ถามว่าทำไมผมคิดแบบนั้น
1) ตอนนี้อำนาจของรัฐบาลเริ่มสั่นคลอน เพราะไม่รุ้ว่าจะโดนองค์กรอิสระสอยวันไหน ทั้งเรื่องทุจริตหรือเรื่องการออกกฎหมายต่างๆ
ถ้าไม่รีบยุบเกิดโดน ปปช ชี้มูลขึ้นมาจะกลายเป็นง่อยไปทันที
2) โครงการประชานิยมเริ่มพ่นพิษ ทั้งจำนำข้าว ทั้งรถคันแรก นโยบายลดแลกแจกแถมต่างๆ เริ่มส่งผลกับเศรษฐกิจของประเทศ
อยากเลิกก็เลิกไม่ได้ พอได้จังหวะก็เลิกเลยแล้วโยนบาปทั้งหมดไปที่ฝ่ายตรงข้ามว่าเข้ามาล้มล้างนโยบายนี้ทั้งที่รัฐบาลไม่อยากเลิก
3) การยุบสภาเหมือนนับถอยหลังเข้าสู่การเลือกตั้ง ถ้าใครเข้ามาขวางกระบวนการนี้มีโทษเป็นกบฏ นอกซะจากมีการรัฐประหาร
ไม่ว่าออกมุมไหนรัฐบาลก็ได้ภาพของรัฐบาลที่รักษาระบอบประชาธิปไตย เพราะถึงไม่ยุบไอ้กระบวนการพวกนี้มันก็ยังตามมาหลอกหลอนอยู่ดี
แต่ทางเดียวที่จะไม่ให้มีการเลือกตั้งในขณะนี้ก็ต้องฉีกรัฐนูญนี้เท่านั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังเอาทุกอย่างไปคุยกันในสภาได้ เท่ากับปิดทางคุณ สุเทพ ที่จะตั้งสภาประชาชนภายใต้รัฐธรรมนูญนี้
4) หลังจากมีพระราชกฤษฏีกาเลือกตั้ง การพูดจาใส่ร้าย จะเข้าข่ายผิดกฏหมายเลือกตั้งทันที ดังนั้นจะมาโจมตีรัฐบาลแบบโต้งๆแบบนี้ไม่ได้อีก
5) เป็นการโยนเผือกร้อนให้ประชาธิปัตย์ จากที่โดนถล่มอยู่ฝ่ายเดียวจะมีคำถามย้อนไปทันที่ว่าประชาธิปัตย์จะลงเลือกตั้งหรือไม่ ถ้าไม่ลงก็คือไม่
ยอมรับผลการเลือกตั้ง ถ้าลงก็มีโอกาสแพ้อีกครั้งนึงสูงมาก เพราะรัฐบาลปูทางการหาเสียงเอาไว้แล้ว ทั้งเรื่องงบ น้ำ 3.5 แสนล้าน งบลงทุน 2 ลล
ยังไงก็ไปขายฝันให้ฐานเสียงตัวเองได้ต่อไป
6) ตัวเลือกของพรรคเพื่อไทยเยอะขึ้นจากคนที่พ้นโทษแบนทางการเมืองกลับมาแล้ว การยุบสภาก็เท่ากับให้ทุกคนปั่นผลงานตัวเองไม่ต้องไปเลือก
รัฐมนตรีจากพวกเกรด B เกราด C อีกต่อไป ไม่ต้องมาหักดิบกันให้กระทบกระเทือนจิตใจด้วย
7) ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ยังอยากให้มีการเลือกตั้ง ที่มาก็เพื่อไล่รัฐบาลเท่านั้นซึ่งถือว่าบรรลุไปแล้ว ส่วนการขับไล่ระบอบทักษิณภายใต้รัฐธรรมนูญนี้คงยังทำไม่ได้ตราบเท่าที่รัฐธรรมนูญยังไม่ห้ามคนตระกูลชินวัตรลงเล่นการเมือง แล้วคนกลางๆยิ่งไม่ต้องพูดถึงเค้ายังคิดว่าการเลือกตั้งคือทางออก ใครขัดขวางก็มีแต่จะโดนโจมตีเปล่าๆ
