ข้อมูลชี้แจงรายการตาสว่าง
1. กำลังการผลิตน้ำมัน
• ปัจจุบัน ประเทศไทยยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเข้ามากลั่นเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ
• และที่ระบุว่าประเทศไทยผลิตน้ำมันได้ 1,000,000 บาร์เรล/วันนั้น เป็นกำลังการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปของโรงกลั่น (การแยกน้ำมันดิบให้เป็นน้ำมันสำเร็จรูปชนิดต่างๆ) ไม่ใช่กำลังการผลิตน้ำมันดิบในประเทศไทย จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน (สนพ.) พบว่าในปี 2555ประเทศไทยมีความสามารถในการผลิตน้ำมันดิบแค่เพียง148,977 บาร์เรลต่อวัน และ condensate อีกเพียง 81,584 บาร์เรลต่อวันเท่านั้นในขณะที่ ประเทศไทยต้องนำเข้าน้ำมันดิบสูงถึง 862,568 บาร์เรลต่อวัน
• นอกจากนี้ประเทศไทยมีความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่709,223 บาร์เรลต่อวัน มีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปบางส่วนที่เหลือจากความต้องการใช้ภายในประเทศ และมีการส่งออกน้ำมันดิบเพียงบางส่วน ประมาณ 41,149บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นน้ำมันดิบที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะกับความต้องการในประเทศ
2. ราคาขายปลีกน้ำมันเปรียบเทียบกับประเทศอื่น
• ราคาน้ำมันขายปลีกไทยไม่ได้แพงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังต่ำกว่าหลายประเทศ แต่ที่บางประเทศมีราคาต่ำกว่าไทยเนื่องจากประเทศเหล่านั้นมีปริมาณการผลิตและสำรองน้ำมันสูงกว่าไทยมาก อีกทั้ง ภาครัฐยังมีนโยบายอุดหนุนราคาพลังงานภายในประเทศและไม่เก็บภาษีและเงินกองทุนน้ำมันอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ประเทศมาเลเซียซึ่งถือเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซฯ สร้างรายได้เข้าประเทศมหาศาล จึงสามารถขายน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศได้ถูกกว่าไทย ส่วนสิงคโปร์ยังมีราคาแพงกว่าไทยเพราะเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าน้ำมันดิบและนำมากลั่นเพื่อส่งออกเป็นส่วนใหญ่ และรัฐบาลสิงคโปร์มีการเก็บภาษีในอัตราสูงเพื่อให้เกิดการประหยัด
3. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปอ้างอิงราคาสิงคโปร์
• ราคาสิงคโปร์ไม่ใช่เป็นราคาที่ประกาศโดยประเทศสิงคโปร์ แต่เป็นราคาที่สะท้อนถึงการซื้อขายของทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียเพราะมีสำนักงานตัวแทนของบริษัทน้ำมันรายใหญ่อยู่ในสิงคโปร์อยู่ถึงกว่า 300 บริษัท ทำการตกลงซื้อขายกันในปริมาณมหาศาล ราคาที่กำหนดจึงสะท้อนความสามารถในการจัดหาและความต้องการน้ำมันในภูมิภาคนี้จริงๆ
• ตลาดซื้อขายน้ำมันของโลก หลักๆ มีอยู่ 3 แห่ง คือ นิวยอร์ก ลอนดอน และ สิงคโปร์ ดังนั้น ตลาดสิงคโปร์จึงถือว่าเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียและอยู่ใกล้ไทยมากที่สุด ดังนั้นต้นทุนในการนำเข้าจึงเป็นต้นทุนที่ถูกที่สุดที่โรงกลั่นไทยต้องแข่งขันด้วย อีกทั้งปริมาณการซื้อขายน้ำมันของตลาดสิงคโปร์มีปริมาณสูงพอๆ กับตลาดสหรัฐอเมริกาหรือตลาดใหญ่ในยุโรปหรือตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของโลก ทำให้ยากต่อการปั่นราคา
4. การ Stock น้ำมัน
• ตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 มาตรา 20 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ทุกขณะโดยต้องสำรองไม่เกินร้อยละ 30 ของปริมาณการค้าประจำปี ซึ่งปัจจุบันมีอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงของภาคเอกชนอยู่ที่ร้อยละ5
• ซึ่งทางรัฐบาลได้ประกาศเพิ่มอัตราสำรองตามกฎหมายเป็นร้อยละ 6 โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีน้ำมันสำรองตามกฎหมายจากเดิม 36 วันของความต้องการใช้ในประเทศ หรือประมาณ 23.3 ล้านบาร์เรล เป็น 43 วันของความต้องการใช้ในประเทศ หรือประมาณ 28 ล้านบาร์เรล
• Stock น้ำมันตามกฎหมายกำหนด 43 วัน จะเป็นแบ่งเป็นการสำรองน้ำมันดิบสำหรับกระบวนการกลั่นในโรงกลั่นจำนวน 14 ล้านบาร์เรล และการสำรองน้ำมันสำเร็จรูปสำหรับการขายในประเทศจำนวน 14 ล้านบาร์เรลซึ่งค่าใช้จ่ายในการเก็บสำรองนี้ เอกชนเป็นผู้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด และประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกมีการผันผวนตลอดเวลา ดังนั้นผู้ประกอบการก็ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการผันผวนของราคาน้ำมันอีกด้วยจึงทำให้บ่อยครั้งที่ค่าการตลาดไม่คุ้มค่าต้นทุนที่ลงไป นั่นคือสาเหตุที่ผู้ค้าน้ำมันอื่น เช่น Jet Esso Caltex ขายกิจการหรือปิดปั๊มน้ำมัน ในส่วนของ ปตท. เองก็ขาดทุนเหมือนกัน แต่ไม่สามารถขายทิ้งได้ เพราะเป็นปัญหาที่จะกระทบต่อประชาชนและความมั่นคงของประเทศปตท. จึงยังต้องทนแบกรับการขาดทุนจากธุรกิจนี้
5. กำไร ปตท.
