สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ข้อมูลจากคุณภูติน้อยค่า 
คราวที่แล้วเขียน แล้ว หลายคน บอกว่า งง
น่าจะเขียนถึงแนวคิดก่อน
1.ตลาดการลงทุนตราสารทุนในโลกแบ่งเป็นสองตลาด
1.1 ตลาดพัฒนาแล้ว Developed Market กับ
1.2 ตลาดกำลังพัฒนา หรือบางคนเรียกตลาดเกิดใหม่ Emerging Market
สำหรับไทยนั้น จัดอยู่ในตลาดเกิดใหม่ แต่มีสัดส่วนแค่ 2.46%

2.แต่ละกองทุนจะกำหนด benchmark (ดัชนีชี้วัด)
เพื่อเราจะนำมาเปรียบเทียบ ผลการดำเนินการของแต่ละกองทุน เพื่อการตัดสินใจ
ตัวอย่าง 2 กองทุน นี่ บลจ.เดียวกัน benchmark เหมือน กัน

กองหนึ่งได้ผลตอบแทนมากกว่า benchmark 9.62 อีกตัวต่ำกว่า benchmark -0.74
3.benchmark ของตลาดพัฒนาแล้วแทนด้วย msci world index
สำหรับตลาดเกิดใหม่ แทนด้วย msci Emerging Market
3.1 เมื่อเกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน fund flow เช่นรอบที่แล้ว ที่เกิดวิกฤติที่เมกา
เงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ โดยเข้า (ตามภาพที่ 1) ที่จีนมากสุด 19.38%
เกาหลี 15.95% ไต้หวัน 11.47% บราซิล 11.64% ....ไทย 2.46%
3.2 ทำไมต้องไหลตามสัดส่วน เพราะค่า benchmark คือเป้าหมายที่กองทุนต้องการทำ
ผลตอบแทนให้มากกว่า จึงต้องลงตามสัดส่วนเพราะในกรณีที่ตลาดจีนตก ค่า benchmark ก็ลดลงตามไปด้วย
3.3 กรณี สหรัฐ อัตราการจ้างงานมากกว่า 2 แสนตำแหน่งติดต่อกันสองไตรมาส และอัตราคนว่างงานอยู่ที่ 7%
เป้าหมายที่จะลด qe อยู่ที่ 6.5% ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าจะอาจจะลด กองทุนต่างประเทศจึงดึงเงินออกมาจากตลาดเกิดใหม่
(ทยอยขายเรื่อยๆ ทุกวัน) เพื่อถือเป็นเงินสด สำหรับลงทุนในสหรัฐ ปีนี้ผลตอบแทน +20% ปีหน้าคาดว่าจะประมาณนี้
4.ในการจัดทัพลงทุน บางคนใช้จัดแบบ กองหุ้น+กองตราสาร+กองตลาดเงิน
แต่กรณีนี้ ลงในกองหุ้น 100% โดยมีแนวคิดว่า ในเมื่อเงินทุน fund flow
วิ่งไปวิ่งมาอยู่ระหว่าง สองตลาด ถ้าเราลงทุนพร้อมกันทั้งสองตลาดโดยแบ่งสัดส่วนเท่ากัน (หรือเท่าไหร่แล้วแต่ละคนสะดวก)

ถ้าเรานำผลตอบแทนเมื่อวันที่ 29 พ.ย.56 ของทั้งสองตลาดมาคำนวณ ผลที่ได้คือ

5.อันนี้เราเลยเอาแนวคิดมาลองทำให้เพื่อนดูในการลงทุนหลายๆ แบบ
ซึ่งมีค่า benchmark แตกต่างกันออกไป จะเห็นว่า แทบจะไม่ขาดทุนเลย

รายละเอียดตามกระทู้
http://pantip.com/topic/31371168
แต่ในกรณีที่เราลงทุนในหุ้นไทยทั้ง 100% แม้จะหลายกองทุน
เวลาดี ก็จะดีทั้งหมด แต่เวลาแย่ก็จะพากันแย่ด้วย
สาเหตุเพราะตลาดกองทุนของไทยยังเล็กอยู่ และใช้ค่า benchmark ตัวเดียวกัน
เลยแทนที่เราจะกระจายความเสี่ยง กลายเป็นรวมความเสี่ยงเข้าด้วยกัน ตัวอย่าง

