ใครเคยโบกรถไปเที่ยวกันบ้างคะ มาแชร์ประสบการณ์กันค่ะ
แก้ไข
โบกรถไปเที่ยว เป็นสิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวหลังจัดกระเป๋าแบคแพคเสร็จเรียบร้อย เรากับเพื่อนนัดกันว่าจะโบกรถจากปายมุ่งหน้าสู่ปางอุ๋ง
ประสบการณ์โบกรถครั้งแรกเริ่มต้น ณ เวลาเที่ยงตรงด้วยความทุลักทุเล เลยสี่แยกปายหนาวไปทางปางมะผ้าห้าร้อยกว่าเมตรคือจุดที่พวกเราเริ่มต้นกัน ไม่มีใครจอดรับวัยรุ่นสามคน ที่ประกอบด้วยหญิงสองชายหนึ่งเลยสักคนเดียว
ผ่านไปสามสิบนาทีพวกเราเปลี่ยนเป้าหมายไปที่รถกระบะชาวบ้านมากกว่ารถใหม่ๆ เพราะคิดว่าคงไม่มีใครกล้ารับพวกเราที่หอบของพะรุงพะรังด้วยเป้แบคแพคใบใหญ่กับกระเป๋าอีกสี่ห้าใบแน่นอน
และแล้ววววววว กระบะสีแดงขึ้นสนิมก็จอดเทียบท่า พร้อมกับคุณน้า(หรืออาจจะคุณลุง)โผล่หน้าออกมาถามว่าพวกเราสามคนจะไปที่ไหนกัน
"หนูจะไปปางอุ๋งน่ะค่ะ แล้วคุณลุงกำลังจะไปไหนเจ้า?"
"ลุงจะไปแค่ปางมะผ้า ไปก่อ?"
ตอนนั้นไม่คิดอะไรแล้ว ไปหารถเอาดาบหน้าก็แล้วกันก็เลยตอบตกลง กระโดดขึ้นรถคุณลุงอย่างมีความสุขไปตลอดทาง
อยากบอกคุณลุงว่าขอบคุณมากๆๆๆนะคะ คุณลุงใจดีมากๆ ยิ่งตอนที่พวกเราเห็นวิวที่กิ่วลมแล้วร้องว้าวเสียงดังพร้อมกันสามคน คุณลุงแทบจอดรถแล้วถามพวกเราว่าอยากลงไปถ่ายรูปกันก่อนไหม พวกเราซึ้งในน้ำใจของคุณลุงจริงๆค่ะ แต่แค่คุณลุงรับพวกเรามาพวกเราก็ดีใจมากแล้วค่าา
ปล. ถ้าเมื่อวานใครที่อยู่กิ่วลมช่วงบ่ายกว่าๆแล้วได้ยินเสียงอู้วว ว้าวววจากหลังรถกระบะไม่ต้องแปลกใจนะคะ นั่นคือพวกเราเอง 555
บ่ายสามโมงเรามาถึงตลาดตรงปางมะผ้า แวะซื้อมันไว้เผากินกันตอนกลางคืน ไม้เกี๊ยะ เตรียมพร้อมไปปางอุ๋งเต็มที่ แต่ทว่า...
ช่วงปางมะผ้าเป็นช่วงที่ยาวนานที่สุด ไม่มีรถจอดรับพวกเราเลยสักคันเดียว หลายคันยังใจดีที่ชี้บอกพวกเราว่าเขาไปแค่ทางข้างหน้านี้เองเลยไปส่งเราไม่ได้ บางคันก็มองพวกเราแล้วก็ยิ้มๆและจากไป
ของเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับรถที่น้อยลงทุกที เหลืออีกหกสิบห้ากิโลเมตรกว่าจะถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ผ่านไปชั่วโมงครึ่งแต่พวกเราก็ไม่ยอมแพ้ เพราะเราคิดว่าจะต้องไปถึงปางอุ๋งให้ได้!
