อยากจะซื้อไฟท้ายจักรยานดีๆสักอัน เลยไปอ่านนิตยสาร Cycling Plus ของต่างประเทศ
มีจัดอันดับสินค้าจักรยานหลายๆประเภท หลายๆอย่าง หนึ่งในนั้นคือไฟท้ายจักรยาน
นิตยสายเขาแนะนำตัวนี้ครับ "Knog Blinder Road"
จากรูปแล้วต่างประเทศเขาให้ 5 ดาวแน่ะ กับไฟท้ายตัวนี้
แต่ที่จะคาใจคือเรื่อง "ราคา" ครับ เมื่อเปรียบเทียบราคาไฟท้ายจักรยานแบบเดียวกันกับยี่ห้ออื่นๆแล้ว
ถือว่าแพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกันครับ สนน ราคาค่าตัวที่ผมได้มานี่ก็ 1,700.- ครับ
แต่จะว่าคุ้มหรือไม่คุ้มนั้น เรามาดูกันครับ
หลังจากสั่งของไป วันนี้ก็ได้สัมผัสตัวจริงเสียงจริงสักทีครับกับยี่ห้อจากออสเตรเลียนามว่า Knog
ซึ่งส่วนตัวผมแล้วนั้น เป็นยี่ห้อใหม่สำหรับผมที่ไม่ค่อยคุ้นหู หรือชินตาเท่าไร เพราะมักจะได้ยินแต่ของค่าย CatEye ซะมากกว่า
ตัวแพคเกจก็ทำได้ดีพอสมควรครับ สมราคา ดูดีมีสไตล์ ตัวกล่องเป็นกระดาษแข็งๆ ปิดด้วยพลาสติกใสครับ

ด้านหลังกล่องจะบอกรายละเอียดต่างๆ ครับ
ตัวไฟจะประกอบด้วยหลอดไฟทั้งหมด 4 หลอด
3 หลอดบนเรียงกันจะเป็น หลอด LED ครับ ส่วนหลอดใหญ่ด้านล่าง เป็นแบบ Cree LED
ให้ความสว่างที่ 70 Lumens
องศาของแสงไฟด้านข้าง 290 องศาครับ
(ไม่ใช่ไฟทั้ง 4 หลอดเดิมนะครับ ด้านข้างไฟจะเป็นพลาสติกสีใส ให้แสงไฟผ่านได้ครับ ตามรูปเลยครับ)

กันน้ำ 100% ครับ

การชาร์จไฟก็สามารถทำได้โดยการใช้สายชาร์จแบบหัว USB ที่จะมัมาให้ครับ
เวลาในการชาร์จไฟตั้งแต่แบตหมดจนกระทั่งเต็ม ประมาณ 5 ชม. มีแถบบอกระดับแบตเตอรี่ระหว่างชาร์จด้วยว่าชาร์จเต็มหรือยัง
น้ำหนักรวมประมาณ 50 ก. ครับ ถือว่าค่อนข้างเบาเลยแหละ
แบตเตอรี่เป็น LiPo ครับ

ผมลองใช้ Adapter ของสายชาร์จ iPhone ก็ชาร์จได้นะครับ ผมว่าสะดวกและง่ายกว่าสายชาร์จที่มีมาให้เยอะเลยครับ
ลืมบอกไปครับว่า ตอนชาร์จ เปิดไฟเล่นดูไม่ได้นะครับ

ด้านข้างกล่องจะบอกรายละเอียดของโหมดไฟต่างๆ ซึ่งไฟท้าย Knog Blinder Road รุ่นนี้มีด้วยกัน 5 โหมดครับ

