ถึง พี่ๆ เพื่อนๆ มวลมหาประชาชน (ไม่เฉพาะที่เป่านกหวีด)
***************************************
วันนี้เพื่อนสนิทและพี่ๆ ที่เคารพหลายคนออกไปเป่านกหวีด นับเป็นเรื่องโชคดีที่สองสัปดาห์ที่ผ่านมาได้นั่งสนทนาแลกเปลี่ยนทรรศนะกับเพื่อนสนิทมิตรสหายหลากหลายกลุ่ม เราเลยได้เข้าใจ “รายละเอียด” ของความคิดและพฤติกรรมของกันและกันมากกว่าการมานั่งเดาจากการอ่านสเตตัส แล้วเตรียมป้ายมาแปะให้กันและกันว่าไอ้นี่สีไหน อยู่ข้างไหน

ไม่เลือกข้าง มันไทยเฉย ทำมาเป็นไทยอดทน บลา บลา บลา ทันทีที่ได้นั่งคุยกันเราจะเข้าใจได้ทันทีว่า คนเราไม่สามารถแบ่งฝั่งแบ่งฝ่ายได้ง่ายๆ หยาบๆ แบบนั้น นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่า ช่วงนี้ไม่เขียนสเตตัสดีกว่า ถ้าอยากแลกเปลี่ยนก็นัดกันมานั่งคุย
ในสมัยที่คุณทักษิณยังเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเป็นคนหนึ่งที่ไปสวนลุมฯ ทุกเย็นวันศุกร์กับเพื่อนครีเอทีฟในออฟฟิศ ตอนนั้นเราตะโกนคำว่า “ทักษิณออกไป ทักษิณออกไป” กันดังลั่น บรรยากาศตอนนั้นก็คล้ายๆ ม็อบนกหวีดในวันนี้แหละครับ เราไปเจอเพื่อนๆ พี่ๆ โดยมิได้นัดหมายกันมากมาย กระทั่งคุณสนธิเริ่มเรียกร้องนายกฯ ม.7 ผมก็ค่อยๆ ถอยห่างจากม็อบ เพราะไม่เห็นด้วย ผมอยากเห็นประชาชนไล่ทักษิณได้ด้วยพลังของพวกเราเอง และก็อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามหลักการและระบบที่มีอยู่ คือยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ก็ใช่ครับ พรรคเดิมที่พวกเราไล่ไปอาจจะกลับมาเป็นรัฐบาลอีก แต่อย่างน้อยเราก็ยังรักษาหลักการเอาไว้ได้ แต่แล้วสิ่งที่ผมกับเพื่อนอีกหลายคนไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อเกิดการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยา ปี 49
ในตอนนั้นผมรู้สึกเซ็งและเสียดายที่ประชาชนกำลังจะไล่รัฐบาลได้สำเร็จอยู่แล้วเชียว ก็ดันมีอำนาจนอกระบบมาจัดการไปเสียก่อน แน่นอนว่าตอนนั้นก็มีรายละเอียดของสถานการณ์ ม็อบสองสีอาจจะยกพวกตีกันตอนไหนก็ไม่มีใครรู้ เมื่อมีคนอ้างว่า การรัฐประหารที่นิ่มนวลที่สุดครั้งนั้นช่วยหลีกเลี่ยงการเสียเลือดเสียเนื้อ ผมก็รับฟัง แม้ไม่เห็นด้วยเลยกับการรัฐประหาร แต่ผมก็เผื่อใจไว้เช่นกันว่า มันอาจเป็นทางออกที่จะป้องกันความรุนแรงก็เป็นได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป รัฐประหารครั้งนั้นกลับกลายเป็นเชื้อฟืนให้ความขัดแย้งลุกลาม กระทั่งนำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรงหลายครั้ง ซึ่งผู้สูญเสียก็มีทั้งฝั่งเหลืองและฝั่งแดง
