลาเล่น golf ยังมี Handicap ให้แต้มต่อกับพวกมือไม่ถึงเพื่อให้เล่นกันแบบ Fair Play เมื่อนายกทักษิณให้แต้มต่อกับคนจนด้วยนโยบายประชานิยม
เพื่อให้คนจนลืมตาอ้าปากได้ และมีที่ยืนในสังคมมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน คนกลุ่มนี้กลับไม่พอใจเพราะพวกเขาครอบครองทุกอย่างมาช้านานจนความคิดฝังอยู่ในกะโหลกว่าอำนาจและผลประโยชน์มันคือติ่งที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด ดังนั้นใครจะมาเอาไปไม่ได้ต้องตกอยู่ในกลุ่มของบริวารว่านเครือเท่านั้น
นายกทักษิณ ทำให้คนพวกนี้รู้จักกับคำว่า "คนป่ามีปืน" อำนาจของคนจนยังมีอยู่ มันคืออำนาจบริสุทธิ์ที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ทุก ๆ คนต้องมีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกัน ไม่มีใครได้สิทธิ์ มีติ่งมือยาวกว่าใครแบบในระบอบเก่า ๆ ที่ผ่านมา ใครเสียเปรียบก็ต้องให้แต้มต่อเพื่อความยุติธรรม (Fair Play)
โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคสวัสดิการคนจนไม่ดีตรงไหน โครงการสินค้าโอทอป ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนมันไม่ดีตรงไหน โครงการกองทุนหมู่บ้านให้คนจนมีทุนให้กู้ยืมไปลงทุนประกอบอาชีพมันไม่ดีตรงไหน โครงการบ้านเอื้ออาทรให้คนจนมีที่อยู่อาศัยเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตมันไม่ดีตรงไหน โครงการสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงให้ทุกคนใช้เดินทางยังไงมันก็ดีกว่าเอาเงินไปสร้างถนนให้คนรวยซื้อรถเอามาวิ่งผลาญน้ำมัน แต่รถไฟฟ้าทำแล้วประชาชนซื้อตั๋วรัฐมีรายได้ ขนส่งคนได้คราวละมาก ๆ สะดวกสบาย เดินทางตรงเวลา ประหยัดน้ำมันไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม แล้วมันไม่ดีตรงไหน
มูฮัมหมัด ยูนุส กล่าวไว้ว่า ความยากจนสามารถทำให้หมดไปจากโลกนี้ได้ เพราะรากเหง้าของความยากจนมันมาจากระบบการบริหารไม่ใช่มาจากตัวคน ความยากจนจึงไม่ใช่กรรมพันธุ์ ทุกคนสามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้ เหมือนกับประเทศยากจนอื่นๆที่สามารถหลุดพ้นจากความยากจนไปแล้วในหลายประเทศจาการพัฒนา (เช่น ไต้หวัน เกาหลี สิงคโปร์ ก็เคยยากจนกว่าไทยมาก่อน แต่ไทยยังคงวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์)
แต่กลุ่มอำนาจเก่าของประเทศนี้กลับกล่าวว่าคนจนต้องเจียมตัว คนจน คือ คนโง่ ความจนเป็นเรื่องของเคราะห์กรรม(ทั้งๆที่คนจนคือคนด้อยโอกาสแต่คุณกลับไม่เคยหยิบยื่นโอกาสให้พวกเขา) เกิดมาชาตินี้มีกรรมต้องทำบุญไว้มาก ๆ ชาติหน้าจะได้สบายแบบพวกเขา ในอดีตที่ผ่าน ๆ มาจึงไม่ค่อยมีนโบายช่วยเหลือคนจนที่ชัดเจนและจับต้องได้เหมือนในยุคของ นายกทักษิณ ชินวัตร