6.ข้อจำกัดของการลงทุนต่างประเทศ
6.1 การซื้อกองต่างประเทศ เราซื้อวันนี้กว่าจะมีผล 2-3 วันข้างหน้า ทำให้
เราไม่สามารถใช้ va ได้ เพราะระหว่างรออาจเกิดความผันผวน ทางที่ดีที่สุดคือลงแบบ dca
และค่าธรรมเนียมในการขาย หรือซื้อแพง อันนี้ต้องเลือกกองทุนด้วยนะ
(เราอาจจะปรับใช้วิธี va โดยการปรับพอร์ต 6 เดือนครั้งหนึ่ง ก็ได้ครับ เช่น ผ่านมา 6 เดือน
กำไร 10% เราก็ขายล็อคกำไรออกมาสัก 5% แบบนี้ก็ได้อยู่)
6.2 กรณีประกันค่าเงิน อันนี้ผมไม่ค่อยคำนึงถึงเท่าไหร่ เพราะเชื่อว่า
ผจก.กองทุน เก่งกว่าเรา เช่นลงทุนในสหรัฐเขาจะไม่ประกัน แต่ลงทุนในญี่ปุ่นจะประกัน
หรือยังไม่แน่ใจ ก็หากองทุนแบบมีประกันค่าเงิน เพื่อความชัวร์ ก็ได้ครับ ส่วนใหญ่เขาก็จะประกัน
สรุปซื้อกองต่างประเทศดู ค่าธรรมเนียม กับการประกันค่าเงิน และผลการดำเนินงานย้อนหลัง
ความรู้ไม่ค่อยมาก อธิบายไม่ค่อยเก่ง ผิดถูกตรงไหน เพื่อนๆ ช่วยเสริมด้วยครับ ถือว่ามาแลกเปลี่ยนความรู้กัน

คราวที่แล้วเขียน แล้ว หลายคน บอกว่า งง

1.ตลาดการลงทุนตราสารทุนในโลกแบ่งเป็นสองตลาด
1.1 ตลาดพัฒนาแล้ว Developed Market กับ
1.2 ตลาดกำลังพัฒนา หรือบางคนเรียกตลาดเกิดใหม่ Emerging Market
สำหรับไทยนั้น จัดอยู่ในตลาดเกิดใหม่ แต่มีสัดส่วนแค่ 2.46%

2.แต่ละกองทุนจะกำหนด benchmark (ดัชนีชี้วัด)
เพื่อเราจะนำมาเปรียบเทียบ ผลการดำเนินการของแต่ละกองทุน เพื่อการตัดสินใจ
ตัวอย่าง 2 กองทุน นี่ บลจ.เดียวกัน benchmark เหมือน กัน

กองหนึ่งได้ผลตอบแทนมากกว่า benchmark 9.62 อีกตัวต่ำกว่า benchmark -0.74
3.benchmark ของตลาดพัฒนาแล้วแทนด้วย msci world index
สำหรับตลาดเกิดใหม่ แทนด้วย msci Emerging Market
3.1 เมื่อเกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน fund flow เช่นรอบที่แล้ว ที่เกิดวิกฤติที่เมกา
เงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ โดยเข้า (ตามภาพที่ 1) ที่จีนมากสุด 19.38%
เกาหลี 15.95% ไต้หวัน 11.47% บราซิล 11.64% ....ไทย 2.46%
3.2 ทำไมต้องไหลตามสัดส่วน เพราะค่า benchmark คือเป้าหมายที่กองทุนต้องการทำ
ผลตอบแทนให้มากกว่า จึงต้องลงตามสัดส่วนเพราะในกรณีที่ตลาดจีนตก ค่า benchmark ก็ลดลงตามไปด้วย
3.3 กรณี สหรัฐ อัตราการจ้างงานมากกว่า 2 แสนตำแหน่งติดต่อกันสองไตรมาส และอัตราคนว่างงานอยู่ที่ 7%
เป้าหมายที่จะลด qe อยู่ที่ 6.5% ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าจะอาจจะลด กองทุนต่างประเทศจึงดึงเงินออกมาจากตลาดเกิดใหม่
(ทยอยขายเรื่อยๆ ทุกวัน) เพื่อถือเป็นเงินสด สำหรับลงทุนในสหรัฐ ปีนี้ผลตอบแทน +20% ปีหน้าคาดว่าจะประมาณนี้
4.ในการจัดทัพลงทุน บางคนใช้จัดแบบ กองหุ้น+กองตราสาร+กองตลาดเงิน
แต่กรณีนี้ ลงในกองหุ้น 100% โดยมีแนวคิดว่า ในเมื่อเงินทุน fund flow
วิ่งไปวิ่งมาอยู่ระหว่าง สองตลาด ถ้าเราลงทุนพร้อมกันทั้งสองตลาดโดยแบ่งสัดส่วนเท่ากัน (หรือเท่าไหร่แล้วแต่ละคนสะดวก)