1. Steady ไฟจะเปิดค้างแช่ไว้ทั้งหมด 4 ดวงเลยครับ เป็นโหมดที่กินไฟมากที่สุด อยู่ได้เพียงแค่ 3 ชม. ครึ่งเท่านั้นเองครับ
2. Fast เป็นโหมดไฟกระำพริบทั้วๆไปครับ กระพริบทั้งหมด 4 ดวงเช่นกัน อยู่ได้นานขึ้นอีกนิด ที่ 4 ชม.
3. Chaser ผมขอเรียกโหมดนี้ว่า "โหมดกระสือ" ครับ เพราะว่ามันเหมือนแสงไฟวูบวาบแบบผีกระสือในหนังมากๆ ลักษณะจะเป็นไฟติดทีละดวงไล่ไปตั้งแต่ดวงบนสุดยันล่างสุด แล้วก็ดับไล่ขึ้นมาจากดวงล่างสุดยันบนสุด วูบๆ วาบๆ ไปมาเรื่อยๆครับ โหมดนี้อยู้ได้นานประมาณ 5 ชม. ทีเดียวล่ะ
4. Peloton โหมดนี้จะเป็นไฟค้างเฉพาะ ไฟสองดวงตรงกลางครับ ไม่มีอะไรพิเศษ อยู่ได้นานถึง 13 ชม.
5. Eco โหมดประัหยัดไฟ เป็นไปกระพริบเร็วๆ ซึ่งเร็วกว่าทุกๆโหมด เรียกว่าเร็วประมาณแสงแฟลชกล้องถ่ายรูปอ่ะครับ เป็นไฟจากหลอด LED แลบ 3 ดวงบน สลับกับ ไฟแบบ cree ดวงใหญ่สุดด้านล่าง ส่วนตัวแล้วผมชอบโหมดนี้มากครับ เพราะว่ามันอยู่ได้นานมากถึง 20 ชม. (ข้างกล่องเค้าเคลมมาว่าอย่างนั้น)

อันนี้ผมก็งงเหมือนกันครับ เหมือนกับว่าแนะนำวันที่ ให้ชาร์จอีกครั้ง ตอน สิงหาคม ปี 2557 (ปีหน้า)

ตัวยึดจะเป็นแบบยางยืดกับตัวล๊อคเกี่ยวยางเป็นเหล็กครับ ผมลองจับๆดูเบื้องต้น คิดว่าตรงจุดนี้เป็นจุดอ่อนของไฟท้ายยี่ห้อนี้เลยครับ
นั่นคือ ยางที่ใช้รัดกับอานจักรยาน ถ้าใช้ไปนานๆอาจเกิดการขาดได้ครับ ซึ่งผมคิดว่าถ้าเราต้องถอดเข้า ถอดออก เพื่อนำมาชาร์จไฟกับ
ตัวสาย USB นั้น เลี่ยงไม่ได้เลยที่จะทำให้สายยางนั้นขาดก่อนวัยอันควร

สวิตซ์เปิด-ปิด จะอยู่ด้านบนครับ เป็นปุ่มยางปุ่มเดียวโดดๆ
กับไฟบอกสถานะเวลาชาร์จครับ
(เวลาชาร์จไฟจะเป็นสีแดงครับ ชาร์จเสร็จจะเป็นอีกสีนึงครับ ผมยังชาร์จไม่เต็ม เป็นสีอะไรเด๋วจะมาบอกทีหลังนะครับ)
เวลาจะเปิด หรือ ปิด ก็ใช้วิธีกดค้างประมาณ 1 วิครับ แล้วก็กดเปลี่ยนโหมดไปเรื่อยๆ วนๆไปครับ

