สงสัยมานานหลายปีแล้วว่าเหตุใดสื่อยักษ์ใหญ่ของตะวันตก รวมไปถึงโทรทัศน์บีบีซี.ของอังกฤษ สถานีข่าวซีเอ็นเอ็นของสหรัฐ ตลอดจนสำนักข่าวไม่ว่าจะเป็นเอพี,เอเอฟพีและรอยเตอร์ ซึ่งในช่วงหลังมีสำนักข่าวซินหัวของจีนและอัลจาซีราในกาตาร์เข้ามาเกาะกลุ่มอยู่ด้วย จึงมักจะนำเสนอภาพของประเทศไทยในมุมมองที่เต็มไปด้วยอคติหรือมีธงอยูในใจ ภาพลักษณ์ของประเทศไทยจึงบูดเบี้ยวไม่ตรงกับความเป็นจริง ไม่สมกับเป็นสื่อยักษ์ใหญ่ที่คุยว่ามีเครือข่ายกว้างขวางครอบคลุมไปทั่วทุกมุมโลกแม้แต่นิดเดียว
ตัวอย่างล่าสุดที่เห็นได้ชัดก็คือการนำเสนอตัวเลขจำนวนของคนที่เข้าร่วมการเดินขบวนครั้งใหญ่สุดเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา จากภาพถ่ายดาวเทียมล้วนแต่ระบุตรงกันว่าจำนวนผู้ประท้วงมีมากกว่าหนึ่งล้านคน และมากกว่าจำนวนผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 24 พ.ย. ซึ่งในครั้งนั้น มีการคำนวณตามหลักมาตรฐานสากลแล้วได้ตัวเลขคร่าวๆว่ามีผู้เข้าร่วมราว 1 ล้าน 2 แสนคน
แต่การชุมนุมเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ซึ่งมีคนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด สื่อต่างประเทศต่างอ้างตัวเลขของรัฐบาลว่ามีแค่ 1 แสน 5 หมื่นคน โดยสื่อเหล่านั้นไม่คิดจะออกไปดูด้วยตาตัวเองแล้วรายงานตามสถานการณ์ที่เป็นจริงให้สมกับเป็นสื่อมืออาชีพแม้แต่น้อย
ยิ่งกว่านั้น สื่อต่างประเทศยังจงใจนำเสนอแต่ข่าวการแถลงของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มากกว่าจะไปสัมภาษณ์ความเห็นของแกนนำการประท้วงหรือผู้ประท้วงว่าเหตุใดจึงออกมาชุมนุมมากผิดปรกติเช่นนี้ หรือไม่มีการวิเคราะห์สาเหตุที่คนไทยนับล้านๆ คนรวมไปถึงนักวิชาการชื่อดังต่างปฏิเสธรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ มุ่งแต่นำเสนอว่าคนไทยควรจะไปเลือกตั้ง ราวกับว่าการเลือกตั้งจะช่วยแก้ปัญหาได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็ไม่ปาน โดยไม่พยายามวิเคราะห์ว่าสาเหตุใดจึงมีกระแสเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองและพรรคการเมืองก่อนมีการเลือกตั้ง
อคตินี้ยิ่งเห็นได้ชัดเมื่อสหรัฐประกาศสนับสนุนให้คนไทยไปเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. กลับตาลปัตรกับการประกาศสนับสนุนให้ชาวยูเครนซึ่งกำลังประท้วงขับไล่รัฐบาลด้วยวิธีการรุนแรงให้ออกไปล้มรัฐบาลให้ได้เพียงเพราะรัฐบาลนี้เตรียมจะผละจากอกประชาคมยุโรป (อียู) หันไปซบออกรัสเซียแทน
ส่วนหนึ่งของคำตอบจึงมาถึงบางอ้อว่าเป็นเพราะรัฐบาลประเทศมหาอำนาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่ในไทยและยังเดินหน้าในนโยบายสองมาตรฐานหรืออีกนัยหนึ่งไร้มาตรฐานบนเวทีโลกอยู่เหมืนเดิม
เหนืออื่นใด เป็นความสำเร็จของนโยบาย "โลกล้อมประเทศไทย" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ฟอกตัวเองและรัฐบาลของน้องสาวผ่านบริษัทโฆษณาชื่อดังแห่งหนึ่งของอังกฤษที่ช่วยเป็นสื่อกลางทำประชาสัมพันธ์ให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์จนภาพลักษณ์ออกมาดูดี ทั้งๆ ที่คนไทยต่างเห็นกันทั่วว่าเธอให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษฟังแล้วแทบไม่รู้เรื่อง แต่สื่อตะวันตกส่วนใหญ่กลับสามารถเขียนข่าวจนออกมาดูดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เครื่องมือสำคัญของของพ.ต.ท.ทักษิณในการล้อมประเทศไทยให้อยู่หมัดก็คือการจ้างบริษัท เบลล์ พ็อตทิงเจอร์ (Bell Pottinger) บริษัทพีอาร์ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของอังกฤษให้ช่วยทำหน้าที่ปั้นภาพลักษณ์ของตัวเองและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้ดูดีในสายตาของชาวโลก
เมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์หนังสือพิมพ์การ์เดียนของอังกฤษได้นำเสนอบทความพิเศษชิ้นหนึ่งของแอนดี้ เบคเค็ตต์ว่าด้วยประวัติความเป็นมาและปรัชญาการทำงานของบริษัทเบลล์ พ็อตทิงเจอร์ ซึ่งนอกจากจะช่วยทำพีอาร์ให้กับพ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ยังรับจ้างทำประชาสัมพันธ์เพื่อช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับบรรดาเผด็จการ ทรราช ทั้งในอดีตและปัจจุบันอีกนับไม่ถ้วน อาทิ รัฐบาลศรีลังกาในช่วงที่จะเปิดเจรจากับนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีทั้ง(อดีต) ประธานาธิบดีผิวขาว เอฟ ดับเบิลยู เดอ เคิลร์กแห่งแอฟริกาใต้ช่วงที่กำลังหาเสียงแข่งกับนายเนลสัน แมนเดลา ผู้นำขบวนการต่อต้านนโยบายเหยียดผิว มีทั้งนางอัสมา อัล อัสซาด สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งซีเรีย รวมไปถึงนายอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก เผด็จการแห่งเบลารุส มีนางรีเบคาห์ บรู้กส์ ที่เข้ามาใช้บริการหลังเกิดคดีอื้อฉาวเรื่องการดักฟังทางโทรศัพท์
นอกจากนี้ก็ยังเป็นตัวแทนรัฐบาลบาห์เรนและอิยิปต์ เป็นตัวแทนของการบริหารของสหรัฐที่ยึดครองอิรัก ตัวแทนบริษัทน้ำมันทราฟิกุรา ต้นเหตุของการปล่อยมลภาวะ ตัวแทนบริษัทคัวดริลลา ที่กำลังมีปัญหาอย่างหนัก
เป็นตัวแทนของออสการ์ พิสตอเรียส นักกีฬาที่ถูกฟ้องในข้อหาฆาตกรรม เป็นตัวแทนของมูลนิธิปิโนเชต์ระหว่างรณรงค์คัดค้านกรณีอังกฤษกักขังอดีตเผด็จการของชิลีผู้นี้ รวมทั้งยังเป็นตัวแทนของบริษัทอาวุธยักษ์ใหญ่ บีเออี ซิสเต็มส์ ที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว ฯลฯ
บทความชิ้นนี้เริ่มด้วยการโปรยหัวว่า "จากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไปจนถึงบริษัทคัวดริลลาและอัสมา อัล อัสซัด“ ที่กำลังมีปัญหา ล้วนแต่เป็นลูกค้าชื่อกระฉ่อนของบริษัทเบลล์ พ็อตทิงเจอร์ บริษัทพีอาร์ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ และ ทิม เบลล์ ผู้วางแผนรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งให้กับ
สื่ออังกฤษเปิดโปง”ทักษิณ”จ้าง บ.พีอาร์อื้อฉาวระดับโลกปั้นภาพ “ชินวัตร”
ตัวอย่างล่าสุดที่เห็นได้ชัดก็คือการนำเสนอตัวเลขจำนวนของคนที่เข้าร่วมการเดินขบวนครั้งใหญ่สุดเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา จากภาพถ่ายดาวเทียมล้วนแต่ระบุตรงกันว่าจำนวนผู้ประท้วงมีมากกว่าหนึ่งล้านคน และมากกว่าจำนวนผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 24 พ.ย. ซึ่งในครั้งนั้น มีการคำนวณตามหลักมาตรฐานสากลแล้วได้ตัวเลขคร่าวๆว่ามีผู้เข้าร่วมราว 1 ล้าน 2 แสนคน
แต่การชุมนุมเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ซึ่งมีคนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด สื่อต่างประเทศต่างอ้างตัวเลขของรัฐบาลว่ามีแค่ 1 แสน 5 หมื่นคน โดยสื่อเหล่านั้นไม่คิดจะออกไปดูด้วยตาตัวเองแล้วรายงานตามสถานการณ์ที่เป็นจริงให้สมกับเป็นสื่อมืออาชีพแม้แต่น้อย
ยิ่งกว่านั้น สื่อต่างประเทศยังจงใจนำเสนอแต่ข่าวการแถลงของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มากกว่าจะไปสัมภาษณ์ความเห็นของแกนนำการประท้วงหรือผู้ประท้วงว่าเหตุใดจึงออกมาชุมนุมมากผิดปรกติเช่นนี้ หรือไม่มีการวิเคราะห์สาเหตุที่คนไทยนับล้านๆ คนรวมไปถึงนักวิชาการชื่อดังต่างปฏิเสธรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ มุ่งแต่นำเสนอว่าคนไทยควรจะไปเลือกตั้ง ราวกับว่าการเลือกตั้งจะช่วยแก้ปัญหาได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็ไม่ปาน โดยไม่พยายามวิเคราะห์ว่าสาเหตุใดจึงมีกระแสเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองและพรรคการเมืองก่อนมีการเลือกตั้ง