ดังนั้น การออกมาเป่านกหวีดเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในเวลานี้ จึงคือ หนังม้วนเก่าที่แค่เปลี่ยนตัว Mascot และมีนกหวีดเป็น accessory
ผู้กำกับกิจกรรมยังคงเป็นกลุ่มอำนาจเก่าฝ่ายอนุรักษ์นิยม ผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่วนมากยังเป็นชนชั้นกลาง ชนชั้นสูงพร้อมฝูงทาสที่ปล่อยแล้วไม่ไปบางส่วน ส่วนเนื้อหาของกิจกรรมก็คือ จะใช้ระบบการปกครองอะไรก็ได้ขอเพียงแต่ให้อำนาจและผลประโยชน์ยังคงตกอยู่ในกลุ่มของตัวเองและพวกพ้องเป็นพอ (คนส่วนใหญ่ไม่เกี่ยว)
ส่วนเพลงประกอบกิจกรรมขณะเป่านกหวีดก็คือ ทักษิณโกงๆๆ และสำรอกถ้อยคำหยาบคายออกมาเป็น ช่วง ๆ (ไม่เกี่ยวกับหมี) ซึ่งในทางจิตวิทยาถือว่ามันคือการสำเร็จความใคร่ทางปากแบบหนึ่งของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าอารยะขัดขืนโดยมีกลุ่มดาราเจ้าน้ำตาทียกโขยงกันมาเรียกเรทติ้งร่วมด้วยบางส่วน (รวมทั้งผู้กำกับตุ้งติ้งบางคน)
ส่วนพวกขี้ข้าคงไม่เกี่ยว คงต้องให้พวกคนดีมีการศึกษาเขาเป่านกหวีดจนหูแตกและเป็นคางทูม สร้างความเลอะเทอะและเละเทะกันต่อไปซึ่งหลายคนคงจะเห็นตอนจบในไม่ช้านี้ว่าการกระทำซ้ำซากกลุ่มคนบ้าพวกนี้ (บ้าอำนาจ บ้าผลประโยชน์ บ้ากามบางคน)จะลงเอยแบบไหน...
ส่วนเนื้อหา เรื่องเป่านกหวีด ของนิตยสาร The Economist ถ้าใครสนใจสามารถอ่านได้ที่
http://prachatai.com
เรื่องของทักษิณ ที่มีบางคนอยากรู้....
เห็นมีบางคนโพสต์ อยากรู้เรื่องของทักษิณ เลยจัดให้
เรื่องของทักษิณ บางส่วน ก๊อปมาจากกระทู้ด้านล่าง
Blowing the Whistle ของนิตยสาร The Economist ฉบับ 16 พย 56
ฉบับดังกล่าวจะไม่วางจำหน่ายในประเทศไทยเพราะมีเนื้อหาละเอียดอ่อนและอาจส่งผลกระทบกับผู้จัดจำหน่ายได้....
ในความเห็นของผม ทุกคนต้องยอมรับว่า ฐานเสียงส่วนใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ก็คือ คนยากจนในชนบททั่วประเทศ ประเด็นคำถามต่อมาก็คือว่า คนยากจน คือคนโง่ใช่หรือไม่ที่ถูกหลอกให้ไปเลือกพรรคเพื่อไทย แล้วคนชั้นกลางและคนรวยเป็นคนดีและเป็นผู้ทรงภูมิปัญญา ตามที่พวกเขาคิดกันเองใช่หรือเปล่า
มูฮัมหมัด ยูนุส เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ปี 2006 อาจารย์ปริญญาเอก สาขาเศรษฐศาสตร์ ผู้ก่อตั้งธนาคารคนจน จากบังกลาเทศ กล่าวไว้ว่า คนจนไม่ใช่คนโง่ แต่คนจนคือคนด้อยโอกาส
ถ้าเราเอาเมล็ดพันธุ์พืชชนิดเดียวกัน เมล็ดหนึ่งปลูกในกระถาง อีกเมล็ดหนึ่งปลูกลงดินซึ่งมีการรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ย แน่นอนเมล็ดที่ปลูกในกระถางมันก็ต้องโตไปเป็นต้นไม้ที่แคระแกรน ซึ่งโดยสายพันธุ์ของมันแล้วมันคือชนิดเดียวกับเมล็ดที่ปลูกลงดินซึ่งโตเอาๆเพราะมีทุกอย่างเพียบพร้อม ยูนุส กล่าวว่า ถ้าคนจนเป็นคนโง่ ป่านนี้คนจนตายหมดโลกไปแล้ว เพราะการดำรงชีพอยู่ของคนจนมันยากยิ่งกว่าการดำรงชีพของคนรวยหลายเท่านัก แต่พวกเขากลับหาวิธีดิ้นรนเพื่อที่จะมีชีวิตให้อยู่รอดได้ ทั้ง ๆ ที่มีทรัพยากรอย่างจำกัด