สายชาร์จที่ให้มาในกล้องครับ เป็นสาย USB ใช้ชาร์จกับคอมก็ได้ครับ หรือกับ Adapter ก็ได้ไม่มีปัญหา
- ข้อดี
1.สว่างมากๆ
2.ชาร์จกับ USB ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อถ่าน AAA หรือ AA ให้ยุ่งยาก
3.น้ำหนักเบา งานเนี้ยบ
4.มีหลายโหมดให้เลือกใช้ โหมดที่ประหยัดไฟที่สุดอยู่ใด้นานถึง 20 ชม. (เค้าเคลมมาว่าอย่างนั้น ผมยังไม่ลองนะครับ)
- ข้อเสีย
1.ราคาค่อนข้างสูง (1,700.-) อาจถูกขโมยได้
2.ใช้ไปนานๆ โดนแดด โดนฝน ยางรัดอาจขาดได้
3.ช่องชาร์จ USB ของสายชาร์จที่ให้มาค่อนข้างใส่ยากนิดนึง เวลาถอดก็ต้องดึงค่อนข้างแรก กลัวว่าใช้ไปนานๆ อาจหักได้ แต่ผมแก้ปัญหาโดยการใช้คู่กับ Adapter สายชาร์จ iPhone แทนครับ สะดวกกว่ากันเยอะ
4.สำหรับคนที่ไม่ได้อ่านคู่มือ เวลาชาร์จกับสายชาร์จ USB ที่ให้มา อาจจะสับสนได้ว่าต้องเสียบด้านไหน ผมก็ลองดูแล้วถ้าเสียบผิดด้านจะชาร์จไม่ได้นะครับ ระวังด้วย เพราะถ้าชาร์จผิดด้านมันจะเป็นรอยเลยครับ
- สรุป
จากการได้สัมผัสตัวเป็นๆของ Knog Blinder Road ความรู้สึกแรกที่ได้รับคือ ประทับใจครับ เนื้องาน ดีมาก ประณีต น้ำหนักเบากำลังดี ไม่หนักจนเกินไป แต่ผมยังไม่ได้ลองนำไปใช้กับจักรยานจริงๆนะครับ เพียงแค่รีวิวเบื้องต้นให้ดูเฉยๆครับ ถือว่าเป็นไฟท้ายที่มีคุณภาพอันดับต้นๆสำหรับผมเลยครับ ไฟส่องสว่างจ้าดีครับ ติดแล้วไม่ต้องกังวลว่ารถที่ตามมาข้างหลังจะมองไม่เห็นแน่นอน เห็นชัดแต่ไกลเลยแหละครับ เข้าขั้นแยงตาอีกต่างหากครับ เพราะไฟระดับ 70 Lumens นี้ถือว่าสว่างมากๆนะครับ ใครที่ต้องการไฟท่ายแบบเน้นสว่าง ผมแนะนำเลยครับ
รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่ครับ กับยี่ห้อนี้
[CR] [CR]รีวิวไฟท้ายจักรยาน Knog Blinder Road สว่างชัดเจน ชาร์จกับ USB
มีจัดอันดับสินค้าจักรยานหลายๆประเภท หลายๆอย่าง หนึ่งในนั้นคือไฟท้ายจักรยาน
นิตยสายเขาแนะนำตัวนี้ครับ "Knog Blinder Road"
จากรูปแล้วต่างประเทศเขาให้ 5 ดาวแน่ะ กับไฟท้ายตัวนี้
แต่ที่จะคาใจคือเรื่อง "ราคา" ครับ เมื่อเปรียบเทียบราคาไฟท้ายจักรยานแบบเดียวกันกับยี่ห้ออื่นๆแล้ว
ถือว่าแพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกันครับ สนน ราคาค่าตัวที่ผมได้มานี่ก็ 1,700.- ครับ
แต่จะว่าคุ้มหรือไม่คุ้มนั้น เรามาดูกันครับ
หลังจากสั่งของไป วันนี้ก็ได้สัมผัสตัวจริงเสียงจริงสักทีครับกับยี่ห้อจากออสเตรเลียนามว่า Knog