อคตินี้ยิ่งเห็นได้ชัดเมื่อสหรัฐประกาศสนับสนุนให้คนไทยไปเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. กลับตาลปัตรกับการประกาศสนับสนุนให้ชาวยูเครนซึ่งกำลังประท้วงขับไล่รัฐบาลด้วยวิธีการรุนแรงให้ออกไปล้มรัฐบาลให้ได้เพียงเพราะรัฐบาลนี้เตรียมจะผละจากอกประชาคมยุโรป (อียู) หันไปซบออกรัสเซียแทน
ส่วนหนึ่งของคำตอบจึงมาถึงบางอ้อว่าเป็นเพราะรัฐบาลประเทศมหาอำนาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่ในไทยและยังเดินหน้าในนโยบายสองมาตรฐานหรืออีกนัยหนึ่งไร้มาตรฐานบนเวทีโลกอยู่เหมืนเดิม
เหนืออื่นใด เป็นความสำเร็จของนโยบาย "โลกล้อมประเทศไทย" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ฟอกตัวเองและรัฐบาลของน้องสาวผ่านบริษัทโฆษณาชื่อดังแห่งหนึ่งของอังกฤษที่ช่วยเป็นสื่อกลางทำประชาสัมพันธ์ให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์จนภาพลักษณ์ออกมาดูดี ทั้งๆ ที่คนไทยต่างเห็นกันทั่วว่าเธอให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษฟังแล้วแทบไม่รู้เรื่อง แต่สื่อตะวันตกส่วนใหญ่กลับสามารถเขียนข่าวจนออกมาดูดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เครื่องมือสำคัญของของพ.ต.ท.ทักษิณในการล้อมประเทศไทยให้อยู่หมัดก็คือการจ้างบริษัท เบลล์ พ็อตทิงเจอร์ (Bell Pottinger) บริษัทพีอาร์ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของอังกฤษให้ช่วยทำหน้าที่ปั้นภาพลักษณ์ของตัวเองและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้ดูดีในสายตาของชาวโลก
เมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์หนังสือพิมพ์การ์เดียนของอังกฤษได้นำเสนอบทความพิเศษชิ้นหนึ่งของแอนดี้ เบคเค็ตต์ว่าด้วยประวัติความเป็นมาและปรัชญาการทำงานของบริษัทเบลล์ พ็อตทิงเจอร์ ซึ่งนอกจากจะช่วยทำพีอาร์ให้กับพ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ยังรับจ้างทำประชาสัมพันธ์เพื่อช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับบรรดาเผด็จการ ทรราช ทั้งในอดีตและปัจจุบันอีกนับไม่ถ้วน อาทิ รัฐบาลศรีลังกาในช่วงที่จะเปิดเจรจากับนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีทั้ง(อดีต) ประธานาธิบดีผิวขาว เอฟ ดับเบิลยู เดอ เคิลร์กแห่งแอฟริกาใต้ช่วงที่กำลังหาเสียงแข่งกับนายเนลสัน แมนเดลา ผู้นำขบวนการต่อต้านนโยบายเหยียดผิว มีทั้งนางอัสมา อัล อัสซาด สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งซีเรีย รวมไปถึงนายอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก เผด็จการแห่งเบลารุส มีนางรีเบคาห์ บรู้กส์ ที่เข้ามาใช้บริการหลังเกิดคดีอื้อฉาวเรื่องการดักฟังทางโทรศัพท์
นอกจากนี้ก็ยังเป็นตัวแทนรัฐบาลบาห์เรนและอิยิปต์ เป็นตัวแทนของการบริหารของสหรัฐที่ยึดครองอิรัก ตัวแทนบริษัทน้ำมันทราฟิกุรา ต้นเหตุของการปล่อยมลภาวะ ตัวแทนบริษัทคัวดริลลา ที่กำลังมีปัญหาอย่างหนัก
เป็นตัวแทนของออสการ์ พิสตอเรียส นักกีฬาที่ถูกฟ้องในข้อหาฆาตกรรม เป็นตัวแทนของมูลนิธิปิโนเชต์ระหว่างรณรงค์คัดค้านกรณีอังกฤษกักขังอดีตเผด็จการของชิลีผู้นี้ รวมทั้งยังเป็นตัวแทนของบริษัทอาวุธยักษ์ใหญ่ บีเออี ซิสเต็มส์ ที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว ฯลฯ
บทความชิ้นนี้เริ่มด้วยการโปรยหัวว่า "จากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไปจนถึงบริษัทคัวดริลลาและอัสมา อัล อัสซัด“ ที่กำลังมีปัญหา ล้วนแต่เป็นลูกค้าชื่อกระฉ่อนของบริษัทเบลล์ พ็อตทิงเจอร์ บริษัทพีอาร์ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ และ ทิม เบลล์ ผู้วางแผนรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งให้กับ