แม้จะเป็นติ่ง Middle-Earth แต่กลับไม่ได้คาดหวังอะไรกับหนังชุด The Hobbit มากนักเพราะทีมผู้สร้างเดิมแม้จะมีวิสัยทัศน์ที่สร้างสรรค์ความแปลกใหม่ได้ใน An Unexpected Journey ให้แฟน LOTR ไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อหรือซ้ำซากแต่ก็ไม่ได้เกินกว่ามาตรฐานเก่าที่มีอยู่ แต่ใน The Desolation Of Smaug ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้หนังชุดนี้
สิ่งไม่เคยคิดว่าจะได้เจออย่างปมหรือความขัดแย้งของตัวละครแบบดาร์คๆได้ใส่เข้ามาอย่างน่าสนใจ LOTR มีตัวละครที่มีเอกลักษณ์มากมายแต่เราก็อาจจะไม่ได้รู้จักพวกเค้าอย่างลึกซึ้งนอกจากความกล้าหาญและความเสียสละ ตอนนี้เราได้เห็นความโลภของตัวละครเอกอย่างธอริน ความขัดแย้งเรื่องที่เราเลือกจะเป็นที่ซับซ้อนมากกว่าตอนที่อารากอนเลือกเส้นทางพเนจรกับกษัตริย์ ธอรินก็ต้องเลือกที่จะตามรอยความผิดพลาดของบรรพบุรุษหรือไม่ แม้ตัวเองจะเลือกที่ไม่ทำแต่ความสรรเสริญเยินยออาจทำให้หลงทางได้ ความทนงตนของเค้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆแทนที่โลกสวยขึ้นตามเสต็ปหนังทั่วไป ตรงข้ามกับบาร์ดมือธนูที่อย่างจะเดินตามรอยเท้าของบรรพบุรุษแต่ทุกคนบอกว่าไปผิดทาง(ชอบตัวละครลูกที่เพิ่มเข้ามาทำให้เห็นถึงพลังของครอบครัวได้ชัดเจนขึ้น)
เราได้เห็นความน่าขยะแขยงของคนที่เรียกตัวเองว่าคนดีอย่างเด็จพ่อธรันดี้ สี่ภาคที่ผ่านเอลฟ์ถูกนำเสนอในรูปพ่อพระมาตลอดใครจะคิดว่าจะมีเอลฟ์ที่ชอบสร้างภาพ หลอกลวง เพื่อรักษาให้ตัวได้ถูกเรียกว่าคนดีได้ ตัวะลครอย่างปู่แกนดาร์ฟก็มีอะไรให้เห็นมากกว่าตาแก่ขี้บ่นจอมพลังยังมีมุมสงสารที่เขาต่อคนที่เรียกว่าเพื่อน บิลโบ้ภาคนี้การเปลี่ยนแปลง เหมือนกับโฟรโด้เวอร์ชั่นแก่นๆ การเพิ่มตัวละครที่น่าสนใจอย่างอัลฟริดกับเจ้าเมืองเลคทาวน์ก็สร้างความน่าสนใจในเรื่องของการปกครอง คนเราเรียกร้องสิทธิเมื่อปัญหาแต่ถ้าคิดว่าตัวเองจะสบายก็นิ่งเฉย
ดีใจที่มีการใส่ตัวละครทอเรียลกับความรักของคิลิทำให้หนังมีรสชาติและกลมกล่อมมากขึ้น(ใครไม่ชอบไม่รู้นะผมเชียร์สองคนนี้) แต่ตัวละครเธออย่างไม่ชัดเจนเท่าไหร่กับการเป็นเอลฟ์หัวขบถ แต่ความสวยมันบดบังข้อบกพร่องเอาเป็นว่าผมให้ผ่าน ขัดใจกับรักสามเศร้าของเลโกลัสที่ไม่แข็งแรงพอจะมาเป็นปมให้ตัวละครนี้และกลายเฉลี่ยให้เขายังไม่ดีนักจนเลโกลัสกลายเป็นส่วนเกินที่ดูในหนัง แต่ยังไงก็ดีใจที่เห็นเฮียแกกลับมาอีกครั้ง(พร้อมกับมุกจิกกัดกิมลิ)
ในเรื่องของความบันเทิง ภาคนี้ดำเนินเรื่องเร็วกว่าภาคก่อน จังหวะก็ดีขึ้นมาก ใครคิดว่าภาคที่แล้วง่วงภาคนี้คงทำให้เปลี่ยนใจได้ และหนังอย่างมีหลายทิศทางให้น่าสนใจไม่ได้เกาะแค่ตัวละครกลุ่มเดียว ฉากแอคชั่นต่างก็ทำได้น่าตื่นเต้นมาก มากกว่าที่คาดหวังเอาไว้ซะอีก ประทับใจกับการออกโรงของเจ้ามังสม็อคสุดๆ งานเอฟเฟคก็ทำได้ตื่นตะลึงเหมือนที่เคยมีมาและที่ขาดไม่ได้คือวิวสวยๆ

สุดท้ายหนังทิ้งปมไว้เยอะกั๊กพอสมควรแต่พอคิดต่อว่าภาคหน้าจะเป็นยังไงก็ฟินแล้ว เสียดายซารูแมนไม่มากาลาเดรียลมาชายตาพร้อมบทพูดไม่ถึงหนึ่งนาที สรุปแล้วก็คือประทับใจกับ The Hobbit: The Desolation of Smaug มากๆ เชียร์ให้ไปดูด้วยคะแนน...........................(9/10)
