สวัสดีครับทุก ๅ คน สืบเนื่องมาจากกระทู้
"เทคนิคในการจีบแพทย์หญิง (หมอผู้หญิงห้ามเข้ามาอ่าน)"
credit 1412 จาก thaiclinic.com นะครับ (
http://pantip.com/topic/31382103 )
หลังจากอ่านเสร็จ ผมก็นับถือท่าน 1412 จริง ๆ เขียนได้ตรงใจมาก เลยนึกถึงบทความเก่าเมื่อต้นปีได้
แต่ไม่ได้อยู่ใน Pantip นะครับอยู่บน facebook ของผมเอง ก็เลยคันมืออยากนำมาให้ลองอ่านกันดู
มีบางข้อความไม่เหมือนในต้นฉบับเพราะผมได้รับข้อเสนอแนะจากผู้หวังดี ว่าควรเขียนให้ชัดเจน
ผู้อ่านจะได้ไม่สับสน ผมเชื่อว่าแพทย์หลาย ๆ ท่านคงเคยอ่านบทความนี้กันแล้ว จุดประสงค์ของผมคือ
อยากให้น้อง ๆ ที่คิดจะเรียนแพทย์ ได้ฉุกคิดสักนิดก่อนที่จะเรียนแพทย์หรือควรคิดให้รอบด้านก่อน
จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลังครับ เชิญอ่านและ comment ได้เลยครับ...
อาชีพแพทย์กับการมีครอบครัว (สำหรับแพทย์หญิง)
น้อง ๆ ทั้งหลายที่คิดจะเรียนแพทย์ น้องๆ ถามตัวเองแน่แล้วใช่ไหมครับว่าต้องการเป็นแพทย์จริง ๆ ต้องการเป็นคนที่เสียสละเวลาส่วนตัวของน้อง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าน้อง ๆ ไม่มั่นใจก็ลองคิดดูใหม่ได้นะครับ “ไม่มีใครว่าอะไรหรอก ถ้าเราจะรู้จักตัวเองให้มากขึ้น พร้อมกับตัดสินใจเลือกทางเดินในชีวิตด้วยตัวเอง”ที่ผมพูดและถามย้ำเพราะเชื่อว่า หลาย ๆ คนคงเคยเจอหรือรู้จักแพทย์ที่เรียนเก่งมาก ๆ และก็เสียสละให้กับสังคมอย่างมากมายมหาศาล จนแทบไม่มีเวลาเป็นตัวของตัวเองเลย ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับการเรียน การสอนและการดูแลรักษาคนไข้ แต่สุดท้าย… “โสด” ครับ เนื่องจากทุ่มเททุกอย่างให้กับงานจนลืมเรื่องการใช้ชีวิตคู่ไปเลย เพราะบังเอิญเป็นคนที่จริงจังกับชีวิตและการทำงาน จึงตั้งใจและทุ่มเทในการประกอบอาชีพแพทย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติเลยทีเดียว แต่ผมว่ามันสมบูรณ์แบบเกินไป ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าน้อง ๆ ไม่ต้องทุ่มเทนะครับ เราควรทุ่มเทแต่พอประมาณ พูดง่าย ๆ ว่า “เดินทางสายกลางตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า” คือไม่ตึงเกินไปและไม่หย่อนเกินไป เพราะการมีครอบครัวก็เป็นสิ่งสำคัญ สิ่งหนึ่งในการดำเนินชีวิตของผม คือ การที่มีคนที่เรารักและมีคนที่รักเรา การที่มีคนร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับเรา การที่เรารู้ว่า จะมีคนที่จะแก่เฒ่าไปกับเราและอยู่กับเราไปจนตาย เป็นทั้งแรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่าง ๆ และเป็นทั้งกำลังใจให้เราสามารถต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ ที่ผ่านมาในชีวิตของเราได้ โดยไม่รู้สึกท้อแท้หรือสิ้นหวัง สุดท้ายก็เพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่กับคนที่เรารักให้นานที่สุดก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป ผมว่ามันเป็นส่วนเติมเต็มให้กับชีวิตชนิดที่ว่า ไม่รู้จะบรรยายให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างไร ผมว่าน้อง ๆ คงรับรู้ได้เองครับเมื่อใดที่น้อง ๆ แต่งงานมีสามีหรือภรรยา (เป็นของตัวเอง) แต่ชีวิตจริงของการเป็นแพทย์จะสวยหรูและสมหวังดังที่คาดไว้ทุกคนจริง ๆ หรือ
