Like Father Like Son พ่อครับ รักผมได้มั้ย!!! ( มี Spoil )

กระทู้สนทนา


หนังเรื่องนี้ เหมาะสำหรับเดือนธันวาคมมากๆ เหมาะสำหรับวันพ่อ และเหมาะสำหรับคนที่เป็นพ่อ

หนังเรื่องนี้ ทิ้งคำถามไว้ว่า สำหรับ ความผูกพันทางจิตใจ หรือ ความผูกพันทางสายเลือด สิ่งใดจะเหนียวแน่นกว่า กับคำถามที่ว่า ถ้าเกิดลูกที่เราเลี้ยงมา กลับไม่ใช่ลูกของเราจริงๆ เราจะตัดสินใจอย่างไร

ผู้กำกับ Kore-eda Hirokazu ผู้ที่ชอบสร้างหนังเกี่ยวกับเด็ก และแสดงออกในมุมมองของเด็ก หลังจากเรื่องนี้ ขอบอกกับตัวเองว่าแค่ชื่อผู้กำกับคนนี้ จะตามดูอย่างแน่นอน จริงๆที่บ้าน มีงานของผู้กำกับคนนี้ อีกสองเรื่อง คือ Noboby Know กับ I Wish

ซึ่ง I Wish เป็นอีกเรื่อง ที่อยู่ใน List ของหนังที่ชอบมาก กับเรื่องของเด็กๆ และคำขอปาฎิหารย์ของเด็กๆเหล่านั้น ที่โทนออกมาน่ารัก อบอุ่น ใสซื่อกับความเป็นเด็ก

ส่วน Nobody Know นี่ ยังขอปรับสภาพจิตใจก่อนดู เพราะเห็นว่า หดหู่และทำร้ายจิตใจเหมือนกัน

Like Father Like Son เป็นเรื่องเกี่ยวกับ สองครอบครัว คือครอบครัว ของเรียวตะ และมิโดริ (Masaharu Fukuyama , Machiko Ono) มีลูกชายชื่อ เคย์ตะ กับ ครอบครัวของ ยูได และ ยูคาริ (Lily Franky , Yoko Maki) มีลูกชายชื่อ ริวเซย์ และน้องอีกสองคน

โดยครอบครัวของเรียวตะ จะเป็นครอบครัวสมัยใหม่ มีฐานะดี ตัวเรียวตะเป็นสถาปนิกมีอนาคตไกล อยู่คอนโดหรูในเมือง แต่สำหรับครอบครัวของยูได เป็นแค่ร้านค้าขายอุปกรณ์ไฟฟ้าเล็กๆต่างจังหวัด

ตัวเรียวตะเองก็มีปมเรื่องพ่อเหมือนกัน และตัวเขาก็พยายามที่จะให้ลูกชายเป็นในสิ่งที่เขาต้องการ และขาด เพื่อไม่ให้เหมือนเขาในวัยเด็ก มีความเป็นหัวหน้าครอบครัวสูง ส่วนตัวยูได เป็นลักษณะสามีที่ไม่ค่อยมีปากเสียงกับภรรยา เป็นคนเรื่อยๆ แต่มีเวลาเล่นกับลูกอยู่เสมอ



เรื่องมาเกิดขึ้น เมื่อ ลูกชายของครอบครัวทั้งสอง สลับตัวกัน ด้วยความผิดพลาดที่ไม่ใช่อุบัติเหตุด้วย ต้องไปดูเอง (แต่นั่นเลยไม่แปลกใจที่ แม่ทั่งสองของสองครอบครัว โกรธมาก และมันจะเป็นคำถามที่ว่า เรื่องแค่นี้นะ)

จากนั้น หนังจะพาเราไปดู สภาพการเลี้ยงดูของสองครอบครัว แนวคิดในการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน แต่หนังจะเน้นในส่วนของเรียวตะ ซะมาก เนื่องจากมีปมเรื่องพ่อตัวเอง และความคาดหวังในตัวเคย์ตะ

การดำเนินเรื่อง จะค่อยๆเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ เรื่องเกี่ยวกับสองครอบครัวผ่านทาง ผู้นำครอบครัวทั้งสอง และลูกๆ เหมือนให้คนดูได้ดูเรื่องราวของพวกเขา แต่ก็จะมีประเด็นอะไรต่างๆให้เรากลับมาคิดอยู่หลายฉาก เช่น

- การแนวคิดความผูกพันทางสายเลือด ที่พ่อของเรียวตะได้พูดถึง
- ความไม่แน่ใจของเรียวตะ ที่มีต่อเคย์ตะ ว่า จริงๆแล้ว เขารู้สึกอย่างไร กับคนที่เลี้ยงดูมา แต่กลับไม่ใช่ลูกที่แท้จริง
- ความรักของแม่ทั้งสองครอบครัว ที่มีต่อลูกที่ตัวเองเลี้ยงมา
- แนวคิด การเลี้ยงดู ของ พ่อทั้งสองครอบครัว