ซึ่งส่วนตัวผมแล้วนั้น เป็นยี่ห้อใหม่สำหรับผมที่ไม่ค่อยคุ้นหู หรือชินตาเท่าไร เพราะมักจะได้ยินแต่ของค่าย CatEye ซะมากกว่า
ตัวแพคเกจก็ทำได้ดีพอสมควรครับ สมราคา ดูดีมีสไตล์ ตัวกล่องเป็นกระดาษแข็งๆ ปิดด้วยพลาสติกใสครับ
ด้านหลังกล่องจะบอกรายละเอียดต่างๆ ครับ
ตัวไฟจะประกอบด้วยหลอดไฟทั้งหมด 4 หลอด
3 หลอดบนเรียงกันจะเป็น หลอด LED ครับ ส่วนหลอดใหญ่ด้านล่าง เป็นแบบ Cree LED
ให้ความสว่างที่ 70 Lumens
องศาของแสงไฟด้านข้าง 290 องศาครับ
(ไม่ใช่ไฟทั้ง 4 หลอดเดิมนะครับ ด้านข้างไฟจะเป็นพลาสติกสีใส ให้แสงไฟผ่านได้ครับ ตามรูปเลยครับ)
กันน้ำ 100% ครับ
การชาร์จไฟก็สามารถทำได้โดยการใช้สายชาร์จแบบหัว USB ที่จะมัมาให้ครับ
เวลาในการชาร์จไฟตั้งแต่แบตหมดจนกระทั่งเต็ม ประมาณ 5 ชม. มีแถบบอกระดับแบตเตอรี่ระหว่างชาร์จด้วยว่าชาร์จเต็มหรือยัง
น้ำหนักรวมประมาณ 50 ก. ครับ ถือว่าค่อนข้างเบาเลยแหละ
แบตเตอรี่เป็น LiPo ครับ
ผมลองใช้ Adapter ของสายชาร์จ iPhone ก็ชาร์จได้นะครับ ผมว่าสะดวกและง่ายกว่าสายชาร์จที่มีมาให้เยอะเลยครับ
ลืมบอกไปครับว่า ตอนชาร์จ เปิดไฟเล่นดูไม่ได้นะครับ
ด้านข้างกล่องจะบอกรายละเอียดของโหมดไฟต่างๆ ซึ่งไฟท้าย Knog Blinder Road รุ่นนี้มีด้วยกัน 5 โหมดครับ
1. Steady ไฟจะเปิดค้างแช่ไว้ทั้งหมด 4 ดวงเลยครับ เป็นโหมดที่กินไฟมากที่สุด อยู่ได้เพียงแค่ 3 ชม. ครึ่งเท่านั้นเองครับ
2. Fast เป็นโหมดไฟกระำพริบทั้วๆไปครับ กระพริบทั้งหมด 4 ดวงเช่นกัน อยู่ได้นานขึ้นอีกนิด ที่ 4 ชม.
3. Chaser ผมขอเรียกโหมดนี้ว่า "โหมดกระสือ" ครับ เพราะว่ามันเหมือนแสงไฟวูบวาบแบบผีกระสือในหนังมากๆ ลักษณะจะเป็นไฟติดทีละดวงไล่ไปตั้งแต่ดวงบนสุดยันล่างสุด แล้วก็ดับไล่ขึ้นมาจากดวงล่างสุดยันบนสุด วูบๆ วาบๆ ไปมาเรื่อยๆครับ โหมดนี้อยู้ได้นานประมาณ 5 ชม. ทีเดียวล่ะ
4. Peloton โหมดนี้จะเป็นไฟค้างเฉพาะ ไฟสองดวงตรงกลางครับ ไม่มีอะไรพิเศษ อยู่ได้นานถึง 13 ชม.
5. Eco โหมดประัหยัดไฟ เป็นไปกระพริบเร็วๆ ซึ่งเร็วกว่าทุกๆโหมด เรียกว่าเร็วประมาณแสงแฟลชกล้องถ่ายรูปอ่ะครับ เป็นไฟจากหลอด LED แลบ 3 ดวงบน สลับกับ ไฟแบบ cree ดวงใหญ่สุดด้านล่าง ส่วนตัวแล้วผมชอบโหมดนี้มากครับ เพราะว่ามันอยู่ได้นานมากถึง 20 ชม. (ข้างกล่องเค้าเคลมมาว่าอย่างนั้น)
อันนี้ผมก็งงเหมือนกันครับ เหมือนกับว่าแนะนำวันที่ ให้ชาร์จอีกครั้ง ตอน สิงหาคม ปี 2557 (ปีหน้า)