ก่อนที่น้องๆ จะกระโดดเข้าสู่วงโคจรของการเป็นแพทย์ ผมคิดว่ามีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ 4 ประเด็นที่ควรรู้นะครับ ประเด็นแรก กว่าที่น้องจะจบก็จะอายุประมาณ 24 ปี ซึ่งต้องโดนบังคับให้ไปใช้ทุนที่ต่างจังหวัดอีกสามปีจึงจะหมดสัญญา ที่ได้ทำไว้กับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งตอนนั้นก็จะอายุ 27 ปี หลายคนอาจยอมจ่ายเงินใช้หนี้ก่อนครบสามปี เพื่อให้ได้กลับสู่กรุงเทพฯ หรือกลับบ้านเกิดของตัวเอง จุดนี้เองแสดงว่าน้อง ๆ เริ่มไม่อยากอยู่ต่างจังหวัดแล้ว หรือไม่ก็เริ่มทนสภาพที่ต่างจังหวัดไม่ไหว หรืออาจมีเหตุผลอื่น ๆ ต่าง ๆ นานา ตรงจุดนี้ทุกคนคงมีเหตุผลจำเป็นที่จะต้องขอย้ายเสมอครับ (ตัวผมเองก็ต้องย้ายกลับเข้า กทม. ตอนใช้ทุนอยู่ปีสามเพราะทางบ้านต้องการให้กลับบ้าน ซึ่งผมก็ค่อนข้างลำบากใจเพราะตั้งใจจะอยู่จนจบสามปี แต่ก็ไม่อยากมีปัญหาเลยยอมกลับเข้ากทม.) ถึงจุดนี้ผมอยากเตือนน้อง ๆ ว่าอย่าลืมความตั้งใจเดิม ว่าอยากเป็นแพทย์เพื่อช่วยเหลือคนอื่น ๆ ที่ยากไร้จริง ๆ รึเปล่า เพราะเมื่อไหร่ที่น้อง ๆ ลาออกไปอยู่ที่อื่น “ตามที่ตัวเองต้องการ” แสดงว่าน้อง ๆ เริ่มกำหนดเงื่อนไขในการเป็นแพทย์ของตัวเอง โดยไม่รู้ตัวแล้ว หลังจากที่น้อง ๆ ใช้ทุนจนครบสามปี น้อง ๆ ก็เริ่มเรียนต่ออีก 3-5 ปี ซึ่งกว่าจะจบเป็นแพทย์เฉพาะทางก็อายุ 30-32 ปี และยังต้องกลับไปใช้ทุนคืนต้นสังกัดอีกสองปี ก่อนกลับมาเรียนต่อยอดอีก 2 ปี รวมแล้วก็อายุประมาณ 34-36 ปี เอ…นี่น้อง ๆ ลืมเรื่องการมีครอบครัวกันไปรึยังนะ นอกจากนี้ การเรียนต่อบางสาขาเขาจะไม่รับแพทย์ที่ตั้งครรภ์ เพราะงานหนักมากอาจทำให้แท้งบุตรได้ เพราะฉะนั้นน้อง ๆ ต้องรอคลอดลูกก่อนแล้วค่อยไปเรียนต่อ ซึ่งนั่นจะทำให้น้องแก่มากขึ้นไปอีก แล้วจะเรียนไหวเหรอ แล้วใครจะเลี้ยงลูกให้ระหว่างเรียนนะ นี่คือ ประเด็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่มีใครแนะนำน้อง ๆ มัธยมทั้งหลาย ก่อนที่จะมาสมัครเข้าเรียนแพทย์ แล้วน้อง ๆ คิดไว้รึยังว่า จบแพทย์แล้วจะรีบแต่งงาน มีลูกแล้วค่อยมาเรียนต่อดี หรือจะเรียนต่อให้จบแล้ว ค่อยแต่งงานมีลูกหลัง อายุ 35 ปีดีน้า…..
แล้วน้อง ๆ ผู้หญิงที่จบแพทย์เคยคิดมั้ยว่า กว่าจะหาแฟนได้ยากยิ่งนัก หลายคนคิดในใจว่า “ชั้นหน้าตาดีขนาดนี้จะมีแฟนกี่คนก็ได้จ้ะ” ซึ่งน้อง ๆ อาจพูดถูกว่าจะมีแฟนกี่คนก็ได้ แต่ว่าน้องมั่นใจแค่ไหนครับที่จะหาสามีให้ได้สักคนหนึ่ง ก่อนจะด่าผม ลองมองดูข้อเท็จจริงสักข้อหนึ่งว่า สังคมไทยส่วนใหญ่ผู้ชายมักจะเป็นช้างเท้าหน้า คือเป็นผู้นำครอบครัว และน้อง ๆ หลายคน คงไม่อยากเป็นผู้หญิงที่ต้องเป็นผู้นำครอบครัวหรอก เชื่อผมเถอะ! ดังนั้นน้อง ๆ ผู้หญิงที่จบเป็นแพทย์และมีความเสียสละยิ่ง จะเข้าใจดีว่า ตนเองนั้นเมื่อเรียนจบแพทย์มาหกปีแทบจะไม่รู้อะไรเลย ดังนั้นหลายคนจึงตัดสินใจเรียนต่อ หลังจากจบมาโดยไม่คำนึงถึงอายุก่อน (32-34 ปี) ก็จะพบว่าตัวเองมีวุฒิทางการศึกษาสูงมาก ผมว่าสูงเกินไปในสายตาของผู้ชายหลาย ๆ คนด้วยซ้ำ ทำให้แพทย์ทั้งหลายจะคบกับใครก็คงต้องเลือกคนที่มีสถานะทางสังคมค่อนข้างสูงกว่าหรือใกล้เคียงกัน (กรณีนี้ไม่รวมพวกที่มีแฟนที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมนะครับ) แล้วน้อง ๆ คิดว่าผู้ชายที่มีสถานะทางสังคมที่สูง เช่น จบปริญญาเอกเทียบเท่ากับวุฒิการศึกษาของน้อง ๆ เนี่ย จะยังมีเหลืออยู่ในสังคมไทยซักกี่คนเหรอ พูดง่าย ๆ ว่า ผู้ชายจบปริญญาเอก อายุเกิน 35 ปีและยังไม่แต่งงานมีลูกมีเมียเป็นตัวเป็นตน