ถ้าเรานำผลตอบแทนเมื่อวันที่ 29 พ.ย.56 ของทั้งสองตลาดมาคำนวณ ผลที่ได้คือ

5.อันนี้เราเลยเอาแนวคิดมาลองทำให้เพื่อนดูในการลงทุนหลายๆ แบบ
ซึ่งมีค่า benchmark แตกต่างกันออกไป จะเห็นว่า แทบจะไม่ขาดทุนเลย

รายละเอียดตามกระทู้
http://pantip.com/topic/31371168
แต่ในกรณีที่เราลงทุนในหุ้นไทยทั้ง 100% แม้จะหลายกองทุน
เวลาดี ก็จะดีทั้งหมด แต่เวลาแย่ก็จะพากันแย่ด้วย
สาเหตุเพราะตลาดกองทุนของไทยยังเล็กอยู่ และใช้ค่า benchmark ตัวเดียวกัน
เลยแทนที่เราจะกระจายความเสี่ยง กลายเป็นรวมความเสี่ยงเข้าด้วยกัน ตัวอย่าง

6.ข้อจำกัดของการลงทุนต่างประเทศ
6.1 การซื้อกองต่างประเทศ เราซื้อวันนี้กว่าจะมีผล 2-3 วันข้างหน้า ทำให้
เราไม่สามารถใช้ va ได้ เพราะระหว่างรออาจเกิดความผันผวน ทางที่ดีที่สุดคือลงแบบ dca
และค่าธรรมเนียมในการขาย หรือซื้อแพง อันนี้ต้องเลือกกองทุนด้วยนะ
(เราอาจจะปรับใช้วิธี va โดยการปรับพอร์ต 6 เดือนครั้งหนึ่ง ก็ได้ครับ เช่น ผ่านมา 6 เดือน
กำไร 10% เราก็ขายล็อคกำไรออกมาสัก 5% แบบนี้ก็ได้อยู่)
6.2 กรณีประกันค่าเงิน อันนี้ผมไม่ค่อยคำนึงถึงเท่าไหร่ เพราะเชื่อว่า
ผจก.กองทุน เก่งกว่าเรา เช่นลงทุนในสหรัฐเขาจะไม่ประกัน แต่ลงทุนในญี่ปุ่นจะประกัน
หรือยังไม่แน่ใจ ก็หากองทุนแบบมีประกันค่าเงิน เพื่อความชัวร์ ก็ได้ครับ ส่วนใหญ่เขาก็จะประกัน
สรุปซื้อกองต่างประเทศดู ค่าธรรมเนียม กับการประกันค่าเงิน และผลการดำเนินงานย้อนหลัง
ความรู้ไม่ค่อยมาก อธิบายไม่ค่อยเก่ง ผิดถูกตรงไหน เพื่อนๆ ช่วยเสริมด้วยครับ ถือว่ามาแลกเปลี่ยนความรู้กัน