แถมการรัฐประหารยังทำให้คุณทักษิณกลับกลายเป็นตัวแทนของฝ่ายประชาธิปไตยไปเสียฉิบ! จากนายกฯ ที่ไม่เคยฟังคำทักท้วงตักเตือน ปิดช่องทางการตรวจสอบ ปิดปากสื่อ รวมถึงกรณีตากใบ กลายมาเป็นตัวแทนของประชาธิปไตยไปได้อย่างไร ที่เป็นไปได้ก็เพราะเราเอาเขาออกไปด้วยวิธีนอกระบบ นั่นทำให้การปลดนายกฯ อย่างคุณสมัครด้วยความผิดฐานทำกับข้าวออกทีวี และยุบพรรคพลังประชาชนถูกตั้งคำถามจากฝ่ายเสื้อแดง เหตุการณ์พลิกผันกลายเป็นคุณทักษิณกลายเป็นฝ่าย “ชอบธรรม” ในสายตาคนเสื้อแดง เหตุการณ์เดินทางมาไกลโพ้นจากตอนที่เราเกือบจะไล่คุณทักษิณได้ด้วยพลังของประชาชน กลับกลายเป็นการรัฐประหารกลับไปเพิ่มความชอบธรรมให้คนที่ถูกประชาชนไล่
จากบทเรียนครั้งนั้น ผมจึงไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร และวิถีทางนอกระบบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ผมเห็นด้วยครับ ว่าเราต้องจัดการกับนักการเมืองที่โกงกิน นักการเมืองที่ไม่รับผิด แต่เราก็ต้องจัดการด้วยวิถีทางที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตย มิฉะนั้น การจัดการนั้นก็จะไม่ได้รับความชอบธรรม เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นจาก “เสียงส่วนใหญ่” ในประเทศ หากเกิดขึ้นจาก “เสียงส่วนหนึ่ง” เท่านั้น ซึ่งมันจะนำไปสู่ปัญหางูกินหาง เมื่อ “เสียงส่วนใหญ่” ไม่ยอมรับอำนาจนั้น
...
เมื่อมาถึงม็อบนกหวีด จากวันแรกถึงวันนี้ สิ่งที่ผมเห็นด้วยมาตลอดคือการแสดงออกทางการเมืองให้รัฐบาลที่มองข้ามหัวประชาชน ออกกฎหมายยกโทษความผิดให้ตัวเอง กู้เงิน 2 ล้านล้านโดยไม่แจกแจงรายละเอียด การดันนโยบายจำนำข้าวโดยไม่ฟังเถียงทักท้วง แถมยังมีข้อมูลเรื่องทุจริตคอรัปชั่นอีกเต็มไปหมด ได้สำนึกบ้างว่า ยังมีประชาชนที่ตื่นตัวทางการเมือง ไม่ยอมรับการกระทำสามานย์ของนักการเมือง และพร้อมจะออกมาส่งเสียงอีกมากมาย จะว่าไป ม็อบนกหวีดเป็นม็อบที่เห็นแล้วมีความหวัง ว่าในอนาคตนักการเมือง (ไม่ว่าจากพรรคใด) คงจะทำตัวแย่ๆ หรือโกงกินกันได้ยากขึ้น เมื่อประชาชนตื่นตัวและตรวจสอบกันขนาดนี้
แต่สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยมาตลอดเช่นกันคือ ข้อเรียกร้องจากคุณสุเทพ ที่บอกว่ายุบสภาก็ไม่เอา ลาออกก็ไม่เอา และเสนอจะตั้งสภาประชาชน และล่าสุดคือนายกฯ ม.7 (อีกแล้ว) นั่นแปลว่าคุณสุเทพกำลังเสนอให้ “เสียงส่วนหนึ่ง” ซึ่งไม่ใช่ “เสียงส่วนใหญ่” มีอำนาจในการแต่งตั้ง “สภาประชาชน” ขึ้นมา เพราะกระทั่งถึงทุกวันนี้แล้วผมรวมถึงเพื่อนๆ บางคนที่ออกไปเป่านกหวีดก็ยังข้องใจว่า สภาประชาชนจะมาด้วยวิธีไหน ใครเป็นคนแต่งตั้ง “ประชาชน” ที่ว่านั้นเป็นประชาชนกลุ่มไหน ใช่เสียงส่วนใหญ่ของประเทศหรือเปล่า
