"ตากใบ" คืออาชญากรรมของรัฐ
การสลายการชุมนุมของประชาชนผู้ไร้อาวุธที่ตากใบในวันที่ 25 ตุลาคม 2547 โดยการขนประชาชนขึ้นรถทหารในลักษณะเลวร้ายยิ่งกว่าหมูหมา ด้วยการผูกมือไว้ข้างหลังแล้วให้นอนทับกันหกถึงเจ็ดชั้น ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานาน มีผลทำให้คนตาย 78 คน (ไม่นับผู้ที่ถูกยิงตาย) ต้องถือว่าเป็นอาชญากรรมของรัฐไทย เทียบเท่าการฆ่าประชาชนในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม, ๖ ตุลาคม, พฤษภาคม ๓๕, และเมษายน ๒๕๕๒
ดังนั้นการที่ศาลสงขลาตัดสินว่าเจ้าหน้าที่รัฐ ‘ไม่ได้ทำความผิด’ เป็นตัวอย่างของกระบวนการยุติธรรมไทยที่ไร้ความยุติธรรมโดยสิ้นเชิง กระบวนการยุติธรรมไทยเลือกที่จะปกป้องทหาร ตำรวจ และอำมาตย์มาตลอด แทนที่จะปกป้องสิทธิเสรีภาพและชีวิตของประชาชน มันเป็นอีกตัวอย่างของสองมาตรฐาน และฟ้องถึงสภาพนิติรัฐของไทย
สำหรับคนเสื้อแดง กรณีตากใบ กรือแซะ และกรณีสงครามยาเสพติดที่มีคนบริสุทธิ์ต้องถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก และผู้กระทำผิดยังไม่ถูกนำตัวมาขึ้นศาล เป็นสิ่งที่ท้าทายความคิด เพราะอาชญากรรมเหล่านี้เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลไทยรักไทยของนายกฯทักษิณ ชินวัตร
ถ้าคนเสื้อแดงรักประชาธิปไตยจริง ก็ต้องไม่ปกป้อง หรือแก้ตัวแทนรัฐบาลทักษิณได้ในจุดนี้ และเราไม่ควรมองข้ามไม่พูดถึง เพราะ ‘ผิด’ ก็ ‘ผิด’ ไม่ว่าใครจะทำ เราไม่อยากสร้างสองมาตรฐานเหมือนคนเสื้อเหลือง และที่สำคัญเราต้องโตและพัฒนาพอที่จะยอมรับข้อผิดพลาดในอดีตของรัฐบาลไทยรักไทยได้ เราต้องฟันธงไปว่า ถ้าในอนาคตมีรัฐบาลเสื้อแดง รัฐบาลนี้จะไม่ก่ออาชญากรรมอีก จะปกป้องสิทธิเสรีภาพ และจะนำผู้กระทำความผิด โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ มาลงโทษ
เราต้องเสนอต่อไปให้นักการเมืองไทยรักไทยทบทวนความคิด และต้องเสนอว่า สงครามกลางเมืองในภาคใต้ และปัญหายาเสพติด ต้องแก้ไขด้วยนโยบายการเมืองและนโยบายสังคม ไม่ใช่การทหาร การปราบปราม หรือการใช้ความรุนแรง ผมเชื่อมั่นว่า คนเสื้อแดงจะเข้าใจประเด็นนี้ เพราะเราคือผู้ใช้เหตุผล เราไม่ได้บ้าคลั่งเหมือนคนเสื้อเหลือง
การที่คนในภาคใต้จับอาวุธสู้กับรัฐบาลไทยมีเหตุผล มันมาจากการที่เขาไม่เคยได้รับความเคารพในฐานะที่เป็นคนมาเลย์มุสลิม รัฐไทยทำให้เขาเป็นพลเมืองชั้นสอง การที่คนใช้ยาเสพติดก็มีเหตุผล อาจมีปัญหาทางจิตใจ อาจเศร้า อยู่ในสภาวะแปลกแยกจากสังคม หรืออาจเป็นความจำเป็นในการทำงานหลายชั่วโมงต่อวัน หรือแค่เสพเพื่อความสุข ดังนั้นปัญหาแบบนี้ล้วนต้องแก้ที่ต้นเหตุ ด้วยความใจกว้าง ด้วยความเมตตา และด้วยหลักสิทธิมนุษยชน
"เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เคยลืม ตราบใดที่เขาไม่ให้ความยุติธรรม"
การสลายการชุมนุมของประชาชนผู้ไร้อาวุธที่ตากใบในวันที่ 25 ตุลาคม 2547 โดยการขนประชาชนขึ้นรถทหารในลักษณะเลวร้ายยิ่งกว่าหมูหมา ด้วยการผูกมือไว้ข้างหลังแล้วให้นอนทับกันหกถึงเจ็ดชั้น ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานาน มีผลทำให้คนตาย 78 คน (ไม่นับผู้ที่ถูกยิงตาย) ต้องถือว่าเป็นอาชญากรรมของรัฐไทย เทียบเท่าการฆ่าประชาชนในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม, ๖ ตุลาคม, พฤษภาคม ๓๕, และเมษายน ๒๕๕๒
ดังนั้นการที่ศาลสงขลาตัดสินว่าเจ้าหน้าที่รัฐ ‘ไม่ได้ทำความผิด’ เป็นตัวอย่างของกระบวนการยุติธรรมไทยที่ไร้ความยุติธรรมโดยสิ้นเชิง กระบวนการยุติธรรมไทยเลือกที่จะปกป้องทหาร ตำรวจ และอำมาตย์มาตลอด แทนที่จะปกป้องสิทธิเสรีภาพและชีวิตของประชาชน มันเป็นอีกตัวอย่างของสองมาตรฐาน และฟ้องถึงสภาพนิติรัฐของไทย
สำหรับคนเสื้อแดง กรณีตากใบ กรือแซะ และกรณีสงครามยาเสพติดที่มีคนบริสุทธิ์ต้องถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก และผู้กระทำผิดยังไม่ถูกนำตัวมาขึ้นศาล เป็นสิ่งที่ท้าทายความคิด เพราะอาชญากรรมเหล่านี้เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลไทยรักไทยของนายกฯทักษิณ ชินวัตร
ถ้าคนเสื้อแดงรักประชาธิปไตยจริง ก็ต้องไม่ปกป้อง หรือแก้ตัวแทนรัฐบาลทักษิณได้ในจุดนี้ และเราไม่ควรมองข้ามไม่พูดถึง เพราะ ‘ผิด’ ก็ ‘ผิด’ ไม่ว่าใครจะทำ เราไม่อยากสร้างสองมาตรฐานเหมือนคนเสื้อเหลือง และที่สำคัญเราต้องโตและพัฒนาพอที่จะยอมรับข้อผิดพลาดในอดีตของรัฐบาลไทยรักไทยได้ เราต้องฟันธงไปว่า ถ้าในอนาคตมีรัฐบาลเสื้อแดง รัฐบาลนี้จะไม่ก่ออาชญากรรมอีก จะปกป้องสิทธิเสรีภาพ และจะนำผู้กระทำความผิด โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ มาลงโทษ
เราต้องเสนอต่อไปให้นักการเมืองไทยรักไทยทบทวนความคิด และต้องเสนอว่า สงครามกลางเมืองในภาคใต้ และปัญหายาเสพติด ต้องแก้ไขด้วยนโยบายการเมืองและนโยบายสังคม ไม่ใช่การทหาร การปราบปราม หรือการใช้ความรุนแรง ผมเชื่อมั่นว่า คนเสื้อแดงจะเข้าใจประเด็นนี้ เพราะเราคือผู้ใช้เหตุผล เราไม่ได้บ้าคลั่งเหมือนคนเสื้อเหลือง
การที่คนในภาคใต้จับอาวุธสู้กับรัฐบาลไทยมีเหตุผล มันมาจากการที่เขาไม่เคยได้รับความเคารพในฐานะที่เป็นคนมาเลย์มุสลิม รัฐไทยทำให้เขาเป็นพลเมืองชั้นสอง การที่คนใช้ยาเสพติดก็มีเหตุผล อาจมีปัญหาทางจิตใจ อาจเศร้า อยู่ในสภาวะแปลกแยกจากสังคม หรืออาจเป็นความจำเป็นในการทำงานหลายชั่วโมงต่อวัน หรือแค่เสพเพื่อความสุข ดังนั้นปัญหาแบบนี้ล้วนต้องแก้ที่ต้นเหตุ ด้วยความใจกว้าง ด้วยความเมตตา และด้วยหลักสิทธิมนุษยชน