ความคิดเห็นที่ 22
จากหลาย ๆ กระทู้มุงกองทุนที่ผ่านมา (รวมไปถึงหลังไมค์) .. ผมเห็นชอบมีหลายคนถาม ว่าเลือกกองทุนไหนดี .. หรือ กองทุนไหนดีที่สุด
ในระยะยาว 5-10 ปี ย้อนหลัง .. ผมคิดว่า ยังไม่มี บลจ.ไหนสามารถเอาชนะ บลจ.บัวหลวงได้ครับ
หลาย ๆ กองทุนของ บลจ.บัวหลวง ย้อนหลัง 5-10 ปี .. สามารถทำผลตอบแทนเอาชนะดัชนีขาดลอย และ ติดอยู่ในอันดับต้น ๆ มาได้ตลอด
คุณลองไปดูผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี จากเว็บ Morningstarthailand ก็ได้ครับ
จะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปีที่ผ่านมานี้ .. กองทุนของ บลจ.บัวหลวง ติดอันดับถึง 7 อันดับ และ เป็นการติดอันดับ 1-7 แบบเรียงติดกันด้วย อุ๊แม่จ้าวววว ?!!!
อันดับ 1 .. คงไม่ต้องสงสัย BTP ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10 ปี สูงถึง 18% ต่อปีทบต้น ซึ่งสูงมาก ๆ นะครับ สูงเกินกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของนักลงทุนทั่ว ๆ ไป และ เหนือกว่ากองทุนรวมทั้งหมดในตลาด โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงเล่นหุ้นเองให้ปวดหัว
นั่นแสดงว่า ผจก.กองทุนของ BTP เค้าเลือกหุ้น และ รู้จักการ Optimize พอร์ต ได้เก่งมาก ๆ เลยนะครับ
อีกอย่างที่ผมชอบของ BTP ก็คือ .. ผมเคยฟังคุณ วรวรรณ ธาราภูมิ ( CEO บลจ.บัวหลวง ) เค้าบอกว่า กองทุน BTP จะเน้นคัดเลือกหุ้นเด่น ๆ เพียง 10 ตัวเท่านั้น หรืออย่างมาก ก็ไม่เกิน 15 ตัวในพอร์ต
ทั้งนี้ เพราะมันง่ายต่อการติดตาม และ สามารถทำให้การ Optimize พอร์ตเป็นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจุดนี้แหละ ที่ทำให้ BTP แตกต่างจากกองทุนรวมอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป ที่มักจะมีหุ้นในพอร์ตมากกว่า 20-30 ตัว
ซึ่งแบบนั้น จะทำให้การปรับพอร์ตนั้นดูแลได้ยากกว่า และ ผลตอบแทนที่ได้ ก็อาจจะไม่มากพอตามแบบที่ ผจก.กองทุนต้องการ เพราะการมีหุ้นในพอร์ตเยอะมากเกินไปนั่นเอง (แต่ก็จำเป็นต้องลงทุน เพราะเป็นนโยบายของกองทุน)
แต่ก็นั่นแหละ .. ถามว่า ดีในอดีต แล้วอนาคตจะดีมั๊ย ก็คงไม่มีใครตอบได้ .. ถ้า ผจก.กองทุนยังเป็นคนเดิม หรือ ทีมบริหารกองทุนยังคงเป็นทีมเดิม ผมว่า อนาคต ก็น่าจะดีต่อไปครับ
เอ๊ะ !! .. ผมไม่ได้เชียร์ BTP นะครับ .. เพราะผมเอง ก็เคยเป็นคนนึงที่หลงกระแสของ BTP ในช่วงปีที่แล้วเหมือนกัน
ประกอบกับ เห็นหลาย ๆ คนที่ซื้อ BTP แล้วราคามันลง แบบทำใจไม่ได้ .. (จริง ๆ แล้ว ผมเห็นกองทุนยอดฮิตอย่าง HI-DIV , KFSDIV ก็ราคาลงแบบ ฮวบฮาบ จนหลาย ๆ คนก็แทบจะ ใจสลาย เหมือนกัน)
บางที ผมก็อยากจะสรุปแบบนี้ นะครับ ^^
กองทุนหุ้นไม่จ่ายปันผล : BTP (บลจ.บัวหลวง)
กองทุนหุ้นจ่ายปันผลสม่ำเสมอ : BKD (บลจ.บัวหลวง) , KFSDIV (บลจ.กรุงศรี)
กองทุนดัชนีไม่จ่ายปันผล : TMB50 (บลจ.ทหารไทย)
กองทุนดัชนีจ่ายปันผลสม่ำเสมอ : TMB50DV (บลจ.ทหารไทย)
กองทุนหุ้น LTF : KFLTFDIV (บลจ.กรุงศรี)
กองทุนหุ้น RMF : BERMF (บลจ.บัวหลวง)
ทั้งหมด เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ..
*** อยากประสบความสำเร็จในการลงทุน จงเชื่อมั่นในตัวเอง .. อย่าหลงเชื่อคนอื่น ***
ในระยะยาว 5-10 ปี ย้อนหลัง .. ผมคิดว่า ยังไม่มี บลจ.ไหนสามารถเอาชนะ บลจ.บัวหลวงได้ครับ
หลาย ๆ กองทุนของ บลจ.บัวหลวง ย้อนหลัง 5-10 ปี .. สามารถทำผลตอบแทนเอาชนะดัชนีขาดลอย และ ติดอยู่ในอันดับต้น ๆ มาได้ตลอด
คุณลองไปดูผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี จากเว็บ Morningstarthailand ก็ได้ครับ
จะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปีที่ผ่านมานี้ .. กองทุนของ บลจ.บัวหลวง ติดอันดับถึง 7 อันดับ และ เป็นการติดอันดับ 1-7 แบบเรียงติดกันด้วย อุ๊แม่จ้าวววว ?!!!
อันดับ 1 .. คงไม่ต้องสงสัย BTP ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10 ปี สูงถึง 18% ต่อปีทบต้น ซึ่งสูงมาก ๆ นะครับ สูงเกินกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของนักลงทุนทั่ว ๆ ไป และ เหนือกว่ากองทุนรวมทั้งหมดในตลาด โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงเล่นหุ้นเองให้ปวดหัว
นั่นแสดงว่า ผจก.กองทุนของ BTP เค้าเลือกหุ้น และ รู้จักการ Optimize พอร์ต ได้เก่งมาก ๆ เลยนะครับ
อีกอย่างที่ผมชอบของ BTP ก็คือ .. ผมเคยฟังคุณ วรวรรณ ธาราภูมิ ( CEO บลจ.บัวหลวง ) เค้าบอกว่า กองทุน BTP จะเน้นคัดเลือกหุ้นเด่น ๆ เพียง 10 ตัวเท่านั้น หรืออย่างมาก ก็ไม่เกิน 15 ตัวในพอร์ต
ทั้งนี้ เพราะมันง่ายต่อการติดตาม และ สามารถทำให้การ Optimize พอร์ตเป็นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจุดนี้แหละ ที่ทำให้ BTP แตกต่างจากกองทุนรวมอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป ที่มักจะมีหุ้นในพอร์ตมากกว่า 20-30 ตัว
ซึ่งแบบนั้น จะทำให้การปรับพอร์ตนั้นดูแลได้ยากกว่า และ ผลตอบแทนที่ได้ ก็อาจจะไม่มากพอตามแบบที่ ผจก.กองทุนต้องการ เพราะการมีหุ้นในพอร์ตเยอะมากเกินไปนั่นเอง (แต่ก็จำเป็นต้องลงทุน เพราะเป็นนโยบายของกองทุน)
แต่ก็นั่นแหละ .. ถามว่า ดีในอดีต แล้วอนาคตจะดีมั๊ย ก็คงไม่มีใครตอบได้ .. ถ้า ผจก.กองทุนยังเป็นคนเดิม หรือ ทีมบริหารกองทุนยังคงเป็นทีมเดิม ผมว่า อนาคต ก็น่าจะดีต่อไปครับ
เอ๊ะ !! .. ผมไม่ได้เชียร์ BTP นะครับ .. เพราะผมเอง ก็เคยเป็นคนนึงที่หลงกระแสของ BTP ในช่วงปีที่แล้วเหมือนกัน
ประกอบกับ เห็นหลาย ๆ คนที่ซื้อ BTP แล้วราคามันลง แบบทำใจไม่ได้ .. (จริง ๆ แล้ว ผมเห็นกองทุนยอดฮิตอย่าง HI-DIV , KFSDIV ก็ราคาลงแบบ ฮวบฮาบ จนหลาย ๆ คนก็แทบจะ ใจสลาย เหมือนกัน)
บางที ผมก็อยากจะสรุปแบบนี้ นะครับ ^^
กองทุนหุ้นไม่จ่ายปันผล : BTP (บลจ.บัวหลวง)
กองทุนหุ้นจ่ายปันผลสม่ำเสมอ : BKD (บลจ.บัวหลวง) , KFSDIV (บลจ.กรุงศรี)
กองทุนดัชนีไม่จ่ายปันผล : TMB50 (บลจ.ทหารไทย)
กองทุนดัชนีจ่ายปันผลสม่ำเสมอ : TMB50DV (บลจ.ทหารไทย)
กองทุนหุ้น LTF : KFLTFDIV (บลจ.กรุงศรี)
กองทุนหุ้น RMF : BERMF (บลจ.บัวหลวง)
ทั้งหมด เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ..
*** อยากประสบความสำเร็จในการลงทุน จงเชื่อมั่นในตัวเอง .. อย่าหลงเชื่อคนอื่น ***
ความคิดเห็นที่ 10
ต่ออีกนิดค่ะ 
แถมหน่อยหนึ่ง
สัดส่วนที่ตั้งใจไว้ตอนนี้
กองตลาดพัฒนาแล้ว 30%
กองตลาดเกิดใหม่+ตลาดหุ้นไทย 30%
(ตลาดเกิดใหม่+หุ้นไทย ถ้าท่านใด ต้องใช้ rmf+ltf เยอะ
จะลงหุ้นไทย 30% ก็ได้เพราะเราได้ประโยชน์จากการลดภาษี)
กองอื่นๆ ที่ลงทุนในสาธารณูปโภค 30%
เช่น bcare,kf-water (ค่าธรรมเนียมแพงมาก ลดหน่อยได้ไหมครับ)
กำลังพยายามทำอยู่ แต่ผม ltf ผมติดอยู่ในหุ้นไทย ออกไม่ได้
นิดหนึ่งเวลาที่ตลาดเป็นแบบนี้ เราต้องมีวินัย ลงทุนตามแผนที่เราตั้งไว้ เช่น
เดือนละ 2000 ก็ลงทุกเดือน จะทำให้เฉลี่ยดอยให้ต่ำลง
ปล. กองทุน น้ำของกรุงศรี
ค่าธรรมเนียมไม่เกิน 5% ปัจจุบันเรียกเก็บที่ 2%
ตอนนี้ก็เลย มองๆ kf-water กับ kf-europe ของกรุงศรีครับ
ตอนแรกคิดว่า ค่าธรรมเนียมแพง kf-water เรียกเก็บไม่เกิน 5% แต่ปัจจุบันเรียกเก็บที่ 2%
ส่วน kf-europe ซื้อไม่เกิน 1.5% (ขายและสับเปลี่ยนกองไม่เกิน 2% แต่ปัจจุบันยังไม่เรียกเก็บ