มันจะมีเยอะขนาดให้น้อง ๆ ได้มีโอกาสเลือกเหรอ ถ้ามีจริงแล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาเป็นผู้ชายจริง ๆ (เออ ผมไม่ได้ว่าใครเป็นเกย์นะครับ เพราะผมเองก็แต่งงานหลังอายุ 35 ปี) แต่ถ้ายังไงก็หาไม่ได้ แล้วเกิดมีผู้ชายดี ๆ สักคนเพิ่งจบปริญญาโทจากต่างประเทศ (ส่วนใหญ่จะอายุน้อยกว่าน้อง ๆ ที่จบแพทย์เฉพาะทางหลายปี) มาขอแต่งงาน น้อง ๆ จะยอมแต่งไหมครับ กับผู้ชายที่อายุน้อยกว่าซัก 8-10 ปี ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีผู้ชายดี ๆ สักกี่คนที่จะยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่อายุมากกว่าตัวเอง เพราะตัวเขาเองเรียนจบสูงขนาดนั้น ผมว่าเขาก็คงต้องเลือกบ้างล่ะ) ทีนี้ก็จะเหลือแต่ผู้ใหญ่ใจดีแล้ว ผู้ใหญ่ใจดีที่ผมว่าหมายถึงผู้ชายวัยกลางคน จบการศึกษาไม่สูงนัก แต่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง ว่าแต่ถ้ามีคนแก่ ๆ มาจีบ น้อง ๆ จะสนไหมครับ ผมว่าถ้ามีจริงก็น่าสนใจนะ ถ้าขืนเล่นตัวมากนัก รถไฟขบวนสุดท้ายมันกำลังจะผ่านไปแล้ว เพราะทุกวันนี้แพทย์หญิงจะคิดทุกอย่าง ค่อนข้างเป็นระบบเป็นระเบียบ จึงมีการวางแผนที่ดีมากกว่าแพทย์ชาย ดังนั้นแพทย์หญิงจะดูว่า ผู้ชายที่คบอยู่นั้นจะฝากชีวิตไว้กับเขาได้จริงหรือไม่ และส่วนใหญ่คำตอบที่ได้ก็คือ “ท่าจะยากแฮะ” จึงนำมาซึ่งการไม่ยอมแต่งงานมีครอบครัวข หรือพูดง่าย ๆ ว่า “ถ้าแต่งงานแล้วมีปัญหามากนัก ฉันอยู่ตัวคนเดียวก็ได้ สบายใจกว่า” (ซึ่งหลายคนอาจมีเหตุผลมากกว่านั้นที่เลือกจะ “โสด”) นี่แหล่ะตัวอย่างของความยากลำบากของแพทย์หญิงตาดำ ๆ ที่กว่าจะมีสามีเป็นตัวเป็นตนกับเขาสักคนหนึ่ง
แล้วที่สำคัญแพทย์ชายทั้งหลายมักจะเลือกแต่งงานกับพยาบาล เพราะว่าแพทย์ชายทั้งหลายจะบอกว่าพยาบาลเอาใจเก่งมาก เพราะว่าถูกสอนมาให้ดูแลผู้ป่วย ให้พยายามทำความเข้าใจผู้ป่วย รวมทั้งเห็นอกเห็นใจคนอื่น ซึ่งแพทย์ก็เรียนมาเหมือนกัน แต่ “หลายคนไม่ทำ”
และพยาบาลถูกสอนมาให้ทำตามคำสั่งแพทย์ด้วย เนื่องจากเวลาแพทย์รักษาคนไข้นั้น มันคือการวางแผนและเขียนออร์เดอร์ลงในใบคำสั่งการรักษา แต่ไม่ได้หมายความว่าแพทย์ไปสั่งพยาบาลให้ทำนะ เพียงแต่พยาบาลจะมาดูคำสั่ง และไปให้การรักษาคนไข้ตามมาตรฐานวิชาชีพที่ได้เรียนมา เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการรักษาของแพทย์ ตรงจุดนี้ผมคงต้องบอกว่า พยาบาลไม่ใช่คนใช้นะครับ แต่เป็นเพื่อนร่วมวิชาชีพ
ส่วนอีกด้านหนึ่ง คือ ทั้งแพทย์ชายและหญิงถูกสอนให้เกิดมาเพื่อเป็น “คนสั่งการรักษา” ผลก็คือถ้าเลือกแพทย์หญิงมาเป็นแฟน จะไม่ค่อยมีใครยอมใครเลย เพราะต่างคนต่างติดนิสัยชอบสั่ง ซ้ำร้ายผู้หญิงมักจะเก่งกว่าผู้ชายทางด้านวิชาการ จึงสามารถสั่งหลาย ๆ อย่างได้มากกว่า และบางคนก็พร้อมที่จะหักหน้าแพทย์ชายได้ทุกเมื่อ ผู้ชายจึงไม่ค่อยอยากจะเลือกแพทย์หญิงมาเป็นแฟนสักเท่าไหร่ แต่มองโลกในแง่ดีคือถ้าเป็นแพทย์ด้วยกันทั้งคู่ เวลาจะพูดหรือคิด อะไรก็จะเข้าใจกันได้ง่ายกว่า) พยาบาลเองขึ้นเวรเป็นกะแค่ 8 ชั่วโมงในขณะที่แพทย์ต้องอยู่เวร 24 ชั่วโมง ทำให้แพทย์ชายส่วนใหญ่มีเวลาอยู่กับพยาบาลมากกว่าและอยู่ในสายวิชาชีพใกล้เคียงกัน ทำให้มีโอกาสเจอกันมากกว่าแพทย์เจอแพทย์ เพราะแพทย์ไม่ตรวจคนไข้ร่วมกับแพทย์ แต่แพทย์ต้องตรวจคนไข้ร่วมกับพยาบาล ที่สำคัญพยาบาลมักจะอายุน้อยกว่าแพทย์ที่ทำงานมาพร้อมกัน เพราะพยาบาลจบก่อนจึงมีโอกาสเจอแพทย์ก่อน แล้วถ้าแพทย์ชายจบการศึกษาสูงมากก็คงขอโอกาสเลือกบ้าง ผู้ชายได้เปรียบตรงที่เลือกคนที่การศึกษาน้อยกว่าได้ แต่แพทย์หญิงจะเลือกแต่งงานกับบุรุษพยาบาลได้ยากมาก เพราะมันเป็นเรื่องของการยอมรับทางสังคมที่เป็นอยู่ นี่แหละน้อง ๆ ผู้หญิง ทั้งหลายลองถามแพทย์ชายทั้งหลายดูว่า ผมพูดจริงมั้ย
