อ่านกันรึยัง กองทัพบอกว่าไม่ใช่การยึดอำนาจแค่'ขีดเส้น-ตีกรอบ'ให้เดิน

กระทู้สนทนา
วันอังคารที่ 10 ธันวาคม 2556
ไม่ใช่การยึดอำนาจแค่'ขีดเส้น-ตีกรอบ'ให้เดิน
http://www.komchadluek.net/mobile/detail/20131210/174530.html


       ทันทีที่ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศว่ากำลังจะนำเรื่องยุบสภาขึ้นกราบบังคมทูล มีคำถามเกิดขึ้นทันทีว่า นอกจากการชุมนุมของมวลมหาประชาชนที่มากันแทบจะเต็มกรุงเทพมหานครนั้น เป็นปัจจัยเดียวที่กดดันจน นายกฯ ยิ่งลักษณ์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายที่ให้ "ไอเดีย" ถอดใจเสียแล้วหรือ

       แน่นอนว่า ทุกสายตาจับจ้องมองไปที่ "กองทัพ" ในฐานะที่เคยมีบทบาทสำคัญเมื่อครั้งเป็นตัวกลางเชื่อมระหว่าง รัฐบาลโดย นายกฯ ยิ่งลักษณ์ กับตัวแทนผู้ชุมนุม สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.

       หลังการเจรจาดูเหมือนว่าจะไม่มีความคืบหน้าใดๆ เพราะ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ยืนกรานว่า เงื่อนไขของ สุเทพ ไม่มีรัฐธรรมนูญรองรับ จึงไม่สามารถทำตามได้

       ขณะที่ สุเทพ สั่งระดมมวลชนเต็มที่พร้อมกับย้ำว่า นายกฯ ต้องยุบสภา จากนั้นลาออกจากรักษาการ ครม.ทั้งคณะ เพื่อเปิดทางให้ประชาชนเข้าไปบริหารประเทศ

       เมื่อคุยกันแล้วยังเห็นไม่ตรงกัน คำถามจึงย้อนกลับไปยัง ผบ.เหล่าทัพ อีกครั้ง เพราะจังหวะนั้นมวลชนคนเสื้อแดงที่หนุนรัฐบาลระดมพลครั้งใหญ่ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน กันอย่างเนืองแน่น จนเกิดเหตุปะทะกันกับกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง และมีรายงานข่าวจากหน่วยงานด้านความมั่นคงว่า มีกองกำลังชายชุดดำเข้าร่วมขยายความรุนแรงด้วย

       ว่ากันว่า ท่าทีของกองทัพนั้นชัดเจนยิ่งเมื่อมีข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. โทรศัพท์หา พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. เพื่อขอให้มีคำสั่งไปยังชุดปราบจลาจลให้หยุดยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่กลุ่มนักศึกษาที่อยู่ในมหาวิทยาลัยรามคำแหง

       ขณะเดียวกันก็มีรายงานข่าวว่า มีคำขอร้องแกมบังคับจากระดับ "บิ๊ก" ไปยังรัฐบาลเพื่อสั่งการให้สลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง ภายใต้เหตุผลว่า หากยังอยู่ที่จุดปะทะ จะเกิดความสูญเสียของทั้งสองฝ่ายมากไปกว่านี้

       เป็นคำร้องขอที่ดูสมเหตุสมผล เพราะเวลานั้น มีคนเสื้อแดงถูกยิงเสียชีวิตแล้ว การสลายการชุมนุมจึงเกิดขึ้นในเวลาต่อมา กระทั่งเช้าวันใหม่ก็ไม่มีคนเสื้อแดงอยู่ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เปิดทางให้ทหารจาก ราบ 11 เข้าไปรับนักศึกษา ตามคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์

       ถามว่า บทบาทของกองทัพนั้นได้เข้ามาแทรกแซงการเมืองหรือไม่ การเคลื่อนไหวภายในกองทัพภาพยังคงคลุมเครือ แต่ภาพภายนอกนั้นกองทัพพยายามแสดงให้เห็นว่า เมื่อการเมืองมีปัญหาก็ให้ใช้การเมืองแก้ไขกันเอง แต่หากเกิดการปะทะกันประชาชนได้รับบาดเจ็บ ก็จำเป็นที่กองทัพต้องออกไปช่วยประชาชน

       การส่งทหารจาก ราบ 11 ไปช่วยนักศึกษา จากนั้นสั่งกองทัพภาคที่ 1 สั่งทหารเสนารักษ์ ไปช่วยผู้ชุมนุมที่ถูกแก๊สน้ำตารอบๆ ทำเนียบรัฐบาลและกองบัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมกับส่งรองโฆษกกองทัพบก ไปแถลงข่าวบอกกับรัฐบาลและตำรวจนครบาลว่า จะต่อต้านผู้ชุมนุมไปทำไม ในเมื่อเจตนาของผู้ชุมนุมนั้นไปเพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่าไปเข้ามาแล้ว และผู้ชุมนุมไม่ได้มีท่าทีว่าจะแสดงความรุนแรงจนถึงขั้นเผาสถานที่ราชการใดๆ มาก่อน

       ก็ได้ผล เมื่อตำรวจนครบาลและทำเนียบรัฐบาล เปิดทางให้ผู้ชุมนุมได้เข้าไปแสดงสัญลักษณ์แต่โดยดี

       ไม่มีการปะทะ ไม่มีการเสียเลือดเนื้อ แต่ฝ่ายรัฐบาลจะต้องกลืนเลือดหรือไม่ นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

       ท่าทีเช่นนี้มองได้ว่า แม้กองทัพไม่ได้ยึดอำนาจโดยตรง แต่ก็ได้ "ขีดเส้น-ตีกรอบ" ให้รัฐบาลเดิน

       หากมองย้อนกลับไป ในมุม "ยุทธศาสตร์" ต้องยอมรับว่า รัฐบาลพลาดก็ตรงที่ มีการสั่งสลายการชุมนุมมวลชนคนเสื้อแดงที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เพราะเท่ากับว่า ไม่มีมวลชนหนุนหลังไว้ต่อรองกับอำนาจใดๆ เลย

       เมื่อถึงกำหนดนัดมวลมหาประชาชนวันที่ 9 ธันวาคม จึงเป็นวันประกาศยุบสภาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

       แต่หากมองย้อนกลับไปอีกครั้ง ในวันนั้น รัฐบาลยังจะมีทางเลือกอื่นใดอีกหรือ ?

...............

(หมายเหตุ : ไม่ใช่การยึดอำนาจ แค่'ขีดเส้น-ตีกรอบ'ให้เดิน : ขยายปมร้อน โดยศรุติ ศรุตา ทีมข่าวความมั่นคง)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่