แถมหน่อยหนึ่ง
สัดส่วนที่ตั้งใจไว้ตอนนี้
กองตลาดพัฒนาแล้ว 30%
กองตลาดเกิดใหม่+ตลาดหุ้นไทย 30%
(ตลาดเกิดใหม่+หุ้นไทย ถ้าท่านใด ต้องใช้ rmf+ltf เยอะ
จะลงหุ้นไทย 30% ก็ได้เพราะเราได้ประโยชน์จากการลดภาษี)
กองอื่นๆ ที่ลงทุนในสาธารณูปโภค 30%
เช่น bcare,kf-water (ค่าธรรมเนียมแพงมาก ลดหน่อยได้ไหมครับ)
กำลังพยายามทำอยู่ แต่ผม ltf ผมติดอยู่ในหุ้นไทย ออกไม่ได้
นิดหนึ่งเวลาที่ตลาดเป็นแบบนี้ เราต้องมีวินัย ลงทุนตามแผนที่เราตั้งไว้ เช่น
เดือนละ 2000 ก็ลงทุกเดือน จะทำให้เฉลี่ยดอยให้ต่ำลง
ปล. กองทุน น้ำของกรุงศรี
ค่าธรรมเนียมไม่เกิน 5% ปัจจุบันเรียกเก็บที่ 2%
ตอนนี้ก็เลย มองๆ kf-water กับ kf-europe ของกรุงศรีครับ
ตอนแรกคิดว่า ค่าธรรมเนียมแพง kf-water เรียกเก็บไม่เกิน 5% แต่ปัจจุบันเรียกเก็บที่ 2%
ส่วน kf-europe ซื้อไม่เกิน 1.5% (ขายและสับเปลี่ยนกองไม่เกิน 2% แต่ปัจจุบันยังไม่เรียกเก็บ
แสดงความคิดเห็น
[กระทู้มุงกองทน] รายงาน NAV ประจำวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2556 พร้อมข่าวสารจากคุณภูติน้อยค่ะ
กลัวปลารายงานตัว พร้อมรายงาน NAV แล้วค่ะ