ป.ล.ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หลังจากเป็นประเด็นกันว่าหนังชุด Middle-Earth นั้นเหยียดผิว Peter Jackson เลยคนผิวดำ คนเอเชีย และคนอาหรับเข้ามาด้วยถือว่าเป็นเซอรไพรซ์ เฮียแกกลับมารับบทคนเมากินแครอทอีกครั้งด้วย
The Hobbit: The Desolation of Smaug กรี๊ดดด!! ไปดูมาแล้วคุยกัน (No Spoiling)
สิ่งไม่เคยคิดว่าจะได้เจออย่างปมหรือความขัดแย้งของตัวละครแบบดาร์คๆได้ใส่เข้ามาอย่างน่าสนใจ LOTR มีตัวละครที่มีเอกลักษณ์มากมายแต่เราก็อาจจะไม่ได้รู้จักพวกเค้าอย่างลึกซึ้งนอกจากความกล้าหาญและความเสียสละ ตอนนี้เราได้เห็นความโลภของตัวละครเอกอย่างธอริน ความขัดแย้งเรื่องที่เราเลือกจะเป็นที่ซับซ้อนมากกว่าตอนที่อารากอนเลือกเส้นทางพเนจรกับกษัตริย์ ธอรินก็ต้องเลือกที่จะตามรอยความผิดพลาดของบรรพบุรุษหรือไม่ แม้ตัวเองจะเลือกที่ไม่ทำแต่ความสรรเสริญเยินยออาจทำให้หลงทางได้ ความทนงตนของเค้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆแทนที่โลกสวยขึ้นตามเสต็ปหนังทั่วไป ตรงข้ามกับบาร์ดมือธนูที่อย่างจะเดินตามรอยเท้าของบรรพบุรุษแต่ทุกคนบอกว่าไปผิดทาง(ชอบตัวละครลูกที่เพิ่มเข้ามาทำให้เห็นถึงพลังของครอบครัวได้ชัดเจนขึ้น)
เราได้เห็นความน่าขยะแขยงของคนที่เรียกตัวเองว่าคนดีอย่างเด็จพ่อธรันดี้ สี่ภาคที่ผ่านเอลฟ์ถูกนำเสนอในรูปพ่อพระมาตลอดใครจะคิดว่าจะมีเอลฟ์ที่ชอบสร้างภาพ หลอกลวง เพื่อรักษาให้ตัวได้ถูกเรียกว่าคนดีได้ ตัวะลครอย่างปู่แกนดาร์ฟก็มีอะไรให้เห็นมากกว่าตาแก่ขี้บ่นจอมพลังยังมีมุมสงสารที่เขาต่อคนที่เรียกว่าเพื่อน บิลโบ้ภาคนี้การเปลี่ยนแปลง เหมือนกับโฟรโด้เวอร์ชั่นแก่นๆ การเพิ่มตัวละครที่น่าสนใจอย่างอัลฟริดกับเจ้าเมืองเลคทาวน์ก็สร้างความน่าสนใจในเรื่องของการปกครอง คนเราเรียกร้องสิทธิเมื่อปัญหาแต่ถ้าคิดว่าตัวเองจะสบายก็นิ่งเฉย
ดีใจที่มีการใส่ตัวละครทอเรียลกับความรักของคิลิทำให้หนังมีรสชาติและกลมกล่อมมากขึ้น(ใครไม่ชอบไม่รู้นะผมเชียร์สองคนนี้) แต่ตัวละครเธออย่างไม่ชัดเจนเท่าไหร่กับการเป็นเอลฟ์หัวขบถ แต่ความสวยมันบดบังข้อบกพร่องเอาเป็นว่าผมให้ผ่าน ขัดใจกับรักสามเศร้าของเลโกลัสที่ไม่แข็งแรงพอจะมาเป็นปมให้ตัวละครนี้และกลายเฉลี่ยให้เขายังไม่ดีนักจนเลโกลัสกลายเป็นส่วนเกินที่ดูในหนัง แต่ยังไงก็ดีใจที่เห็นเฮียแกกลับมาอีกครั้ง(พร้อมกับมุกจิกกัดกิมลิ)
ในเรื่องของความบันเทิง ภาคนี้ดำเนินเรื่องเร็วกว่าภาคก่อน จังหวะก็ดีขึ้นมาก ใครคิดว่าภาคที่แล้วง่วงภาคนี้คงทำให้เปลี่ยนใจได้ และหนังอย่างมีหลายทิศทางให้น่าสนใจไม่ได้เกาะแค่ตัวละครกลุ่มเดียว ฉากแอคชั่นต่างก็ทำได้น่าตื่นเต้นมาก มากกว่าที่คาดหวังเอาไว้ซะอีก ประทับใจกับการออกโรงของเจ้ามังสม็อคสุดๆ งานเอฟเฟคก็ทำได้ตื่นตะลึงเหมือนที่เคยมีมาและที่ขาดไม่ได้คือวิวสวยๆ
ป.ล.ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หลังจากเป็นประเด็นกันว่าหนังชุด Middle-Earth นั้นเหยียดผิว Peter Jackson เลยคนผิวดำ คนเอเชีย และคนอาหรับเข้ามาด้วยถือว่าเป็นเซอรไพรซ์ เฮียแกกลับมารับบทคนเมากินแครอทอีกครั้งด้วย