การถอยของ "นายกฯ หญิง" ครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้การขับเคลื่อนของมวลชน กปปส. หยุดชะงัก เพราะ
ยังมีข้อเรียกร้องสำคัญอีกประการ คือ การลาออกจากรัฐบาลรักษาการ เพื่อเปิดทางให้มีสภา
ประชาชนทำการปฏิรูปการเมืองในระยะเวลาหนึ่ง
โดยคำขาดที่ "สุเทพ" ยื่นให้ "ยิ่งลักษณ์" นั้น หากยึดตามตัวบทรัฐธรรมนูญ ไม่มีมาตราใด จะเอื้อ
ให้สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ หลายฝ่ายจึงเชื่อว่า เป้าประสงค์ที่แท้จริง ของข้อเรียกร้อง คือ
การทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง จนนำไปสู่การใช้ มาตรา 7 ในที่สุด
แต่การที่ กปปส. จะเดินหน้าสู่เป้าหมาย โดยมีมวลชนจำนวนมาก ให้การสนับสนุน อย่างที่ไม่เคย
ปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองนั้น ต้องไม่ลืมว่า ฝ่ายรัฐบาลเอง ก็มีความชอบธรรม ที่ยึด
ตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ เป็นเกราะกำบัง ในการทำหน้าที่รักษาการ
ดังนั้น ข้อเรียกร้องของ กปปส. แม้จะทำได้ ก็คงยากที่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะปฏิบัติตาม ด้วย
เหตุนี้ จึงมีการจับตาไปถึงท่าที ขององค์กรอิสระ ที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย นายกรัฐมนตรี อย่างคณะ
กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ตลอดอายุการทำงานของรัฐบาล
2 ปี 4 เดือน มีคดีที่เกี่ยวพันกับนายกรัฐมนตรี ที่ค้างในการไต่สวนข้อเท็จจริง ของ ป.ป.ช. อยู่หลาย
คดี เช่น
<
<
<
แม้จะมีคดีที่ค้างในการไต่สวนจำนวนมาก แต่คดีต่างๆ จะมีผลต่อตัวนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลก็ต่อ
เมื่อ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด นายกรัฐมนตรีแล้วเท่านั้น
ตามมาตรา 55 ของร่าง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ.2542 ที่บัญญัติให้ผู้ที่ถูกชี้มูลความผิด ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกา แผนกคดี
อาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษา หรือวุฒิสภามีความเห็นในกรณีถอดถอน
ออกจากตำแหน่ง
หากระหว่าง 60 วันนี้ ที่ "ยิ่งลักษณ์" ต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ ป.ป.ช. ชี้มูล
ความผิดขึ้นมา เท่ากับว่านายกรัฐมนตรี จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่อะไรได้ ซึ่งจะเกิดผลกระทบ
อย่างแน่นอน และนำไปสู่การเกิดสุญญากาศในที่สุด
แต่ทว่า คดีทุกอย่างที่อยู่ใน ป.ป.ช. ขณะนี้ ไม่มีคดีใดที่ ป.ป.ช. จะชี้มูลได้ ในระหว่างนี้ ตามที่
นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ยอมรับล่าสุดว่า ตามกระบวนการไต่สวน ป.ป.ช. จะต้องแจ้ง
ข้อกล่าวหาและให้ผู้ถูกกล่าวหาเข้าชี้แจงต่อ ป.ป.ช. ก่อนที่จะไปสู่ขั้นตอนการแสวงหาข้อเท็จจริง
รวบรวมพยานหลักฐาน สรุปสำนวนและชี้มูลการกระทำความผิด ซึ่งใช้ระยะเวลาอีกนานพอสมควร
"อย่าให้เราเป็นพื้นฐานทำลายใครหรือประกอบผลประโยชน์ให้ใคร เพราะ ป.ป.ช. ทำหน้าที่ด้วย
ความอิสระ ส่วนผลกระทบต่างๆ ทางการเมืองในขณะนี้ เมื่อนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา อำนาจ
ทั้งหมดอยู่ที่ กกต.แล้ว จากนี้ก็ให้ไปสัมภาษณ์ประธาน กกต. กันบ้าง เพราะอำนาจทั้งหมดว่า
นายกฯ จะทำอะไรได้หรือไม่ ต้องปรึกษาประธาน กกต." คำกล่าวของ นายวิชา มหาคุณ
ข่าวลือที่จะใช้ ป.ป.ช. เป็นเครื่องมือกำจัด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรีรักษาการ
จึงห่างไกลจากความเป็นจริง.
ทีมข่าวการเมืองรายงาน
http://www.thairath.co.th/content/pol/388626
ออกตัวแบบนี้ ก็ยังไม่รู้ว่า ของจริงจะเป็นแบบไหน
หากว่าเป็นเรื่องจริง ก็นับเป็นข่าวดี ของคนรักประชาธิปไตย
กระบวนการ ประชาธิปไตย เดินหน้าต่อไปได้ ใครอยากหยุด ก็หยุดไปฝ่ายเดียว ...
ปิดประตู พึ่งป.ป.ช.สอย'ยิ่งลักษณ์'พ้นเก้าอี้นายกฯรักษาการ ... ข่าวไทยรัฐออนไลน์
การถอยของ "นายกฯ หญิง" ครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้การขับเคลื่อนของมวลชน กปปส. หยุดชะงัก เพราะ
ยังมีข้อเรียกร้องสำคัญอีกประการ คือ การลาออกจากรัฐบาลรักษาการ เพื่อเปิดทางให้มีสภา
ประชาชนทำการปฏิรูปการเมืองในระยะเวลาหนึ่ง
โดยคำขาดที่ "สุเทพ" ยื่นให้ "ยิ่งลักษณ์" นั้น หากยึดตามตัวบทรัฐธรรมนูญ ไม่มีมาตราใด จะเอื้อ
ให้สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ หลายฝ่ายจึงเชื่อว่า เป้าประสงค์ที่แท้จริง ของข้อเรียกร้อง คือ
การทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง จนนำไปสู่การใช้ มาตรา 7 ในที่สุด
แต่การที่ กปปส. จะเดินหน้าสู่เป้าหมาย โดยมีมวลชนจำนวนมาก ให้การสนับสนุน อย่างที่ไม่เคย
ปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองนั้น ต้องไม่ลืมว่า ฝ่ายรัฐบาลเอง ก็มีความชอบธรรม ที่ยึด
ตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ เป็นเกราะกำบัง ในการทำหน้าที่รักษาการ
ดังนั้น ข้อเรียกร้องของ กปปส. แม้จะทำได้ ก็คงยากที่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะปฏิบัติตาม ด้วย
เหตุนี้ จึงมีการจับตาไปถึงท่าที ขององค์กรอิสระ ที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย นายกรัฐมนตรี อย่างคณะ
กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ตลอดอายุการทำงานของรัฐบาล
2 ปี 4 เดือน มีคดีที่เกี่ยวพันกับนายกรัฐมนตรี ที่ค้างในการไต่สวนข้อเท็จจริง ของ ป.ป.ช. อยู่หลาย
คดี เช่น
<
<
<
แม้จะมีคดีที่ค้างในการไต่สวนจำนวนมาก แต่คดีต่างๆ จะมีผลต่อตัวนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลก็ต่อ
เมื่อ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด นายกรัฐมนตรีแล้วเท่านั้น
ตามมาตรา 55 ของร่าง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ.2542 ที่บัญญัติให้ผู้ที่ถูกชี้มูลความผิด ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกา แผนกคดี
อาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษา หรือวุฒิสภามีความเห็นในกรณีถอดถอน
ออกจากตำแหน่ง
หากระหว่าง 60 วันนี้ ที่ "ยิ่งลักษณ์" ต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ ป.ป.ช. ชี้มูล
ความผิดขึ้นมา เท่ากับว่านายกรัฐมนตรี จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่อะไรได้ ซึ่งจะเกิดผลกระทบ
อย่างแน่นอน และนำไปสู่การเกิดสุญญากาศในที่สุด
แต่ทว่า คดีทุกอย่างที่อยู่ใน ป.ป.ช. ขณะนี้ ไม่มีคดีใดที่ ป.ป.ช. จะชี้มูลได้ ในระหว่างนี้ ตามที่
นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ยอมรับล่าสุดว่า ตามกระบวนการไต่สวน ป.ป.ช. จะต้องแจ้ง
ข้อกล่าวหาและให้ผู้ถูกกล่าวหาเข้าชี้แจงต่อ ป.ป.ช. ก่อนที่จะไปสู่ขั้นตอนการแสวงหาข้อเท็จจริง
รวบรวมพยานหลักฐาน สรุปสำนวนและชี้มูลการกระทำความผิด ซึ่งใช้ระยะเวลาอีกนานพอสมควร
"อย่าให้เราเป็นพื้นฐานทำลายใครหรือประกอบผลประโยชน์ให้ใคร เพราะ ป.ป.ช. ทำหน้าที่ด้วย
ความอิสระ ส่วนผลกระทบต่างๆ ทางการเมืองในขณะนี้ เมื่อนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา อำนาจ
ทั้งหมดอยู่ที่ กกต.แล้ว จากนี้ก็ให้ไปสัมภาษณ์ประธาน กกต. กันบ้าง เพราะอำนาจทั้งหมดว่า
นายกฯ จะทำอะไรได้หรือไม่ ต้องปรึกษาประธาน กกต." คำกล่าวของ นายวิชา มหาคุณ
ข่าวลือที่จะใช้ ป.ป.ช. เป็นเครื่องมือกำจัด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรีรักษาการ
จึงห่างไกลจากความเป็นจริง.
ทีมข่าวการเมืองรายงาน
http://www.thairath.co.th/content/pol/388626
ออกตัวแบบนี้ ก็ยังไม่รู้ว่า ของจริงจะเป็นแบบไหน
หากว่าเป็นเรื่องจริง ก็นับเป็นข่าวดี ของคนรักประชาธิปไตย
กระบวนการ ประชาธิปไตย เดินหน้าต่อไปได้ ใครอยากหยุด ก็หยุดไปฝ่ายเดียว ...