http://news.voicetv.co.th/thailand/91101.html
รอยเตอร์เปิดใจบรรดาเศรษฐี เซเล็บ ร่วมเป่านกหวีด แจงเป็นกิจกรรมซีเอสอาร์ เผยเมืองไทยยังไม่พร้อมเป็นประชาธิปไตย มองคนจนเป็นพวกโลภ รักสบาย ไร้การศึกษา
ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวรอยเตอร์ ตระเวนสัมภาษณ์บรรดาบุคคลในวงสังคมระดับสูง และคนเด่นคนดัง ในกรุงเทพ ที่เข้าร่วมการประท้วงต่อต้านรัฐบาล เหล่าผู้ดีมีสกุลบอกถึงเหตุผลที่ตนออกสู่ท้องถนน ว่า ต้องการเชิดชูคุณธรรม และแสดงความเห็นว่า เมืองไทยยังไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตย
รายงานเรื่อง "High society hits the streets as prominent Thais join protests" เขียนโดย Andrew R.C. Marshall บอกว่า ความชิงชังของคนเหล่านี้ต่อบรรดาผู้ภักดีต่อทักษิณ ชินวัตร สวนทางกับความรู้สึกของประชาชนเกือบ 16 ล้านคน ที่ได้โหวตเลือกน.ส.ยิ่งลักษณ์ น้องสาวของนายกรัฐมนตรีผู้ถูกโค่นอำนาจ และไม่อาจเยียวยาประเทศซึ่งมีช่องว่างทางชนชั้น ความมั่งคั่ง และการเมือง อย่างไทยได้
จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ อายุ 27 ปี ทายาทเจ้าของบุญรอด บริวเวอรี่ บริษัทผลิตเบียร์สิงห์ ผู้มีสินทรัพย์ราว 83,250 ล้านบาท โดดขึ้นแทร็กเตอร์เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ขณะผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลพยายามทำลายแนวกีดขวางของตำรวจ ที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล
ผู้สื่อข่าว มาร์แชล รายงานว่า การกระทำในสไตล์ลุยแหลกของเธอ สะท้อนว่า บรรดาตระกูลดังของเมืองไทย กำลังเลิกแสร้งว่าเป็นกลางอย่างที่ผ่านมา
นภาลัย อารีสรณ์ บรรณาธิการ Thailand Tatler นิตยสารแนวไฮโซ บอกว่า เธอเห็นท่านผู้หญิงคนหนึ่ง และราชนิกุลหลายคนในที่ชุมนุม "บรรดาท่านที่เราได้เห็นตามหน้าโซไซตี้ ออกมากันเยอะ คนในตระกูลใหญ่ๆเคยถูกเรียกว่า เสียงข้างน้อยผู้สงบปากสงบคำ แต่พวกเขาไม่เงียบเฉยอีกต่อไป"
ศรีวรา อิสสระ เจ้าของกิจการอสังหาริมทรัพย์ ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนต์ พร้อมกับสามี สงกรานต์ ได้ออกนำขบวนประท้วงจากสำนักงานใหญ่ของนางในกรุงเทพ ไปยังที่ทำการพรรคเพื่อไทย
นางบอกว่า ไม่ได้ฝักใฝ่พรรคไหน "ฉันเกลียดการเมือง" เพื่อนคนหนึ่งในธุรกิจประชาสัมพันธ์ ช่วยนางคิดคำขวัญ "คุณธรรมเหนือกว่าประชาธิปไตย" เธอชักชวนคนร่วมขบวนทางเฟซบุ๊ค และออกแจกใบปลิวตามท้องถนนด้วยตัวเอง
ศรีวรา บอกว่า การนำขบวนของตัวเองในวันนั้น เป็นการทำโครงการซีเอสอาร์ของกลุ่มบริษัทชาญอิสสระ "เป็นหน้าที่ของเราที่จะทำความดีเพื่อชาติ"
เพชร โอสถานุเคราะห์ เจ้าของโอสถสภา ผู้ผลิตเครื่องดื่มชูกำลัง และผู้ถือหุ้น 51% ในบริษัท ชิเชโด้ ประเทศไทย ผู้ร่วมถือครองสินทรัพย์มูลค่าราว 20,000 ล้านบาท บอกว่า ถึงเวลาต้องแสดงจุดยืนแล้ว
อดีตนักร้องเพลงป็อบ บอกว่า พวกคนชนบทที่โหวตเลือกยิ่งลักษณ์ เป็นคนด้อยการศึกษา ถูกชักจูงง่าย และเห็นแก่เงิน ยินดีขายเสียงให้แก่นักการเมืองที่ทักษิณสนับสนุน ทำให้การเลือกตั้งไม่มีความหมาย
"ผมไม่ชอบประชาธิปไตยเท่าไหร่" เพชร ซึ่งจบการศึกษาจากสหรัฐ บอก "ผมไม่คิดว่า เราพร้อมสำหรับประชาธิปไตย เราต้องมีรัฐบาลที่เด็ดขาดแบบจีน หรือสิงค์โปร์ ผมอยากได้ผู้นำแบบลีกวนยู"
ปาลาวี บุนนาค นักกฎหมายจากอังกฤษ ผู้สมรสกับวรสิทธิ์ อิสสระ บุตรชายคนโตของศรีวรา ซึ่งไปร่วมชุมนุมหลายครั้ง บอกว่า การให้การศึกษาแก่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ต้องเริ่มที่คนขับรถและแม่บ้านของตัวเองก่อน
เธอเห็นว่า ต้องสอนให้คนอีสานรู้ถึงข้อจำกัดของนโยบายประชานิยม เช่น พวกเงินกู้ทั้งหลาย "พวกเขาอยากมีชีวิตสบาย แต่ไม่ได้คิดว่า ในระยะยาว พวกเขาจะเป็นหนี้ ระบอบทักษิณทำให้ทุกคนละโมบ"
นักวิชาการ คริส เบเกอร์ ให้ความเห็นว่า แม้การซื้อเสียงยังคงมีอยู่ แต่ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดผลเลือกตั้งแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่รู้อะไรๆมากกว่าที่บรรดาอภิสิทธิ์ชนชาวไทยคิด
"ชนชั้นนำและชนชั้นกลางกรุงเทพ มักใช้เวลาในฮ่องกง บอสตัน หรือปารีส มากกว่าในหมู่บ้านของไทย ทัศนะของพวกเขาที่มองว่า ชาวบ้านยากจนไร้การศึกษา นั้น ล้าสมัยไป 2 ทศวรรษ" เบเกอร์ กล่าว.
*** 'ไฮโซกรุงเทพ' แจงร่วมม็อบ 'คืนกำไรให้สังคม' ***
รอยเตอร์เปิดใจบรรดาเศรษฐี เซเล็บ ร่วมเป่านกหวีด แจงเป็นกิจกรรมซีเอสอาร์ เผยเมืองไทยยังไม่พร้อมเป็นประชาธิปไตย มองคนจนเป็นพวกโลภ รักสบาย ไร้การศึกษา
ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวรอยเตอร์ ตระเวนสัมภาษณ์บรรดาบุคคลในวงสังคมระดับสูง และคนเด่นคนดัง ในกรุงเทพ ที่เข้าร่วมการประท้วงต่อต้านรัฐบาล เหล่าผู้ดีมีสกุลบอกถึงเหตุผลที่ตนออกสู่ท้องถนน ว่า ต้องการเชิดชูคุณธรรม และแสดงความเห็นว่า เมืองไทยยังไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตย
รายงานเรื่อง "High society hits the streets as prominent Thais join protests" เขียนโดย Andrew R.C. Marshall บอกว่า ความชิงชังของคนเหล่านี้ต่อบรรดาผู้ภักดีต่อทักษิณ ชินวัตร สวนทางกับความรู้สึกของประชาชนเกือบ 16 ล้านคน ที่ได้โหวตเลือกน.ส.ยิ่งลักษณ์ น้องสาวของนายกรัฐมนตรีผู้ถูกโค่นอำนาจ และไม่อาจเยียวยาประเทศซึ่งมีช่องว่างทางชนชั้น ความมั่งคั่ง และการเมือง อย่างไทยได้
จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ อายุ 27 ปี ทายาทเจ้าของบุญรอด บริวเวอรี่ บริษัทผลิตเบียร์สิงห์ ผู้มีสินทรัพย์ราว 83,250 ล้านบาท โดดขึ้นแทร็กเตอร์เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ขณะผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลพยายามทำลายแนวกีดขวางของตำรวจ ที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล
ผู้สื่อข่าว มาร์แชล รายงานว่า การกระทำในสไตล์ลุยแหลกของเธอ สะท้อนว่า บรรดาตระกูลดังของเมืองไทย กำลังเลิกแสร้งว่าเป็นกลางอย่างที่ผ่านมา
นภาลัย อารีสรณ์ บรรณาธิการ Thailand Tatler นิตยสารแนวไฮโซ บอกว่า เธอเห็นท่านผู้หญิงคนหนึ่ง และราชนิกุลหลายคนในที่ชุมนุม "บรรดาท่านที่เราได้เห็นตามหน้าโซไซตี้ ออกมากันเยอะ คนในตระกูลใหญ่ๆเคยถูกเรียกว่า เสียงข้างน้อยผู้สงบปากสงบคำ แต่พวกเขาไม่เงียบเฉยอีกต่อไป"
ศรีวรา อิสสระ เจ้าของกิจการอสังหาริมทรัพย์ ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนต์ พร้อมกับสามี สงกรานต์ ได้ออกนำขบวนประท้วงจากสำนักงานใหญ่ของนางในกรุงเทพ ไปยังที่ทำการพรรคเพื่อไทย
นางบอกว่า ไม่ได้ฝักใฝ่พรรคไหน "ฉันเกลียดการเมือง" เพื่อนคนหนึ่งในธุรกิจประชาสัมพันธ์ ช่วยนางคิดคำขวัญ "คุณธรรมเหนือกว่าประชาธิปไตย" เธอชักชวนคนร่วมขบวนทางเฟซบุ๊ค และออกแจกใบปลิวตามท้องถนนด้วยตัวเอง
ศรีวรา บอกว่า การนำขบวนของตัวเองในวันนั้น เป็นการทำโครงการซีเอสอาร์ของกลุ่มบริษัทชาญอิสสระ "เป็นหน้าที่ของเราที่จะทำความดีเพื่อชาติ"
เพชร โอสถานุเคราะห์ เจ้าของโอสถสภา ผู้ผลิตเครื่องดื่มชูกำลัง และผู้ถือหุ้น 51% ในบริษัท ชิเชโด้ ประเทศไทย ผู้ร่วมถือครองสินทรัพย์มูลค่าราว 20,000 ล้านบาท บอกว่า ถึงเวลาต้องแสดงจุดยืนแล้ว
อดีตนักร้องเพลงป็อบ บอกว่า พวกคนชนบทที่โหวตเลือกยิ่งลักษณ์ เป็นคนด้อยการศึกษา ถูกชักจูงง่าย และเห็นแก่เงิน ยินดีขายเสียงให้แก่นักการเมืองที่ทักษิณสนับสนุน ทำให้การเลือกตั้งไม่มีความหมาย
"ผมไม่ชอบประชาธิปไตยเท่าไหร่" เพชร ซึ่งจบการศึกษาจากสหรัฐ บอก "ผมไม่คิดว่า เราพร้อมสำหรับประชาธิปไตย เราต้องมีรัฐบาลที่เด็ดขาดแบบจีน หรือสิงค์โปร์ ผมอยากได้ผู้นำแบบลีกวนยู"
ปาลาวี บุนนาค นักกฎหมายจากอังกฤษ ผู้สมรสกับวรสิทธิ์ อิสสระ บุตรชายคนโตของศรีวรา ซึ่งไปร่วมชุมนุมหลายครั้ง บอกว่า การให้การศึกษาแก่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ต้องเริ่มที่คนขับรถและแม่บ้านของตัวเองก่อน
เธอเห็นว่า ต้องสอนให้คนอีสานรู้ถึงข้อจำกัดของนโยบายประชานิยม เช่น พวกเงินกู้ทั้งหลาย "พวกเขาอยากมีชีวิตสบาย แต่ไม่ได้คิดว่า ในระยะยาว พวกเขาจะเป็นหนี้ ระบอบทักษิณทำให้ทุกคนละโมบ"
นักวิชาการ คริส เบเกอร์ ให้ความเห็นว่า แม้การซื้อเสียงยังคงมีอยู่ แต่ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดผลเลือกตั้งแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่รู้อะไรๆมากกว่าที่บรรดาอภิสิทธิ์ชนชาวไทยคิด
"ชนชั้นนำและชนชั้นกลางกรุงเทพ มักใช้เวลาในฮ่องกง บอสตัน หรือปารีส มากกว่าในหมู่บ้านของไทย ทัศนะของพวกเขาที่มองว่า ชาวบ้านยากจนไร้การศึกษา นั้น ล้าสมัยไป 2 ทศวรรษ" เบเกอร์ กล่าว.