ส่วนประเด็นสุดท้ายที่ผมอยากจะเตือนน้อง ๆ ที่เป็นแพทย์หญิงหรือกำลังสนใจจะเป็นแพทย์หญิง ในอนาคตอันใกล้นี้ น้อง ๆ รู้ไหมว่าทำไมผู้ชายในสายอาชีพอื่นถึงเลือกที่จะแต่งงานกับแพทย์ คำตอบที่จะเฉลยนี้ ผมไม่ได้ใส่ร้ายใครนะ เอาเป็นว่าผมสมมติเป็นตัวเองแล้วกันนะ เพื่อความสบายใจ สมมติว่าผมเป็นนักธุรกิจหรือเป็นลูกนักการเมืองก็ได้ ผมชอบเที่ยวกลางคืนและมีกิ๊กเต็มไปหมด ถ้าผมมีโอกาสได้รู้จักกับแพทย์หญิงสักคน ผมก็จะรีบเข้าไปจีบ และหาทางขอเธอแต่งงานให้ได้ เพราะอะไรเหรอครับ มีเหตุผล มากมายเลยล่ะ
ข้อแรกก็เพราะแพทย์มีความตั้งใจในการทำงานสูงมาก ดังนั้น เวลาที่แพทย์ขึ้นเวรตรวจคนไข้ก็คงต้องบอกว่า แทบจะไม่สนใจสามีที่อยู่ที่บ้านเลย ดังนั้น “ถ้าผมจะไปนอนกับผู้หญิงหรือผู้ชายอีกกี่คน ภรรยาผมก็คงไม่โทรมาตามเซ้าซี้ให้รำคาญใจหรอก เพราะกำลังทุ่มเทให้กับงานอยู่” แถมพอถึงเวลาลงเวรก็มักจะเกินเวลาเสมอ เพราะลูกติดพันยังดูคนไข้ไม่เสร็จ เนื่องจากผู้หญิงจะมีความรับผิดชอบสูง
ข้อสอง แพทย์หญิงทั้งหลายหาเงินได้เอง และส่วนใหญ่จะหาได้มากกว่าผู้ชายเสียด้วยซ้ำ ถ้าขืนผมแต่งงานกับอาชีพอื่นผมคงต้องควักกระเป๋าเพื่อปรนเปรอภรรยาสุดรักมหาศาล แต่ถ้าเป็นแพทย์หญิงเหรอ บางทีผมอาจได้เงินจาก ภรรยาสุดที่รักมาใช้แบบฟรี ๆ ด้วยซ้ำ
ข้อที่สาม มันเป็นหน้าตาทางสังคม การมีภรรยาเป็นแพทย์ก็ทำให้คนอื่นมองว่า สถานะทางสังคมดูดีขึ้นด้วย
และข้อที่สี่ แพทย์หญิงทั้งหลายไม่ค่อยกล้าขอหย่ากับสามี เนื่องจากชอบคิดว่าตัวเองมีหน้ามีตาในสังคม พูดง่าย ๆ ก็คือ “กลัวเสียหน้านั่นเอง”(แต่ไม่กลัวเสียใจไปตลอดทั้งชีวิต) จึงต้องยอมทนอยู่กับผม แม้ว่าผมจะมีภรรยาน้อยหรือสามีน้อยอีกกี่สิบคนก็ตาม
นี่เป็นเพียงตัวอย่างแนวความคิดที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นคำตอบที่ผมถามจากเพื่อน ๆ อาชีพอื่นว่า “ทำไมถึงเลือกจีบแพทย์ผู้หญิงวะ”เพื่อนผมก็รีบตอบทันทีว่า “ก็กูไม่ได้เป็นเกย์นิ จะได้เลือกจีบแพทย์ ผู้ชาย…ฮ่าๆ” กรณีนี้ผมก็คงต้องบอกว่า คนดีในสังคมก็มีเยอะนะ อย่ามองโลกในแง่ ร้ายไปซะหมด เดี๋ยวจะไม่กล้า มีครอบครัว เอาเป็นว่าผมแค่เตือนสติให้น้อง ๆ ระวังตัวไว้เท่านั้นเอง
อาชีพแพทย์กับการมีครอบครัว (สำหรับแพทย์หญิง)
"เทคนิคในการจีบแพทย์หญิง (หมอผู้หญิงห้ามเข้ามาอ่าน)"
credit 1412 จาก thaiclinic.com นะครับ ( http://pantip.com/topic/31382103 )
หลังจากอ่านเสร็จ ผมก็นับถือท่าน 1412 จริง ๆ เขียนได้ตรงใจมาก เลยนึกถึงบทความเก่าเมื่อต้นปีได้
แต่ไม่ได้อยู่ใน Pantip นะครับอยู่บน facebook ของผมเอง ก็เลยคันมืออยากนำมาให้ลองอ่านกันดู
มีบางข้อความไม่เหมือนในต้นฉบับเพราะผมได้รับข้อเสนอแนะจากผู้หวังดี ว่าควรเขียนให้ชัดเจน
ผู้อ่านจะได้ไม่สับสน ผมเชื่อว่าแพทย์หลาย ๆ ท่านคงเคยอ่านบทความนี้กันแล้ว จุดประสงค์ของผมคือ
อยากให้น้อง ๆ ที่คิดจะเรียนแพทย์ ได้ฉุกคิดสักนิดก่อนที่จะเรียนแพทย์หรือควรคิดให้รอบด้านก่อน
จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลังครับ เชิญอ่านและ comment ได้เลยครับ...