อย่างที่บอกครับ ว่าโชคดีที่ได้นั่งคุยกับเพื่อนๆ แบบตามองตา จึงได้เข้าใจว่า เพื่อนบางคนออกไปร่วมชุมนุมโดยไม่ได้เห็นด้วยกับคุณสุเทพทั้งหมด หลายคนบอกผมว่า “กูก็ขอแค่ยุบสภานั่นแหละ แต่ถ้าไม่ออกไปเลย ยุบสภาก็อาจจะไม่ได้” ผมจึงเข้าใจเพื่อนที่ออกไปเป่านกหวีดมากขึ้น แต่เพื่อนบางคนก็อยากได้สภาประชาชนจริงๆ แม้ยังไม่รู้วิธีการก็ตาม เพื่อนกลุ่มนี้จะให้เหตุผลว่า “เอาพวกมันออกไปก่อน ด้วยวิธีอะไรก็ได้ แล้วค่อยว่ากัน” นี่แหละครับ รายละเอียดที่หลากหลาย ซึ่งเราไม่สามารถแปะป้ายได้ว่า “ไอ้นี่นกหวีด” หรือ “ไอ้นี่ไทยเฉย” เพราะบางที “ไอ้นกหวีด” กับ “ไอ้ไทยเฉย” บางคนนี่คิดแทบจะไม่ต่างกันเลย ต่างแค่คนหนึ่งเลือกออกไปร่วมชุมนุม ขณะที่อีกคนเลือกที่จะนั่งดูบลูสกายอยู่ที่บ้าน แล้วส่ายหัวกับข้อเสนอของลุงกำนัน ส่วนไอ้คนแรกไปส่ายหัวอยู่ในม็อบ
ขณะที่บางคนก็จะบอกว่า “อย่าเพิ่งมาสนใจรายละเอียดตอนนี้ได้มั้ย คิดต่างกันนิดหน่อยก็ร่วมๆ ขบวนกันไปก่อน เอามันออกไปก่อน” ซึ่งไอ้ระดับของการ “เอามันออกไป” ก็แตกต่างกันอีก บางคนหมายถึง “เอามันออกไปจากการเป็นรัฐบาล” บางคนหมายถึง “เอามันออกไปจากการเมืองไทย” บางคนหมายถึง “เอามันออกไปจากประเทศไทย” นี่ก็เป็นรายละเอียดที่ยากจะแปะป้ายเช่นกัน
...
ยังมีต่อตามไปอ่านที่...
https://www.facebook.com/Roundfinger.BOOK/posts/728189753876604
จากใจผู้ชายนาม "นิ้วกลม"
***************************************
วันนี้เพื่อนสนิทและพี่ๆ ที่เคารพหลายคนออกไปเป่านกหวีด นับเป็นเรื่องโชคดีที่สองสัปดาห์ที่ผ่านมาได้นั่งสนทนาแลกเปลี่ยนทรรศนะกับเพื่อนสนิทมิตรสหายหลากหลายกลุ่ม เราเลยได้เข้าใจ “รายละเอียด” ของความคิดและพฤติกรรมของกันและกันมากกว่าการมานั่งเดาจากการอ่านสเตตัส แล้วเตรียมป้ายมาแปะให้กันและกันว่าไอ้นี่สีไหน อยู่ข้างไหน
ในสมัยที่คุณทักษิณยังเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเป็นคนหนึ่งที่ไปสวนลุมฯ ทุกเย็นวันศุกร์กับเพื่อนครีเอทีฟในออฟฟิศ ตอนนั้นเราตะโกนคำว่า “ทักษิณออกไป ทักษิณออกไป” กันดังลั่น บรรยากาศตอนนั้นก็คล้ายๆ ม็อบนกหวีดในวันนี้แหละครับ เราไปเจอเพื่อนๆ พี่ๆ โดยมิได้นัดหมายกันมากมาย กระทั่งคุณสนธิเริ่มเรียกร้องนายกฯ ม.7 ผมก็ค่อยๆ ถอยห่างจากม็อบ เพราะไม่เห็นด้วย ผมอยากเห็นประชาชนไล่ทักษิณได้ด้วยพลังของพวกเราเอง และก็อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามหลักการและระบบที่มีอยู่ คือยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ก็ใช่ครับ พรรคเดิมที่พวกเราไล่ไปอาจจะกลับมาเป็นรัฐบาลอีก แต่อย่างน้อยเราก็ยังรักษาหลักการเอาไว้ได้ แต่แล้วสิ่งที่ผมกับเพื่อนอีกหลายคนไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อเกิดการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยา ปี 49
ในตอนนั้นผมรู้สึกเซ็งและเสียดายที่ประชาชนกำลังจะไล่รัฐบาลได้สำเร็จอยู่แล้วเชียว ก็ดันมีอำนาจนอกระบบมาจัดการไปเสียก่อน แน่นอนว่าตอนนั้นก็มีรายละเอียดของสถานการณ์ ม็อบสองสีอาจจะยกพวกตีกันตอนไหนก็ไม่มีใครรู้ เมื่อมีคนอ้างว่า การรัฐประหารที่นิ่มนวลที่สุดครั้งนั้นช่วยหลีกเลี่ยงการเสียเลือดเสียเนื้อ ผมก็รับฟัง แม้ไม่เห็นด้วยเลยกับการรัฐประหาร แต่ผมก็เผื่อใจไว้เช่นกันว่า มันอาจเป็นทางออกที่จะป้องกันความรุนแรงก็เป็นได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป รัฐประหารครั้งนั้นกลับกลายเป็นเชื้อฟืนให้ความขัดแย้งลุกลาม กระทั่งนำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรงหลายครั้ง ซึ่งผู้สูญเสียก็มีทั้งฝั่งเหลืองและฝั่งแดง
แถมการรัฐประหารยังทำให้คุณทักษิณกลับกลายเป็นตัวแทนของฝ่ายประชาธิปไตยไปเสียฉิบ! จากนายกฯ ที่ไม่เคยฟังคำทักท้วงตักเตือน ปิดช่องทางการตรวจสอบ ปิดปากสื่อ รวมถึงกรณีตากใบ กลายมาเป็นตัวแทนของประชาธิปไตยไปได้อย่างไร ที่เป็นไปได้ก็เพราะเราเอาเขาออกไปด้วยวิธีนอกระบบ นั่นทำให้การปลดนายกฯ อย่างคุณสมัครด้วยความผิดฐานทำกับข้าวออกทีวี และยุบพรรคพลังประชาชนถูกตั้งคำถามจากฝ่ายเสื้อแดง เหตุการณ์พลิกผันกลายเป็นคุณทักษิณกลายเป็นฝ่าย “ชอบธรรม” ในสายตาคนเสื้อแดง เหตุการณ์เดินทางมาไกลโพ้นจากตอนที่เราเกือบจะไล่คุณทักษิณได้ด้วยพลังของประชาชน กลับกลายเป็นการรัฐประหารกลับไปเพิ่มความชอบธรรมให้คนที่ถูกประชาชนไล่
จากบทเรียนครั้งนั้น ผมจึงไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร และวิถีทางนอกระบบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ผมเห็นด้วยครับ ว่าเราต้องจัดการกับนักการเมืองที่โกงกิน นักการเมืองที่ไม่รับผิด แต่เราก็ต้องจัดการด้วยวิถีทางที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตย มิฉะนั้น การจัดการนั้นก็จะไม่ได้รับความชอบธรรม เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นจาก “เสียงส่วนใหญ่” ในประเทศ หากเกิดขึ้นจาก “เสียงส่วนหนึ่ง” เท่านั้น ซึ่งมันจะนำไปสู่ปัญหางูกินหาง เมื่อ “เสียงส่วนใหญ่” ไม่ยอมรับอำนาจนั้น
...