คราวนี้รถกระบะสีขาวค่อยชะลอและจอดในที่สุด แต่ทว่ากระบะคันนี้บรรทุกคนและกระสอบข้าวมาอีกกระสอบใหญ่ๆหลายใบ คุณลุงกับคุณตาที่นั่งข้างหน้าพยายามอธิบายกับเราว่าเขาจะไปถึงแค่ปางคอง พวกเราด้วยความที่ดีใจก็ตอบตกลงไว้ก่อนกระโดดขึ้นรถไปเบียดๆกับคุณยายละคุณป้าที่อุ้มเด็กมาด้วยคนนึง
คุณยายกับคุณป้าพูดภาษาไทยไม่ได้ก็ได้แต่ยิ้มเก้อๆใส่พวกเรา เขาพยายามเบียดตัวเองเข้าไปเพื่อให้พวกเรานั่งให้ได้มากที่สุดก็ต้องขอบคุณด้วยนะคะ
ปล.เด็กน่ารักมากเลย อิจฉาเด็กบนดอยแก้มแด๊งแดงงงง อ้อหนูตัวหนักนะคะ ไม่ได้ทำกระสอบข้าวปุดใช่ไหมคะลุง
เหลือสี่สิบห้ากิโลเมตรสุดท้ายก่อนเข้าตัวเมืองแม่ฮ่องสอนกับเวลาสี่โมงสี่สิบนาที เราอยู่กันที่ทางโค้งสามแยกเข้าปางคอง ถนนสองเลนไม่มีที่สำหรับโบกรถและจอดรับพวกเราเลย มีทางเดียวคือเดินย้อนขึ้นไปโบกทางตรงที่นั่งรถผ่านมากับเดินลงเนินไปอย่างละร้อยเมตร พวกเราไม่มีทางเลือกเพราะคงไม่มีรถจอดตรงทางโค้งแน่ๆจึงเดินลงมาเรื่อยๆ
แน่นอนคนที่จอดคือรถกระบะชาวบ้านคุณลุงกะป้าใจดีสองคน แต่พวกเราไม่ได้ไปด้วยเพราะไปแค่สี่ถึงห้ากิโลเท่านั้น และอีกครึ่งชั่วโมงก็จะมืดแล้วด้วย
เมื่อลงเนินไปก็มีทางโค้งอีก เราจึงตัดสินใจหยุดกันกลางทางโดยหลบมายืนในโพรงหญ้ารกๆตรงป้ายบอกว่าแม่ฮ่องสอนเหลืออีกสี่สิบห้ากิโล
ผ่านไปสิบนาทีเราพึ่งตระหนักได้ว่า เพราะมันเป็นทางลงเนินรถแต่ละคันจึงมาด้วยความเร็วมากๆจนคิดว่าเราคงต้องไปโบกที่เดิมแน่ๆ
เสียงรถกระบะดังมาแต่ไกล พวกเรามองเห็นรถกระบะมาพร้อมกันสองคันแต่ตามหลังด้วยฮอนด้าซิตี้สีเทาเข้ม พวกเราก็ยื่นมือชูนิ้วโป้งตามสเต็ปคนโบกรถ แต่ก็เห็นอยู่ละว่าพี่แกเร่งเครื่องมาเลย พวกเราผิดหวังกันสุดๆเพราะมีวัยรุ่นหลายสิบคนยืนจ้องพวกเราด้วยความน่ากลัวตั้งแต่ลงรถยันเดินมาห่างจากเขาและกลัวว่าเขาจะมาทำอะไรหรือเปล่า เพราะมีแต่ป่าเขาจริงๆ
แต่สุดท้ายๆแล้วจริงๆเมื่อซิตี้คันนั้นจะพ้นโค้งไปเขากลับเบรคและใส่เกียร์ถอยกลับมา พวกเรามองกันด้วยความอึ้งเพราะไม่คิดที่จะโบกรถเก๋งเลย(เขาก็คงไม่รับพวกเราอยู่แล้วล่ะ555) เขากำลังจะไปตัวเมืองแม่ฮ่องสอนพอดีเลยบอกให้พวกเขาขึ้นมาเลย
สุดท้ายแล้วก็มาถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอนแทนเพราะคนขับรถเก๋งโทรไปถามเพื่อนให้เรื่องรถไปปางอุ๋งและบอกว่าเย็นแล้วคงไม่มีรถขึ้นไป
ขอบคุณรถทุกคันเลยนะคะ ที่รับพวกเราขึ้นไปด้วย ขอบคุณคันสุดท้ายที่พาพวกเราไปดูคิวขึ้นรถไปปางอุ๋ง ไปส่งหาที่พัก แอบอ่านชื่อที่ชุดข้าราชการพี่แล้ว พี่ชื่อครูบาส ขอบคุณในนี้ไว้อีกครั้งเผื่อว่าพี่จะเข้ามาอ่าน อยากบอกพี่ด้วยว่าพวกเราถึงปางอุ๋งกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ
ขอบคุณน้ำใจของคนไทยที่ทำให้เรารู้ว่ามันยังมีอยู่จริงๆนะคะ อิอิ ต้องมีการโบกครั้งต่อไปอีกแน่นอนค่ะ ชักติดใจแล้วสิ
เรื่องนี้เกิดวันอังคารที่สาม ธันวาคม แล้วนะคะแต่เกิดเรื่องวุ่นๆซะก่อนเลยไม่ได้ลงในนี้กันค่ะ
มาแชร์ประสบการณ์การโบกรถกัน หลังจากหัดโบกครั้งแรกในชีวิต
แก้ไข
โบกรถไปเที่ยว เป็นสิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวหลังจัดกระเป๋าแบคแพคเสร็จเรียบร้อย เรากับเพื่อนนัดกันว่าจะโบกรถจากปายมุ่งหน้าสู่ปางอุ๋ง
ประสบการณ์โบกรถครั้งแรกเริ่มต้น ณ เวลาเที่ยงตรงด้วยความทุลักทุเล เลยสี่แยกปายหนาวไปทางปางมะผ้าห้าร้อยกว่าเมตรคือจุดที่พวกเราเริ่มต้นกัน ไม่มีใครจอดรับวัยรุ่นสามคน ที่ประกอบด้วยหญิงสองชายหนึ่งเลยสักคนเดียว
ผ่านไปสามสิบนาทีพวกเราเปลี่ยนเป้าหมายไปที่รถกระบะชาวบ้านมากกว่ารถใหม่ๆ เพราะคิดว่าคงไม่มีใครกล้ารับพวกเราที่หอบของพะรุงพะรังด้วยเป้แบคแพคใบใหญ่กับกระเป๋าอีกสี่ห้าใบแน่นอน
และแล้ววววววว กระบะสีแดงขึ้นสนิมก็จอดเทียบท่า พร้อมกับคุณน้า(หรืออาจจะคุณลุง)โผล่หน้าออกมาถามว่าพวกเราสามคนจะไปที่ไหนกัน
"หนูจะไปปางอุ๋งน่ะค่ะ แล้วคุณลุงกำลังจะไปไหนเจ้า?"
"ลุงจะไปแค่ปางมะผ้า ไปก่อ?"
ตอนนั้นไม่คิดอะไรแล้ว ไปหารถเอาดาบหน้าก็แล้วกันก็เลยตอบตกลง กระโดดขึ้นรถคุณลุงอย่างมีความสุขไปตลอดทาง
อยากบอกคุณลุงว่าขอบคุณมากๆๆๆนะคะ คุณลุงใจดีมากๆ ยิ่งตอนที่พวกเราเห็นวิวที่กิ่วลมแล้วร้องว้าวเสียงดังพร้อมกันสามคน คุณลุงแทบจอดรถแล้วถามพวกเราว่าอยากลงไปถ่ายรูปกันก่อนไหม พวกเราซึ้งในน้ำใจของคุณลุงจริงๆค่ะ แต่แค่คุณลุงรับพวกเรามาพวกเราก็ดีใจมากแล้วค่าา
ปล. ถ้าเมื่อวานใครที่อยู่กิ่วลมช่วงบ่ายกว่าๆแล้วได้ยินเสียงอู้วว ว้าวววจากหลังรถกระบะไม่ต้องแปลกใจนะคะ นั่นคือพวกเราเอง 555
บ่ายสามโมงเรามาถึงตลาดตรงปางมะผ้า แวะซื้อมันไว้เผากินกันตอนกลางคืน ไม้เกี๊ยะ เตรียมพร้อมไปปางอุ๋งเต็มที่ แต่ทว่า...
ช่วงปางมะผ้าเป็นช่วงที่ยาวนานที่สุด ไม่มีรถจอดรับพวกเราเลยสักคันเดียว หลายคันยังใจดีที่ชี้บอกพวกเราว่าเขาไปแค่ทางข้างหน้านี้เองเลยไปส่งเราไม่ได้ บางคันก็มองพวกเราแล้วก็ยิ้มๆและจากไป
ของเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับรถที่น้อยลงทุกที เหลืออีกหกสิบห้ากิโลเมตรกว่าจะถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ผ่านไปชั่วโมงครึ่งแต่พวกเราก็ไม่ยอมแพ้ เพราะเราคิดว่าจะต้องไปถึงปางอุ๋งให้ได้!
