วันเสาร์ที่ผ่านมา (7/12/13) เรากับเพื่อนนั่งรถไฟจากหัวลำโพง โดยมีจุดหมายปลายทางที่สถานีขุนตาน เราไปถึงที่นั่นตอนเช้าวันอาทิตย์ จากนั้นเดินเท้าประมาณ 1.5 กม. จากสถานีรถไฟจึงจะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล เรารู้จักที่นี่จากกระทู้คุณ “digimontamer” เรากับเพื่อนทำใจไว้แล้วว่า ทริปนี้เดิน เดิน เดิน และเดินเท่านั้น
แต่........ผู้หญิงสองคนที่ปกติขึ้นสะพายลอยก็เหนื่อยแล้ว ต้องไปเดินแบกสำภาระขึ้นดอยขึ้นเขาครั้งแรก มันยากเย็นเข็นใจกว่าที่คิดมากกกกก ระยะทางจากสถานีรถไฟไปถึงที่ทำการความรู้สึกตอนนั้นแค่ 1.5 กม. ทำไมมันไกลเหลือเกิน
พวกเราไปถึงที่ทำการด้วยความทุลักทุเลก็จ่ายค่าเข้าอุทยานกับเจ้าหน้าที่คนละ 20 บาท พี่เค้าก็พูดคุยด้วยความเป็นมิตรว่าจองที่พักหรือยัง เรากับเพื่อนจองที่พักเป็นบ้านมิชชันนารี อยู่ที่ ย.3 พี่เจ้าหน้าที่พอได้ยินแล้วก็ทำหน้าตกใจ แล้วตอบกลับว่า ห่างจากที่ทำการ 6 กม. แต่ลดให้ได้ 2 กม. ถ้าติดรถคนอื่นขึ้นไปที่ ย.1 แล้วก็แนะนำให้เราไปรับโบว์ชัวร์ที่ออฟฟิต แต่เรากับเพื่อนคิดว่า แค่เดินๆตามทางจะไปยากอะไร๊ เลยไม่ได้หยิบโบว์ชัวร์มา
ก่อนจะเดินหน้าขึ้นดอย ช่วงนี้ยังซ่าส์อยู่เลยดี๊ด๊าถ่ายรูปตรงถนนที่แบ่งครึ่งระหว่างลำปางกับลำพูน พอเล่นกันจนหนำใจก็เดินหน้าต่อด้วยความมั่นใจสุดขีด เดินไปไม่เท่าไหร่ความเหนื่อยล้าเข้ามาครอบงำอีกครั้ง
เราเห็นรถคันนึงตามหลังมาเลยสะกิดเพื่อนว่าโบกดีป่าวว้า... เพราะเรากับเพื่อนปากหนัก และขี้เกรงใจเหมือนกันทั้งสองคน ในขณะที่พวกเรากลัวๆกล้าๆที่จะโบก รถคันนั้นก็จอดแล้วถามพวกเราว่า น้องจะขึ้นไปข้างบนหรือเปล่าครับ
ตอนนั้นในใจเปี่ยมปิติมาก รีบกระโดดขึ้นรถทันทีไม่ลังเลเลย ได้เจอกับพี่เสื้อดำคนที่เราตามหาอยู่ตอนนี้ พี่เค้าเป็นคนลำปาง แต่มาทำงานที่ลำพูน มาเที่ยวคนเดียว พี่เค้าบอกว่าเห็นพวกเราเดินแล้วไม่น่าจะไหวเลยเรียกขึ้นรถ
โดยส่วนตัวเราเจอพี่เค้าครั้งแรกก็ตอนขึ้นรถพี่เค้านี่แหละ แต่เพื่อนเราเล่าให้ฟังตอนอยู่กันสองคนว่า เดินสวนกันตั้งแต่ที่ทำการอุทยานแล้ว เราเปิดรูปถ่ายทันทีแล้วเจอว่าพี่เค้ายืนอยู่ไกลๆติดรูปที่เรากะเพื่อนถ่ายเกือบทุกรูปเลย ครั้งที่สองเพื่อนเราเห็นรถคันนี้จอดอยู่และเห็นพี่เค้านั่งอยู่คนเดียวตรงจุดชมวิว และครั้งที่สามก็จอดรถเรียกพวกเราขึ้นรถ เราเป็นคนสายตาสั้นและชอบเดินก้มหน้าเลยไม่ค่อยรู้สี่รู้แปดอะไรเท่าไหร่ ก็ได้เพื่อนนี่แหละเป็นหูเป็นตาให้ตลอด