เมื่อมาถึงม็อบนกหวีด จากวันแรกถึงวันนี้ สิ่งที่ผมเห็นด้วยมาตลอดคือการแสดงออกทางการเมืองให้รัฐบาลที่มองข้ามหัวประชาชน ออกกฎหมายยกโทษความผิดให้ตัวเอง กู้เงิน 2 ล้านล้านโดยไม่แจกแจงรายละเอียด การดันนโยบายจำนำข้าวโดยไม่ฟังเถียงทักท้วง แถมยังมีข้อมูลเรื่องทุจริตคอรัปชั่นอีกเต็มไปหมด ได้สำนึกบ้างว่า ยังมีประชาชนที่ตื่นตัวทางการเมือง ไม่ยอมรับการกระทำสามานย์ของนักการเมือง และพร้อมจะออกมาส่งเสียงอีกมากมาย จะว่าไป ม็อบนกหวีดเป็นม็อบที่เห็นแล้วมีความหวัง ว่าในอนาคตนักการเมือง (ไม่ว่าจากพรรคใด) คงจะทำตัวแย่ๆ หรือโกงกินกันได้ยากขึ้น เมื่อประชาชนตื่นตัวและตรวจสอบกันขนาดนี้
แต่สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยมาตลอดเช่นกันคือ ข้อเรียกร้องจากคุณสุเทพ ที่บอกว่ายุบสภาก็ไม่เอา ลาออกก็ไม่เอา และเสนอจะตั้งสภาประชาชน และล่าสุดคือนายกฯ ม.7 (อีกแล้ว) นั่นแปลว่าคุณสุเทพกำลังเสนอให้ “เสียงส่วนหนึ่ง” ซึ่งไม่ใช่ “เสียงส่วนใหญ่” มีอำนาจในการแต่งตั้ง “สภาประชาชน” ขึ้นมา เพราะกระทั่งถึงทุกวันนี้แล้วผมรวมถึงเพื่อนๆ บางคนที่ออกไปเป่านกหวีดก็ยังข้องใจว่า สภาประชาชนจะมาด้วยวิธีไหน ใครเป็นคนแต่งตั้ง “ประชาชน” ที่ว่านั้นเป็นประชาชนกลุ่มไหน ใช่เสียงส่วนใหญ่ของประเทศหรือเปล่า
อย่างที่บอกครับ ว่าโชคดีที่ได้นั่งคุยกับเพื่อนๆ แบบตามองตา จึงได้เข้าใจว่า เพื่อนบางคนออกไปร่วมชุมนุมโดยไม่ได้เห็นด้วยกับคุณสุเทพทั้งหมด หลายคนบอกผมว่า “กูก็ขอแค่ยุบสภานั่นแหละ แต่ถ้าไม่ออกไปเลย ยุบสภาก็อาจจะไม่ได้” ผมจึงเข้าใจเพื่อนที่ออกไปเป่านกหวีดมากขึ้น แต่เพื่อนบางคนก็อยากได้สภาประชาชนจริงๆ แม้ยังไม่รู้วิธีการก็ตาม เพื่อนกลุ่มนี้จะให้เหตุผลว่า “เอาพวกมันออกไปก่อน ด้วยวิธีอะไรก็ได้ แล้วค่อยว่ากัน” นี่แหละครับ รายละเอียดที่หลากหลาย ซึ่งเราไม่สามารถแปะป้ายได้ว่า “ไอ้นี่นกหวีด” หรือ “ไอ้นี่ไทยเฉย” เพราะบางที “ไอ้นกหวีด” กับ “ไอ้ไทยเฉย” บางคนนี่คิดแทบจะไม่ต่างกันเลย ต่างแค่คนหนึ่งเลือกออกไปร่วมชุมนุม ขณะที่อีกคนเลือกที่จะนั่งดูบลูสกายอยู่ที่บ้าน แล้วส่ายหัวกับข้อเสนอของลุงกำนัน ส่วนไอ้คนแรกไปส่ายหัวอยู่ในม็อบ
ขณะที่บางคนก็จะบอกว่า “อย่าเพิ่งมาสนใจรายละเอียดตอนนี้ได้มั้ย คิดต่างกันนิดหน่อยก็ร่วมๆ ขบวนกันไปก่อน เอามันออกไปก่อน” ซึ่งไอ้ระดับของการ “เอามันออกไป” ก็แตกต่างกันอีก บางคนหมายถึง “เอามันออกไปจากการเป็นรัฐบาล” บางคนหมายถึง “เอามันออกไปจากการเมืองไทย” บางคนหมายถึง “เอามันออกไปจากประเทศไทย” นี่ก็เป็นรายละเอียดที่ยากจะแปะป้ายเช่นกัน
...
ยังมีต่อตามไปอ่านที่... https://www.facebook.com/Roundfinger.BOOK/posts/728189753876604