คราวนี้รถกระบะสีขาวค่อยชะลอและจอดในที่สุด แต่ทว่ากระบะคันนี้บรรทุกคนและกระสอบข้าวมาอีกกระสอบใหญ่ๆหลายใบ คุณลุงกับคุณตาที่นั่งข้างหน้าพยายามอธิบายกับเราว่าเขาจะไปถึงแค่ปางคอง พวกเราด้วยความที่ดีใจก็ตอบตกลงไว้ก่อนกระโดดขึ้นรถไปเบียดๆกับคุณยายละคุณป้าที่อุ้มเด็กมาด้วยคนนึง
คุณยายกับคุณป้าพูดภาษาไทยไม่ได้ก็ได้แต่ยิ้มเก้อๆใส่พวกเรา เขาพยายามเบียดตัวเองเข้าไปเพื่อให้พวกเรานั่งให้ได้มากที่สุดก็ต้องขอบคุณด้วยนะคะ
ปล.เด็กน่ารักมากเลย อิจฉาเด็กบนดอยแก้มแด๊งแดงงงง อ้อหนูตัวหนักนะคะ ไม่ได้ทำกระสอบข้าวปุดใช่ไหมคะลุง
เหลือสี่สิบห้ากิโลเมตรสุดท้ายก่อนเข้าตัวเมืองแม่ฮ่องสอนกับเวลาสี่โมงสี่สิบนาที เราอยู่กันที่ทางโค้งสามแยกเข้าปางคอง ถนนสองเลนไม่มีที่สำหรับโบกรถและจอดรับพวกเราเลย มีทางเดียวคือเดินย้อนขึ้นไปโบกทางตรงที่นั่งรถผ่านมากับเดินลงเนินไปอย่างละร้อยเมตร พวกเราไม่มีทางเลือกเพราะคงไม่มีรถจอดตรงทางโค้งแน่ๆจึงเดินลงมาเรื่อยๆ
แน่นอนคนที่จอดคือรถกระบะชาวบ้านคุณลุงกะป้าใจดีสองคน แต่พวกเราไม่ได้ไปด้วยเพราะไปแค่สี่ถึงห้ากิโลเท่านั้น และอีกครึ่งชั่วโมงก็จะมืดแล้วด้วย
เมื่อลงเนินไปก็มีทางโค้งอีก เราจึงตัดสินใจหยุดกันกลางทางโดยหลบมายืนในโพรงหญ้ารกๆตรงป้ายบอกว่าแม่ฮ่องสอนเหลืออีกสี่สิบห้ากิโล
ผ่านไปสิบนาทีเราพึ่งตระหนักได้ว่า เพราะมันเป็นทางลงเนินรถแต่ละคันจึงมาด้วยความเร็วมากๆจนคิดว่าเราคงต้องไปโบกที่เดิมแน่ๆ
เสียงรถกระบะดังมาแต่ไกล พวกเรามองเห็นรถกระบะมาพร้อมกันสองคันแต่ตามหลังด้วยฮอนด้าซิตี้สีเทาเข้ม พวกเราก็ยื่นมือชูนิ้วโป้งตามสเต็ปคนโบกรถ แต่ก็เห็นอยู่ละว่าพี่แกเร่งเครื่องมาเลย พวกเราผิดหวังกันสุดๆเพราะมีวัยรุ่นหลายสิบคนยืนจ้องพวกเราด้วยความน่ากลัวตั้งแต่ลงรถยันเดินมาห่างจากเขาและกลัวว่าเขาจะมาทำอะไรหรือเปล่า เพราะมีแต่ป่าเขาจริงๆ
แต่สุดท้ายๆแล้วจริงๆเมื่อซิตี้คันนั้นจะพ้นโค้งไปเขากลับเบรคและใส่เกียร์ถอยกลับมา พวกเรามองกันด้วยความอึ้งเพราะไม่คิดที่จะโบกรถเก๋งเลย(เขาก็คงไม่รับพวกเราอยู่แล้วล่ะ555) เขากำลังจะไปตัวเมืองแม่ฮ่องสอนพอดีเลยบอกให้พวกเขาขึ้นมาเลย
สุดท้ายแล้วก็มาถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอนแทนเพราะคนขับรถเก๋งโทรไปถามเพื่อนให้เรื่องรถไปปางอุ๋งและบอกว่าเย็นแล้วคงไม่มีรถขึ้นไป
ขอบคุณรถทุกคันเลยนะคะ ที่รับพวกเราขึ้นไปด้วย ขอบคุณคันสุดท้ายที่พาพวกเราไปดูคิวขึ้นรถไปปางอุ๋ง ไปส่งหาที่พัก แอบอ่านชื่อที่ชุดข้าราชการพี่แล้ว พี่ชื่อครูบาส ขอบคุณในนี้ไว้อีกครั้งเผื่อว่าพี่จะเข้ามาอ่าน อยากบอกพี่ด้วยว่าพวกเราถึงปางอุ๋งกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ
ขอบคุณน้ำใจของคนไทยที่ทำให้เรารู้ว่ามันยังมีอยู่จริงๆนะคะ อิอิ ต้องมีการโบกครั้งต่อไปอีกแน่นอนค่ะ ชักติดใจแล้วสิ
เรื่องนี้เกิดวันอังคารที่สาม ธันวาคม แล้วนะคะแต่เกิดเรื่องวุ่นๆซะก่อนเลยไม่ได้ลงในนี้กันค่ะ