ส่วนฉากจบของเรื่อง ก็เป็นปลายเปิด ให้คนดูไปคิดต่อว่า เรื่องราวจะเป็นไงต่อ แต่ขอบอกว่า ปมต่างๆสุดท้าย ก็อยู่ที่ตัวพ่อเอง โดยเฉพาะเรียวตะ ที่แก้ปมในใจได้เรียบร้อยในฉากจบของเรื่อง



สิ่งที่ชอบ

- หนังไม่ได้ บิ๊วแบบฟูมฟาย ว่าชั้นต้องเศร้า ชั้นต้องเอาให้คนดูเสียน้ำตาให้ได้ แต่หนังจะค่อยๆซึม แล้วคุณจะจุกๆในหลายๆฉาก โดยเฉพาะส่วนตัวเอง ตอนที่ เรียวตะ ตัดสินใจแลกตัวเคย์ตะ กับ ริวเซย์ แล้วพอเรียวตะไปส่งยังบ้านของ ยูได ฉาก ที่รถเคลื่อนตัวออกไป แล้ว เห็นภาพ เคย์ตะมองตามรถ ฉากนี้ ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ แต่น้ำตามันซึมๆ เหมือนเคย์ตะจะถามว่า แล้วพ่อจะกลับมารับเขาเมื่อไร?

- ฉากที่เรียวตะ มองภาพ ตัวเองในกล้อง ที่เคย์ตะแอบถ่ายไว้ในอิริยาบทต่างๆ แล้วอยู่ๆก็น้ำตาไหลแบบสะอื้นออกมา ฉากนี้ ลุงฟุคุยาม่า เล่นแบบ สุดยอด รู้เลยว่าความรู้สึกเป็นไง (เหมือนกับตัวเองที่ โอริโอ้(แมว ลูกรัก) หายไป แล้วเราเป็นงั้นเลย น้ำตามันไหลออกมาแบบห้ามไม่อยู่)

- ฉากเปรียบเทียบ จักจั่นที่ใช้เวลา 15 ปี ที่เรียวตะถามไปว่า นานจัง จน ชายหนุ่มคนนึงตอบว่า นานเหรอ มันอาจถามเรียวตะกลับว่า ความสัมพันธ์ของคนคนนึง มันต้องใช้เวลานะ

- ฉาก ยูได ตบหัว เรียวตะ ที่เรียวตะขอรับเลี้ยงเด็กทั้งสอง แล้วถามยูไดว่า จะต้องการเท่าไร ซึ่งเป็นการดูหมิ่นมาก แถม ยูไดยังตอบกลับแบบว่า เรียวตะ คุณยังเป็นพ่อเด็กไม่ได้หรอก

- ฉากที่มิโดริ ร้องได้กับเรียวตะว่า ชั้นเริ่มจะรัก ริวเซย์ซะแล้ว และนั่นทำให้เธอรู้สึกผิดกับ เคย์ตะ จริงๆ

- ดาราเด็ก เคย์ตะ เล่นได้ดีมาก และเข้าใจเลยว่า เขาโกรธเรียวตะแค่ไหน ที่ส่งเขามาอยู่กับครอบครัวของยูได

- เพลงประกอบ แค่เสียงเปียโน ก็เข้าโหมดเตรียมจุกได้แล้ว


สิ่งที่ Comment

- หนังให้น้ำหนักครอบครัวเรียวตะ มากเกินไป กับ เคย์ตะ

- ใครไม่ชินกับแนวนี้ หรือใครชินกับ ดราม่า ที่ต้องมีการบิ๊วบรรยากาศ มีจุดที่ต้องบอกว่า เตรียมเสียน้ำตาได้แล้ว มีจุดฟูมฟาย อาจจะไม่ค่อยชอบก็ได้ เพราะเรื่องนี้ หนังจะไปเรื่อยๆ นิ่งๆ สไตล์ญี่ปุ่นมากกว่า น้ำตาที่จะเสีย มันไม่ใช่แบบไหลพราก แต่มันจะจุกๆ
อิ่มๆ คลอๆซะมากกว่า

9/10 สำหรับเรื่องนี้ ขอแนะนำคนมีครอบครัว มีลูกลองไปดูกัน โดยเฉพาะคนเป็นพ่อ

ตอนที่เข้าไปดู มีครอบครัวคนญี่ปุ่น พ่อแม่ลูก มาดูกันเยอะพอสมควรนะ

สุดท้าย ขอบคุณ เครือเอเพ็กซ์ และ House RCA ที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ ขอบอกว่า นี่คือโรงหนังสำหรับคนรักหนังจริงๆ มารยาทในการดูหนังดีมาก ไม่มีเสียงโทรศัพท์ ไม่มีเสียงกินขนมกรอบแกรม เหมือนคนที่จะมาดูโรงเหล่านี้จะรู้จักมารยาทในการดูหนังจริงๆ แถม ค่าตั๋ว 100 บาท หาได้ที่ไหน ขอให้ เครือเอเพ็กซ์ และ House RCA ยังคงอยู่สำหรับคนรักหนังต่อไปให้นานที่สุดนะ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ 
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่