อาชีพแพทย์กับการมีครอบครัว (สำหรับแพทย์หญิง)
น้อง ๆ ทั้งหลายที่คิดจะเรียนแพทย์ น้องๆ ถามตัวเองแน่แล้วใช่ไหมครับว่าต้องการเป็นแพทย์จริง ๆ ต้องการเป็นคนที่เสียสละเวลาส่วนตัวของน้อง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าน้อง ๆ ไม่มั่นใจก็ลองคิดดูใหม่ได้นะครับ “ไม่มีใครว่าอะไรหรอก ถ้าเราจะรู้จักตัวเองให้มากขึ้น พร้อมกับตัดสินใจเลือกทางเดินในชีวิตด้วยตัวเอง”ที่ผมพูดและถามย้ำเพราะเชื่อว่า หลาย ๆ คนคงเคยเจอหรือรู้จักแพทย์ที่เรียนเก่งมาก ๆ และก็เสียสละให้กับสังคมอย่างมากมายมหาศาล จนแทบไม่มีเวลาเป็นตัวของตัวเองเลย ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับการเรียน การสอนและการดูแลรักษาคนไข้ แต่สุดท้าย… “โสด” ครับ เนื่องจากทุ่มเททุกอย่างให้กับงานจนลืมเรื่องการใช้ชีวิตคู่ไปเลย เพราะบังเอิญเป็นคนที่จริงจังกับชีวิตและการทำงาน จึงตั้งใจและทุ่มเทในการประกอบอาชีพแพทย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติเลยทีเดียว แต่ผมว่ามันสมบูรณ์แบบเกินไป ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าน้อง ๆ ไม่ต้องทุ่มเทนะครับ เราควรทุ่มเทแต่พอประมาณ พูดง่าย ๆ ว่า “เดินทางสายกลางตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า” คือไม่ตึงเกินไปและไม่หย่อนเกินไป เพราะการมีครอบครัวก็เป็นสิ่งสำคัญ สิ่งหนึ่งในการดำเนินชีวิตของผม คือ การที่มีคนที่เรารักและมีคนที่รักเรา การที่มีคนร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับเรา การที่เรารู้ว่า จะมีคนที่จะแก่เฒ่าไปกับเราและอยู่กับเราไปจนตาย เป็นทั้งแรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่าง ๆ และเป็นทั้งกำลังใจให้เราสามารถต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ ที่ผ่านมาในชีวิตของเราได้ โดยไม่รู้สึกท้อแท้หรือสิ้นหวัง สุดท้ายก็เพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่กับคนที่เรารักให้นานที่สุดก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป ผมว่ามันเป็นส่วนเติมเต็มให้กับชีวิตชนิดที่ว่า ไม่รู้จะบรรยายให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างไร ผมว่าน้อง ๆ คงรับรู้ได้เองครับเมื่อใดที่น้อง ๆ แต่งงานมีสามีหรือภรรยา (เป็นของตัวเอง) แต่ชีวิตจริงของการเป็นแพทย์จะสวยหรูและสมหวังดังที่คาดไว้ทุกคนจริง ๆ หรือ
ก่อนที่น้องๆ จะกระโดดเข้าสู่วงโคจรของการเป็นแพทย์ ผมคิดว่ามีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ 4 ประเด็นที่ควรรู้นะครับ ประเด็นแรก กว่าที่น้องจะจบก็จะอายุประมาณ 24 ปี ซึ่งต้องโดนบังคับให้ไปใช้ทุนที่ต่างจังหวัดอีกสามปีจึงจะหมดสัญญา ที่ได้ทำไว้กับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งตอนนั้นก็จะอายุ 27 ปี หลายคนอาจยอมจ่ายเงินใช้หนี้ก่อนครบสามปี เพื่อให้ได้กลับสู่กรุงเทพฯ หรือกลับบ้านเกิดของตัวเอง จุดนี้เองแสดงว่าน้อง ๆ เริ่มไม่อยากอยู่ต่างจังหวัดแล้ว หรือไม่ก็เริ่มทนสภาพที่ต่างจังหวัดไม่ไหว หรืออาจมีเหตุผลอื่น ๆ ต่าง ๆ นานา ตรงจุดนี้ทุกคนคงมีเหตุผลจำเป็นที่จะต้องขอย้ายเสมอครับ (ตัวผมเองก็ต้องย้ายกลับเข้า กทม. ตอนใช้ทุนอยู่ปีสามเพราะทางบ้านต้องการให้กลับบ้าน ซึ่งผมก็ค่อนข้างลำบากใจเพราะตั้งใจจะอยู่จนจบสามปี แต่ก็ไม่อยากมีปัญหาเลยยอมกลับเข้ากทม.) ถึงจุดนี้ผมอยากเตือนน้อง ๆ ว่าอย่าลืมความตั้งใจเดิม ว่าอยากเป็นแพทย์เพื่อช่วยเหลือคนอื่น ๆ ที่ยากไร้จริง ๆ รึเปล่า เพราะเมื่อไหร่ที่น้อง ๆ ลาออกไปอยู่ที่อื่น “ตามที่ตัวเองต้องการ” แสดงว่าน้อง ๆ เริ่มกำหนดเงื่อนไขในการเป็นแพทย์ของตัวเอง โดยไม่รู้ตัวแล้ว หลังจากที่น้อง ๆ ใช้ทุนจนครบสามปี น้อง ๆ ก็เริ่มเรียนต่ออีก 3-5 ปี ซึ่งกว่าจะจบเป็นแพทย์เฉพาะทางก็อายุ 30-32 ปี และยังต้องกลับไปใช้ทุนคืนต้นสังกัดอีกสองปี ก่อนกลับมาเรียนต่อยอดอีก 2 ปี รวมแล้วก็อายุประมาณ 34-36 ปี เอ…นี่น้อง ๆ ลืมเรื่องการมีครอบครัวกันไปรึยังนะ นอกจากนี้ การเรียนต่อบางสาขาเขาจะไม่รับแพทย์ที่ตั้งครรภ์ เพราะงานหนักมากอาจทำให้แท้งบุตรได้ เพราะฉะนั้นน้อง ๆ ต้องรอคลอดลูกก่อนแล้วค่อยไปเรียนต่อ ซึ่งนั่นจะทำให้น้องแก่มากขึ้นไปอีก แล้วจะเรียนไหวเหรอ แล้วใครจะเลี้ยงลูกให้ระหว่างเรียนนะ นี่คือ ประเด็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่มีใครแนะนำน้อง ๆ มัธยมทั้งหลาย ก่อนที่จะมาสมัครเข้าเรียนแพทย์ แล้วน้อง ๆ คิดไว้รึยังว่า จบแพทย์แล้วจะรีบแต่งงาน มีลูกแล้วค่อยมาเรียนต่อดี หรือจะเรียนต่อให้จบแล้ว ค่อยแต่งงานมีลูกหลัง อายุ 35 ปีดีน้า…..
แล้วน้อง ๆ ผู้หญิงที่จบแพทย์เคยคิดมั้ยว่า กว่าจะหาแฟนได้ยากยิ่งนัก หลายคนคิดในใจว่า “ชั้นหน้าตาดีขนาดนี้จะมีแฟนกี่คนก็ได้จ้ะ” ซึ่งน้อง ๆ อาจพูดถูกว่าจะมีแฟนกี่คนก็ได้ แต่ว่าน้องมั่นใจแค่ไหนครับที่จะหาสามีให้ได้สักคนหนึ่ง ก่อนจะด่าผม ลองมองดูข้อเท็จจริงสักข้อหนึ่งว่า สังคมไทยส่วนใหญ่ผู้ชายมักจะเป็นช้างเท้าหน้า คือเป็นผู้นำครอบครัว และน้อง ๆ หลายคน คงไม่อยากเป็นผู้หญิงที่ต้องเป็นผู้นำครอบครัวหรอก เชื่อผมเถอะ! ดังนั้นน้อง ๆ ผู้หญิงที่จบเป็นแพทย์และมีความเสียสละยิ่ง จะเข้าใจดีว่า ตนเองนั้นเมื่อเรียนจบแพทย์มาหกปีแทบจะไม่รู้อะไรเลย ดังนั้นหลายคนจึงตัดสินใจเรียนต่อ หลังจากจบมาโดยไม่คำนึงถึงอายุก่อน (32-34 ปี) ก็จะพบว่าตัวเองมีวุฒิทางการศึกษาสูงมาก ผมว่าสูงเกินไปในสายตาของผู้ชายหลาย ๆ คนด้วยซ้ำ ทำให้แพทย์ทั้งหลายจะคบกับใครก็คงต้องเลือกคนที่มีสถานะทางสังคมค่อนข้างสูงกว่าหรือใกล้เคียงกัน (กรณีนี้ไม่รวมพวกที่มีแฟนที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมนะครับ) แล้วน้อง ๆ คิดว่าผู้ชายที่มีสถานะทางสังคมที่สูง เช่น จบปริญญาเอกเทียบเท่ากับวุฒิการศึกษาของน้อง ๆ เนี่ย จะยังมีเหลืออยู่ในสังคมไทยซักกี่คนเหรอ พูดง่าย ๆ ว่า ผู้ชายจบปริญญาเอก อายุเกิน 35 ปีและยังไม่แต่งงานมีลูกมีเมียเป็นตัวเป็นตน