ตัวยึดจะเป็นแบบยางยืดกับตัวล๊อคเกี่ยวยางเป็นเหล็กครับ ผมลองจับๆดูเบื้องต้น คิดว่าตรงจุดนี้เป็นจุดอ่อนของไฟท้ายยี่ห้อนี้เลยครับ
นั่นคือ ยางที่ใช้รัดกับอานจักรยาน ถ้าใช้ไปนานๆอาจเกิดการขาดได้ครับ ซึ่งผมคิดว่าถ้าเราต้องถอดเข้า ถอดออก เพื่อนำมาชาร์จไฟกับ
ตัวสาย USB นั้น เลี่ยงไม่ได้เลยที่จะทำให้สายยางนั้นขาดก่อนวัยอันควร
สวิตซ์เปิด-ปิด จะอยู่ด้านบนครับ เป็นปุ่มยางปุ่มเดียวโดดๆ
กับไฟบอกสถานะเวลาชาร์จครับ
(เวลาชาร์จไฟจะเป็นสีแดงครับ ชาร์จเสร็จจะเป็นอีกสีนึงครับ ผมยังชาร์จไม่เต็ม เป็นสีอะไรเด๋วจะมาบอกทีหลังนะครับ)
เวลาจะเปิด หรือ ปิด ก็ใช้วิธีกดค้างประมาณ 1 วิครับ แล้วก็กดเปลี่ยนโหมดไปเรื่อยๆ วนๆไปครับ
สายชาร์จที่ให้มาในกล้องครับ เป็นสาย USB ใช้ชาร์จกับคอมก็ได้ครับ หรือกับ Adapter ก็ได้ไม่มีปัญหา
- ข้อดี
1.สว่างมากๆ
2.ชาร์จกับ USB ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อถ่าน AAA หรือ AA ให้ยุ่งยาก
3.น้ำหนักเบา งานเนี้ยบ
4.มีหลายโหมดให้เลือกใช้ โหมดที่ประหยัดไฟที่สุดอยู่ใด้นานถึง 20 ชม. (เค้าเคลมมาว่าอย่างนั้น ผมยังไม่ลองนะครับ)
- ข้อเสีย
1.ราคาค่อนข้างสูง (1,700.-) อาจถูกขโมยได้
2.ใช้ไปนานๆ โดนแดด โดนฝน ยางรัดอาจขาดได้
3.ช่องชาร์จ USB ของสายชาร์จที่ให้มาค่อนข้างใส่ยากนิดนึง เวลาถอดก็ต้องดึงค่อนข้างแรก กลัวว่าใช้ไปนานๆ อาจหักได้ แต่ผมแก้ปัญหาโดยการใช้คู่กับ Adapter สายชาร์จ iPhone แทนครับ สะดวกกว่ากันเยอะ
4.สำหรับคนที่ไม่ได้อ่านคู่มือ เวลาชาร์จกับสายชาร์จ USB ที่ให้มา อาจจะสับสนได้ว่าต้องเสียบด้านไหน ผมก็ลองดูแล้วถ้าเสียบผิดด้านจะชาร์จไม่ได้นะครับ ระวังด้วย เพราะถ้าชาร์จผิดด้านมันจะเป็นรอยเลยครับ
- สรุป
จากการได้สัมผัสตัวเป็นๆของ Knog Blinder Road ความรู้สึกแรกที่ได้รับคือ ประทับใจครับ เนื้องาน ดีมาก ประณีต น้ำหนักเบากำลังดี ไม่หนักจนเกินไป แต่ผมยังไม่ได้ลองนำไปใช้กับจักรยานจริงๆนะครับ เพียงแค่รีวิวเบื้องต้นให้ดูเฉยๆครับ ถือว่าเป็นไฟท้ายที่มีคุณภาพอันดับต้นๆสำหรับผมเลยครับ ไฟส่องสว่างจ้าดีครับ ติดแล้วไม่ต้องกังวลว่ารถที่ตามมาข้างหลังจะมองไม่เห็นแน่นอน เห็นชัดแต่ไกลเลยแหละครับ เข้าขั้นแยงตาอีกต่างหากครับ เพราะไฟระดับ 70 Lumens นี้ถือว่าสว่างมากๆนะครับ ใครที่ต้องการไฟท่ายแบบเน้นสว่าง ผมแนะนำเลยครับ
รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่ครับ กับยี่ห้อนี้