ดังนั้นถ้าหยิบยื่นโอกาสให้พวกเขา พวกเขาก็สามารถเติบโตไปเป็นต้นไม้ที่โตใหญ่แบบเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกลงดินได้..แล้วใครคือผู้ฉกฉวยโอกาสจากคนพวกนี้ไป คำตอบก็คือบรรดาชนชั้นลาง คนรวย และผู้มีอำนาจ ซึ่งมันเป็นมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์แล้ว
การจะประณามใครว่าโง่นั้น ต้องวัดกันที่ IQ การที่บางคนจบการศึกษาสูง ๆ แล้วไปดูถูกคนที่ไม่มีโอกาสเรียนว่าโง่นั้น จึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ถ้าจะวัดกันมันต้องให้โอกาสเขาไปเรียนเหมือนคุณแล้วมาวัดกันว่าใครเก่งกว่าใคร ( ซึ่งเราก็เคยเห็นพวกความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดมาก็มาก พวกวัวลืมตีนมาก็แยะ) แต่คนจนไม่มีโอกาสนั้นอยู่แล้ว แค่ค่าแรงวันละ 300 บาทพวกคุณยังบอกว่ามากเกินไปจะใช้อะไรกันนักหนา
ให้ไปกู้เงินจากธนาคารหรือ คุณมีหลักทรัพย์ค้ำประกันเท่าไร ระบบธนาคารจึงเอื้อประโยชน์กับคนรวย ส่วนคนจน ที่จนอยู่แล้วจึงต้องไปกู้เงินนอกระบบซึ่งดอกเบี้ยก็แพงกว่าหลายเท่าดู ๆ ไปแล้วชีวิตคนจนก็จึงเป็นเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด
ดังนั้นถ้ามีใครที่หยิบยื่นโอกาสให้กับคนจน พวกเขาก็ต้องชื่นชมและสำนึกบุญคุณเป็นธรรมดา ขนาดหมาเวลาให้ข้าวมันมันยังกระดิกหางให้ หรือเวลาเล่น golf ยังมี Handicap ให้แต้มต่อกับพวกมือไม่ถึงเพื่อให้เล่นกันแบบ Fair Play เมื่อนายกทักษิณให้แต้มต่อกับคนจนด้วยนโยบายประชานิยม
เพื่อให้คนจนลืมตาอ้าปากได้ และมีที่ยืนในสังคมมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน คนกลุ่มนี้กลับไม่พอใจเพราะพวกเขาครอบครองทุกอย่างมาช้านานจนความคิดฝังอยู่ในกะโหลกว่าอำนาจและผลประโยชน์มันคือติ่งที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด ดังนั้นใครจะมาเอาไปไม่ได้ต้องตกอยู่ในกลุ่มของบริวารว่านเครือเท่านั้น
นายกทักษิณ ทำให้คนพวกนี้รู้จักกับคำว่า "คนป่ามีปืน" อำนาจของคนจนยังมีอยู่ มันคืออำนาจบริสุทธิ์ที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ทุก ๆ คนต้องมีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกัน ไม่มีใครได้สิทธิ์ มีติ่งมือยาวกว่าใครแบบในระบอบเก่า ๆ ที่ผ่านมา ใครเสียเปรียบก็ต้องให้แต้มต่อเพื่อความยุติธรรม (Fair Play)
โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคสวัสดิการคนจนไม่ดีตรงไหน โครงการสินค้าโอทอป ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนมันไม่ดีตรงไหน โครงการกองทุนหมู่บ้านให้คนจนมีทุนให้กู้ยืมไปลงทุนประกอบอาชีพมันไม่ดีตรงไหน โครงการบ้านเอื้ออาทรให้คนจนมีที่อยู่อาศัยเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตมันไม่ดีตรงไหน โครงการสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงให้ทุกคนใช้เดินทางยังไงมันก็ดีกว่าเอาเงินไปสร้างถนนให้คนรวยซื้อรถเอามาวิ่งผลาญน้ำมัน แต่รถไฟฟ้าทำแล้วประชาชนซื้อตั๋วรัฐมีรายได้ ขนส่งคนได้คราวละมาก ๆ สะดวกสบาย เดินทางตรงเวลา ประหยัดน้ำมันไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม แล้วมันไม่ดีตรงไหน
มูฮัมหมัด ยูนุส กล่าวไว้ว่า ความยากจนสามารถทำให้หมดไปจากโลกนี้ได้ เพราะรากเหง้าของความยากจนมันมาจากระบบการบริหารไม่ใช่มาจากตัวคน ความยากจนจึงไม่ใช่กรรมพันธุ์ ทุกคนสามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้ เหมือนกับประเทศยากจนอื่นๆที่สามารถหลุดพ้นจากความยากจนไปแล้วในหลายประเทศจาการพัฒนา (เช่น ไต้หวัน เกาหลี สิงคโปร์ ก็เคยยากจนกว่าไทยมาก่อน แต่ไทยยังคงวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์)
แต่กลุ่มอำนาจเก่าของประเทศนี้กลับกล่าวว่าคนจนต้องเจียมตัว คนจน คือ คนโง่ ความจนเป็นเรื่องของเคราะห์กรรม(ทั้งๆที่คนจนคือคนด้อยโอกาสแต่คุณกลับไม่เคยหยิบยื่นโอกาสให้พวกเขา) เกิดมาชาตินี้มีกรรมต้องทำบุญไว้มาก ๆ ชาติหน้าจะได้สบายแบบพวกเขา ในอดีตที่ผ่าน ๆ มาจึงไม่ค่อยมีนโบายช่วยเหลือคนจนที่ชัดเจนและจับต้องได้เหมือนในยุคของ นายกทักษิณ ชินวัตร
ดังนั้น การออกมาเป่านกหวีดเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในเวลานี้ จึงคือ หนังม้วนเก่าที่แค่เปลี่ยนตัว Mascot และมีนกหวีดเป็น accessory
ผู้กำกับกิจกรรมยังคงเป็นกลุ่มอำนาจเก่าฝ่ายอนุรักษ์นิยม ผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่วนมากยังเป็นชนชั้นกลาง ชนชั้นสูงพร้อมฝูงทาสที่ปล่อยแล้วไม่ไปบางส่วน ส่วนเนื้อหาของกิจกรรมก็คือ จะใช้ระบบการปกครองอะไรก็ได้ขอเพียงแต่ให้อำนาจและผลประโยชน์ยังคงตกอยู่ในกลุ่มของตัวเองและพวกพ้องเป็นพอ (คนส่วนใหญ่ไม่เกี่ยว)
ส่วนเพลงประกอบกิจกรรมขณะเป่านกหวีดก็คือ ทักษิณโกงๆๆ และสำรอกถ้อยคำหยาบคายออกมาเป็น ช่วง ๆ (ไม่เกี่ยวกับหมี) ซึ่งในทางจิตวิทยาถือว่ามันคือการสำเร็จความใคร่ทางปากแบบหนึ่งของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าอารยะขัดขืนโดยมีกลุ่มดาราเจ้าน้ำตาทียกโขยงกันมาเรียกเรทติ้งร่วมด้วยบางส่วน (รวมทั้งผู้กำกับตุ้งติ้งบางคน)
ส่วนพวกขี้ข้าคงไม่เกี่ยว คงต้องให้พวกคนดีมีการศึกษาเขาเป่านกหวีดจนหูแตกและเป็นคางทูม สร้างความเลอะเทอะและเละเทะกันต่อไปซึ่งหลายคนคงจะเห็นตอนจบในไม่ช้านี้ว่าการกระทำซ้ำซากกลุ่มคนบ้าพวกนี้ (บ้าอำนาจ บ้าผลประโยชน์ บ้ากามบางคน)จะลงเอยแบบไหน...
ส่วนเนื้อหา เรื่องเป่านกหวีด ของนิตยสาร The Economist ถ้าใครสนใจสามารถอ่านได้ที่ http://prachatai.com