มันจะมีเยอะขนาดให้น้อง ๆ ได้มีโอกาสเลือกเหรอ ถ้ามีจริงแล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาเป็นผู้ชายจริง ๆ (เออ ผมไม่ได้ว่าใครเป็นเกย์นะครับ เพราะผมเองก็แต่งงานหลังอายุ 35 ปี) แต่ถ้ายังไงก็หาไม่ได้ แล้วเกิดมีผู้ชายดี ๆ สักคนเพิ่งจบปริญญาโทจากต่างประเทศ (ส่วนใหญ่จะอายุน้อยกว่าน้อง ๆ ที่จบแพทย์เฉพาะทางหลายปี) มาขอแต่งงาน น้อง ๆ จะยอมแต่งไหมครับ กับผู้ชายที่อายุน้อยกว่าซัก 8-10 ปี ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีผู้ชายดี ๆ สักกี่คนที่จะยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่อายุมากกว่าตัวเอง เพราะตัวเขาเองเรียนจบสูงขนาดนั้น ผมว่าเขาก็คงต้องเลือกบ้างล่ะ) ทีนี้ก็จะเหลือแต่ผู้ใหญ่ใจดีแล้ว ผู้ใหญ่ใจดีที่ผมว่าหมายถึงผู้ชายวัยกลางคน จบการศึกษาไม่สูงนัก แต่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง ว่าแต่ถ้ามีคนแก่ ๆ มาจีบ น้อง ๆ จะสนไหมครับ ผมว่าถ้ามีจริงก็น่าสนใจนะ ถ้าขืนเล่นตัวมากนัก รถไฟขบวนสุดท้ายมันกำลังจะผ่านไปแล้ว เพราะทุกวันนี้แพทย์หญิงจะคิดทุกอย่าง ค่อนข้างเป็นระบบเป็นระเบียบ จึงมีการวางแผนที่ดีมากกว่าแพทย์ชาย ดังนั้นแพทย์หญิงจะดูว่า ผู้ชายที่คบอยู่นั้นจะฝากชีวิตไว้กับเขาได้จริงหรือไม่ และส่วนใหญ่คำตอบที่ได้ก็คือ “ท่าจะยากแฮะ” จึงนำมาซึ่งการไม่ยอมแต่งงานมีครอบครัวข หรือพูดง่าย ๆ ว่า “ถ้าแต่งงานแล้วมีปัญหามากนัก ฉันอยู่ตัวคนเดียวก็ได้ สบายใจกว่า” (ซึ่งหลายคนอาจมีเหตุผลมากกว่านั้นที่เลือกจะ “โสด”) นี่แหล่ะตัวอย่างของความยากลำบากของแพทย์หญิงตาดำ ๆ ที่กว่าจะมีสามีเป็นตัวเป็นตนกับเขาสักคนหนึ่ง
แล้วที่สำคัญแพทย์ชายทั้งหลายมักจะเลือกแต่งงานกับพยาบาล เพราะว่าแพทย์ชายทั้งหลายจะบอกว่าพยาบาลเอาใจเก่งมาก เพราะว่าถูกสอนมาให้ดูแลผู้ป่วย ให้พยายามทำความเข้าใจผู้ป่วย รวมทั้งเห็นอกเห็นใจคนอื่น ซึ่งแพทย์ก็เรียนมาเหมือนกัน แต่ “หลายคนไม่ทำ”
และพยาบาลถูกสอนมาให้ทำตามคำสั่งแพทย์ด้วย เนื่องจากเวลาแพทย์รักษาคนไข้นั้น มันคือการวางแผนและเขียนออร์เดอร์ลงในใบคำสั่งการรักษา แต่ไม่ได้หมายความว่าแพทย์ไปสั่งพยาบาลให้ทำนะ เพียงแต่พยาบาลจะมาดูคำสั่ง และไปให้การรักษาคนไข้ตามมาตรฐานวิชาชีพที่ได้เรียนมา เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการรักษาของแพทย์ ตรงจุดนี้ผมคงต้องบอกว่า พยาบาลไม่ใช่คนใช้นะครับ แต่เป็นเพื่อนร่วมวิชาชีพ
ส่วนอีกด้านหนึ่ง คือ ทั้งแพทย์ชายและหญิงถูกสอนให้เกิดมาเพื่อเป็น “คนสั่งการรักษา” ผลก็คือถ้าเลือกแพทย์หญิงมาเป็นแฟน จะไม่ค่อยมีใครยอมใครเลย เพราะต่างคนต่างติดนิสัยชอบสั่ง ซ้ำร้ายผู้หญิงมักจะเก่งกว่าผู้ชายทางด้านวิชาการ จึงสามารถสั่งหลาย ๆ อย่างได้มากกว่า และบางคนก็พร้อมที่จะหักหน้าแพทย์ชายได้ทุกเมื่อ ผู้ชายจึงไม่ค่อยอยากจะเลือกแพทย์หญิงมาเป็นแฟนสักเท่าไหร่ แต่มองโลกในแง่ดีคือถ้าเป็นแพทย์ด้วยกันทั้งคู่ เวลาจะพูดหรือคิด