ตอนอยู่บนรถก็คุยเรื่อยเปื่อย เราไม่กล้ามองหน้าพี่เค้าเพราะเรานั่งหน้า แต่เพื่อนเรานั่งหลังสังเกตุละเอียดยิบเพื่อเอามาเล่าให้เราฟัง พอถึง ย.1 ต้องเดินเท้าต่อไปอีก ความจริงพี่เค้าไม่ได้มาค้างเดี๋ยวตอนบ่ายต้องกลับ แต่เค้าเดินไปเป็นเพื่อนพวกเรา
ตอนนี้แหละที่เราได้เห็นรอยยิ้มของพี่เค้า ยิ้มทีโลกสว่างวาบบบ ระหว่างเดินเรารู้สึกได้ถึงความใจดีของพี่เค้า ไม่ว่าจากการพูดคุยหรือที่เค้าช่วยพวกเราถือของ ที่พักของพวกเราอยู่ ย.3 ซึ่งไม่มีร้านค้า จึงต้องเตรียมเสบียงไปเอง ระหว่างทางจาก ย.1 ไป ย.2 ประมาณ 1 กม.แต่โหดใช้ได้ พี่เค้าก็ถามพวกเราตลอดว่าไหวมั๊ย อยากพักหรือเปล่า ซึ่งพวกเราพักแทบจะทุกๆห้านาทีเลย
และแล้วก็มาถึง ย.2 ตรงจุดนี้มีร้านค้า เราไปซื้อโค้กมา 3 กระป๋อง ให้พี่เค้ากระป๋องนึง แต่พี่เค้าบอกว่าน้องเก็บไว้เถอะข้างบนมันไม่มีอะไรขาย แล้วเอาโค้กใส่กระเป๋าเสบียงพวกเรา ตรงจุดนี้ซาบซึ้งอีกรอบ แต่....พี่เค้าต้องกลับแล้ว เค้าเลยไปถามป้าที่ร้านค้าว่า ย.3 อีกไกลมั๊ย อันตรายหรือเปล่า ป้าเค้าบอกว่าเดินอีก 3 กม. ทางไม่ลำบาก ไม่อันตราย และคนดูแลคือสามีป้าเอง เดี๋ยวจะให้ไปเปิดประตูที่พักไว้ให้
ในที่สุดเวลาของการจากลาก็มาถึง ตอนแรกไม่ได้คิดอะไร แต่พอเดินไปซักพัก เฮ้ยยย ทำไมเราไม่ถามชื่อ ขอเมล์ หรืออะไรไว้เลย เผื่อพี่เค้ามากรุงเทพจะได้เลี้ยงข้าวพี่เค้าบ้าง วันนั้นทั้งวัน จนถึงตอนนี้เรายังเพ้อเจ้อและคิดว่าลองเอามาลงพันทิบดู แต่ทำใจไว้แล้วว่าคงไม่เจอหรอก ก็ถือซะว่าได้แบ่งปันประสบการณ์ที่เราประทับใจมากให้เพื่อนๆฟัง
ตามหาพี่เสื้อดำ ที่เจอกันที่ดอยขุนตาล (8/12/13)
แต่........ผู้หญิงสองคนที่ปกติขึ้นสะพายลอยก็เหนื่อยแล้ว ต้องไปเดินแบกสำภาระขึ้นดอยขึ้นเขาครั้งแรก มันยากเย็นเข็นใจกว่าที่คิดมากกกกก ระยะทางจากสถานีรถไฟไปถึงที่ทำการความรู้สึกตอนนั้นแค่ 1.5 กม. ทำไมมันไกลเหลือเกิน
พวกเราไปถึงที่ทำการด้วยความทุลักทุเลก็จ่ายค่าเข้าอุทยานกับเจ้าหน้าที่คนละ 20 บาท พี่เค้าก็พูดคุยด้วยความเป็นมิตรว่าจองที่พักหรือยัง เรากับเพื่อนจองที่พักเป็นบ้านมิชชันนารี อยู่ที่ ย.3 พี่เจ้าหน้าที่พอได้ยินแล้วก็ทำหน้าตกใจ แล้วตอบกลับว่า ห่างจากที่ทำการ 6 กม. แต่ลดให้ได้ 2 กม. ถ้าติดรถคนอื่นขึ้นไปที่ ย.1 แล้วก็แนะนำให้เราไปรับโบว์ชัวร์ที่ออฟฟิต แต่เรากับเพื่อนคิดว่า แค่เดินๆตามทางจะไปยากอะไร๊ เลยไม่ได้หยิบโบว์ชัวร์มา
ก่อนจะเดินหน้าขึ้นดอย ช่วงนี้ยังซ่าส์อยู่เลยดี๊ด๊าถ่ายรูปตรงถนนที่แบ่งครึ่งระหว่างลำปางกับลำพูน พอเล่นกันจนหนำใจก็เดินหน้าต่อด้วยความมั่นใจสุดขีด เดินไปไม่เท่าไหร่ความเหนื่อยล้าเข้ามาครอบงำอีกครั้ง