ใครคิดเหมือนผมบ้าง การยุบสภาครั้งนี้รัฐบาลมีแต่ได้กับได้ แล้วโยนความกดดันให้ฝ่ายตรงข้ามได้ด้วย
1) ตอนนี้อำนาจของรัฐบาลเริ่มสั่นคลอน เพราะไม่รุ้ว่าจะโดนองค์กรอิสระสอยวันไหน ทั้งเรื่องทุจริตหรือเรื่องการออกกฎหมายต่างๆ
ถ้าไม่รีบยุบเกิดโดน ปปช ชี้มูลขึ้นมาจะกลายเป็นง่อยไปทันที
2) โครงการประชานิยมเริ่มพ่นพิษ ทั้งจำนำข้าว ทั้งรถคันแรก นโยบายลดแลกแจกแถมต่างๆ เริ่มส่งผลกับเศรษฐกิจของประเทศ
อยากเลิกก็เลิกไม่ได้ พอได้จังหวะก็เลิกเลยแล้วโยนบาปทั้งหมดไปที่ฝ่ายตรงข้ามว่าเข้ามาล้มล้างนโยบายนี้ทั้งที่รัฐบาลไม่อยากเลิก
3) การยุบสภาเหมือนนับถอยหลังเข้าสู่การเลือกตั้ง ถ้าใครเข้ามาขวางกระบวนการนี้มีโทษเป็นกบฏ นอกซะจากมีการรัฐประหาร
ไม่ว่าออกมุมไหนรัฐบาลก็ได้ภาพของรัฐบาลที่รักษาระบอบประชาธิปไตย เพราะถึงไม่ยุบไอ้กระบวนการพวกนี้มันก็ยังตามมาหลอกหลอนอยู่ดี
แต่ทางเดียวที่จะไม่ให้มีการเลือกตั้งในขณะนี้ก็ต้องฉีกรัฐนูญนี้เท่านั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังเอาทุกอย่างไปคุยกันในสภาได้ เท่ากับปิดทางคุณ สุเทพ ที่จะตั้งสภาประชาชนภายใต้รัฐธรรมนูญนี้
4) หลังจากมีพระราชกฤษฏีกาเลือกตั้ง การพูดจาใส่ร้าย จะเข้าข่ายผิดกฏหมายเลือกตั้งทันที ดังนั้นจะมาโจมตีรัฐบาลแบบโต้งๆแบบนี้ไม่ได้อีก
5) เป็นการโยนเผือกร้อนให้ประชาธิปัตย์ จากที่โดนถล่มอยู่ฝ่ายเดียวจะมีคำถามย้อนไปทันที่ว่าประชาธิปัตย์จะลงเลือกตั้งหรือไม่ ถ้าไม่ลงก็คือไม่
ยอมรับผลการเลือกตั้ง ถ้าลงก็มีโอกาสแพ้อีกครั้งนึงสูงมาก เพราะรัฐบาลปูทางการหาเสียงเอาไว้แล้ว ทั้งเรื่องงบ น้ำ 3.5 แสนล้าน งบลงทุน 2 ลล
ยังไงก็ไปขายฝันให้ฐานเสียงตัวเองได้ต่อไป
6) ตัวเลือกของพรรคเพื่อไทยเยอะขึ้นจากคนที่พ้นโทษแบนทางการเมืองกลับมาแล้ว การยุบสภาก็เท่ากับให้ทุกคนปั่นผลงานตัวเองไม่ต้องไปเลือก
รัฐมนตรีจากพวกเกรด B เกราด C อีกต่อไป ไม่ต้องมาหักดิบกันให้กระทบกระเทือนจิตใจด้วย
7) ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ยังอยากให้มีการเลือกตั้ง ที่มาก็เพื่อไล่รัฐบาลเท่านั้นซึ่งถือว่าบรรลุไปแล้ว ส่วนการขับไล่ระบอบทักษิณภายใต้รัฐธรรมนูญนี้คงยังทำไม่ได้ตราบเท่าที่รัฐธรรมนูญยังไม่ห้ามคนตระกูลชินวัตรลงเล่นการเมือง แล้วคนกลางๆยิ่งไม่ต้องพูดถึงเค้ายังคิดว่าการเลือกตั้งคือทางออก ใครขัดขวางก็มีแต่จะโดนโจมตีเปล่าๆ