อะไรก็จะเข้าใจกันได้ง่ายกว่า) พยาบาลเองขึ้นเวรเป็นกะแค่ 8 ชั่วโมงในขณะที่แพทย์ต้องอยู่เวร 24 ชั่วโมง ทำให้แพทย์ชายส่วนใหญ่มีเวลาอยู่กับพยาบาลมากกว่าและอยู่ในสายวิชาชีพใกล้เคียงกัน ทำให้มีโอกาสเจอกันมากกว่าแพทย์เจอแพทย์ เพราะแพทย์ไม่ตรวจคนไข้ร่วมกับแพทย์ แต่แพทย์ต้องตรวจคนไข้ร่วมกับพยาบาล ที่สำคัญพยาบาลมักจะอายุน้อยกว่าแพทย์ที่ทำงานมาพร้อมกัน เพราะพยาบาลจบก่อนจึงมีโอกาสเจอแพทย์ก่อน แล้วถ้าแพทย์ชายจบการศึกษาสูงมากก็คงขอโอกาสเลือกบ้าง ผู้ชายได้เปรียบตรงที่เลือกคนที่การศึกษาน้อยกว่าได้ แต่แพทย์หญิงจะเลือกแต่งงานกับบุรุษพยาบาลได้ยากมาก เพราะมันเป็นเรื่องของการยอมรับทางสังคมที่เป็นอยู่ นี่แหละน้อง ๆ ผู้หญิง ทั้งหลายลองถามแพทย์ชายทั้งหลายดูว่า ผมพูดจริงมั้ย
ส่วนประเด็นสุดท้ายที่ผมอยากจะเตือนน้อง ๆ ที่เป็นแพทย์หญิงหรือกำลังสนใจจะเป็นแพทย์หญิง ในอนาคตอันใกล้นี้ น้อง ๆ รู้ไหมว่าทำไมผู้ชายในสายอาชีพอื่นถึงเลือกที่จะแต่งงานกับแพทย์ คำตอบที่จะเฉลยนี้ ผมไม่ได้ใส่ร้ายใครนะ เอาเป็นว่าผมสมมติเป็นตัวเองแล้วกันนะ เพื่อความสบายใจ สมมติว่าผมเป็นนักธุรกิจหรือเป็นลูกนักการเมืองก็ได้ ผมชอบเที่ยวกลางคืนและมีกิ๊กเต็มไปหมด ถ้าผมมีโอกาสได้รู้จักกับแพทย์หญิงสักคน ผมก็จะรีบเข้าไปจีบ และหาทางขอเธอแต่งงานให้ได้ เพราะอะไรเหรอครับ มีเหตุผล มากมายเลยล่ะ
ข้อแรกก็เพราะแพทย์มีความตั้งใจในการทำงานสูงมาก ดังนั้น เวลาที่แพทย์ขึ้นเวรตรวจคนไข้ก็คงต้องบอกว่า แทบจะไม่สนใจสามีที่อยู่ที่บ้านเลย ดังนั้น “ถ้าผมจะไปนอนกับผู้หญิงหรือผู้ชายอีกกี่คน ภรรยาผมก็คงไม่โทรมาตามเซ้าซี้ให้รำคาญใจหรอก เพราะกำลังทุ่มเทให้กับงานอยู่” แถมพอถึงเวลาลงเวรก็มักจะเกินเวลาเสมอ เพราะลูกติดพันยังดูคนไข้ไม่เสร็จ เนื่องจากผู้หญิงจะมีความรับผิดชอบสูง
ข้อสอง แพทย์หญิงทั้งหลายหาเงินได้เอง และส่วนใหญ่จะหาได้มากกว่าผู้ชายเสียด้วยซ้ำ ถ้าขืนผมแต่งงานกับอาชีพอื่นผมคงต้องควักกระเป๋าเพื่อปรนเปรอภรรยาสุดรักมหาศาล แต่ถ้าเป็นแพทย์หญิงเหรอ บางทีผมอาจได้เงินจาก ภรรยาสุดที่รักมาใช้แบบฟรี ๆ ด้วยซ้ำ
ข้อที่สาม มันเป็นหน้าตาทางสังคม การมีภรรยาเป็นแพทย์ก็ทำให้คนอื่นมองว่า สถานะทางสังคมดูดีขึ้นด้วย
และข้อที่สี่ แพทย์หญิงทั้งหลายไม่ค่อยกล้าขอหย่ากับสามี เนื่องจากชอบคิดว่าตัวเองมีหน้ามีตาในสังคม พูดง่าย ๆ ก็คือ “กลัวเสียหน้านั่นเอง”(แต่ไม่กลัวเสียใจไปตลอดทั้งชีวิต) จึงต้องยอมทนอยู่กับผม แม้ว่าผมจะมีภรรยาน้อยหรือสามีน้อยอีกกี่สิบคนก็ตาม
นี่เป็นเพียงตัวอย่างแนวความคิดที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นคำตอบที่ผมถามจากเพื่อน ๆ อาชีพอื่นว่า “ทำไมถึงเลือกจีบแพทย์ผู้หญิงวะ”เพื่อนผมก็รีบตอบทันทีว่า “ก็กูไม่ได้เป็นเกย์นิ จะได้เลือกจีบแพทย์ ผู้ชาย…ฮ่าๆ” กรณีนี้ผมก็คงต้องบอกว่า คนดีในสังคมก็มีเยอะนะ อย่ามองโลกในแง่ ร้ายไปซะหมด เดี๋ยวจะไม่กล้า มีครอบครัว เอาเป็นว่าผมแค่เตือนสติให้น้อง ๆ ระวังตัวไว้เท่านั้นเอง