เราเห็นรถคันนึงตามหลังมาเลยสะกิดเพื่อนว่าโบกดีป่าวว้า... เพราะเรากับเพื่อนปากหนัก และขี้เกรงใจเหมือนกันทั้งสองคน ในขณะที่พวกเรากลัวๆกล้าๆที่จะโบก รถคันนั้นก็จอดแล้วถามพวกเราว่า น้องจะขึ้นไปข้างบนหรือเปล่าครับ
ตอนนั้นในใจเปี่ยมปิติมาก รีบกระโดดขึ้นรถทันทีไม่ลังเลเลย ได้เจอกับพี่เสื้อดำคนที่เราตามหาอยู่ตอนนี้ พี่เค้าเป็นคนลำปาง แต่มาทำงานที่ลำพูน มาเที่ยวคนเดียว พี่เค้าบอกว่าเห็นพวกเราเดินแล้วไม่น่าจะไหวเลยเรียกขึ้นรถ
โดยส่วนตัวเราเจอพี่เค้าครั้งแรกก็ตอนขึ้นรถพี่เค้านี่แหละ แต่เพื่อนเราเล่าให้ฟังตอนอยู่กันสองคนว่า เดินสวนกันตั้งแต่ที่ทำการอุทยานแล้ว เราเปิดรูปถ่ายทันทีแล้วเจอว่าพี่เค้ายืนอยู่ไกลๆติดรูปที่เรากะเพื่อนถ่ายเกือบทุกรูปเลย ครั้งที่สองเพื่อนเราเห็นรถคันนี้จอดอยู่และเห็นพี่เค้านั่งอยู่คนเดียวตรงจุดชมวิว และครั้งที่สามก็จอดรถเรียกพวกเราขึ้นรถ เราเป็นคนสายตาสั้นและชอบเดินก้มหน้าเลยไม่ค่อยรู้สี่รู้แปดอะไรเท่าไหร่ ก็ได้เพื่อนนี่แหละเป็นหูเป็นตาให้ตลอด
ตอนอยู่บนรถก็คุยเรื่อยเปื่อย เราไม่กล้ามองหน้าพี่เค้าเพราะเรานั่งหน้า แต่เพื่อนเรานั่งหลังสังเกตุละเอียดยิบเพื่อเอามาเล่าให้เราฟัง พอถึง ย.1 ต้องเดินเท้าต่อไปอีก ความจริงพี่เค้าไม่ได้มาค้างเดี๋ยวตอนบ่ายต้องกลับ แต่เค้าเดินไปเป็นเพื่อนพวกเรา
ตอนนี้แหละที่เราได้เห็นรอยยิ้มของพี่เค้า ยิ้มทีโลกสว่างวาบบบ ระหว่างเดินเรารู้สึกได้ถึงความใจดีของพี่เค้า ไม่ว่าจากการพูดคุยหรือที่เค้าช่วยพวกเราถือของ ที่พักของพวกเราอยู่ ย.3 ซึ่งไม่มีร้านค้า จึงต้องเตรียมเสบียงไปเอง ระหว่างทางจาก ย.1 ไป ย.2 ประมาณ 1 กม.แต่โหดใช้ได้ พี่เค้าก็ถามพวกเราตลอดว่าไหวมั๊ย อยากพักหรือเปล่า ซึ่งพวกเราพักแทบจะทุกๆห้านาทีเลย
และแล้วก็มาถึง ย.2 ตรงจุดนี้มีร้านค้า เราไปซื้อโค้กมา 3 กระป๋อง ให้พี่เค้ากระป๋องนึง แต่พี่เค้าบอกว่าน้องเก็บไว้เถอะข้างบนมันไม่มีอะไรขาย แล้วเอาโค้กใส่กระเป๋าเสบียงพวกเรา ตรงจุดนี้ซาบซึ้งอีกรอบ แต่....พี่เค้าต้องกลับแล้ว เค้าเลยไปถามป้าที่ร้านค้าว่า ย.3 อีกไกลมั๊ย อันตรายหรือเปล่า ป้าเค้าบอกว่าเดินอีก 3 กม. ทางไม่ลำบาก ไม่อันตราย และคนดูแลคือสามีป้าเอง เดี๋ยวจะให้ไปเปิดประตูที่พักไว้ให้
ในที่สุดเวลาของการจากลาก็มาถึง ตอนแรกไม่ได้คิดอะไร แต่พอเดินไปซักพัก เฮ้ยยย ทำไมเราไม่ถามชื่อ ขอเมล์ หรืออะไรไว้เลย เผื่อพี่เค้ามากรุงเทพจะได้เลี้ยงข้าวพี่เค้าบ้าง วันนั้นทั้งวัน จนถึงตอนนี้เรายังเพ้อเจ้อและคิดว่าลองเอามาลงพันทิบดู แต่ทำใจไว้แล้วว่าคงไม่เจอหรอก ก็ถือซะว่าได้แบ่งปันประสบการณ์ที่เราประทับใจมากให้เพื่อนๆฟัง