• ปตท. ไม่เคยทำกำไรสูงถึงระดับ 195,000 ล้านบาท ตามที่ถูกกล่าวหาข้อเท็จจริงคือ ปี 2554 ปตท. มีกำไรสุทธิสูงสุดคือ 105,296 ล้านบาท ล่าสุดปี 2555 กำไรสุทธิปรับลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 104,666 ล้านบาท
• กำไรของปตท.มาจากทั้งธุรกิจที่ ปตท.ดำเนินการเองและส่วนแบ่งกำไรของบริษัทที่ปตท.ลงทุน โดยการถือหุ้นในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ธุรกิจโรงกลั่น และธุรกิจปิโตรเคมี
• ปี 2555 ปตท.มีรายได้ 2.8 ล้านล้านบาท มีสินทรัพย์รวมประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท และได้กำไรสุทธิประมาณ104,700 ล้านบาท ทำให้มีสัดส่วนกำไรสุทธิต่อรายได้ (profit margin) เพียง 3.7% และสัดส่วนกำไรสุทธิต่อสินทรัพย์รวม (ROA) เพียง 6.5%
• กำไรของ ปตท. ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ ปตท. ไปลงทุนในบริษัทย่อยต่างๆ (57%) มากกว่าจากธุรกิจที่ ปตท. ดำเนินการเอง (43%)
• ปตท.จึงไม่ได้กำไรมากมายจากการกลั่นและขายน้ำมันตามที่มีการกล่าวหา ในทางตรงกันข้าม ปตท.ได้มีบทบาทสำคัญในการชะลอการขึ้นราคาขายปลีก เพื่อบรรเทาภาระผู้ใช้น้ำมันในขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันขายปลีกของไทยจะถูกปรับเพื่อให้สะท้อนราคาต้นทุนน้ำมันดิบที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน โดยผู้ขายน้ำมันรับซื้อจากโรงกลั่นและปรับราคาเป็นช่วงๆ เพื่อให้ผู้บริโภคไม่ถูกกระทบจากราคาที่ผันผวนจนเกินไป ธุรกิจการกลั่นและธุรกิจค้าปลีกน้ำมันมีการแข่งขันเสรี มีผู้ประกอบการนอกเหนือจาก ปตท. คือบริษัทข้ามชาติขนาดยักษ์ที่ใหญ่กว่า ปตท. หลายสิบเท่า ทั้งสองธุรกิจมีวัฏจักรขึ้นลงตามสภาพตลาด และจะมีผลตอบแทนการลงทุนโดยเฉลี่ยไม่สูง ทำให้บริษัทข้ามชาติขาดความสนใจที่จะลงทุน และเริ่มทยอยขายกิจการในประเทศต่างๆ รวมทั้ง ประเทศไทยด้วย เช่น Shell ขายโรงกลั่นระยอง บริษัท BP, Q8 และ ConocoPhillips ที่ขายกิจการปั๊มน้ำมัน
• นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบผลตอบแทนของ ปตท. กับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมพลังงานต่างประเทศ จะพบว่าอัตราผลตอบแทนของ ปตท. ยังต่ำกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ที่มาhttp://money.cnn.com/magazines/fortune/global500/2013/full_list/?iid=G500_sp_full,
http://www.set.or.th
6. ธุรกิจ ปตท. ในโรงกลั่นน้ำมัน
• ปตท. ถือหุ้นในโรงกลั่น 5 แห่งจากทั้งหมด 6 แห่ง แต่ถ้าคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท. ในโรงกลั่นทั้งหมดจะคิดเป็นสัดส่วนการกลั่นเพียง 36% ของกำลังการกลั่นทั้งประเทศ
• ปตท.เป็นเพียงผู้ถือหุ้นรายหนึ่งและเป็นผู้ซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโรงกลั่น การดำเนินนโยบายใดๆของบริษัทโรงกลั่นน้ำมันแต่ละแห่งจะต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการบริษัทและการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทโรงกลั่นน้ำมันเหล่านั้นเอง
• โรงกลั่น 4 ใน 5 โรงกลั่นที่ ปตท.ถือหุ้นนั้น เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีประชาชนและนักลงทุนถือหุ้นอยู่ร้อยละ 50.9 ถึง 72.78 สำหรับอีก 1 โรงกลั่นที่เหลือคือ SPRC นั้น มีบริษัท Chevron เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ร้อยละ 64 และโรงกลั่น ESSO ที่ ปตท.ไม่ได้เข้าไปถือหุ้นใดๆ เลย
• การกำหนดราคาของธุรกิจการกลั่นเป็นไปอย่างเป็นธรรมตามหลักการของการแข่งขันเสรีตามกลไกตลาดและสภาพการแข่งขัน โดยมีหน่วยงานรัฐ (สนพ.) กำกับดูแล ปตท.หรือโรงกลั่นไม่มีการกำหนดเงื่อนไขบังคับอย่างไม่เป็นธรรมกับลูกค้าในการซื้อน้ำมัน ผู้ค้าน้ำมันจะเลือกซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นใดก็ได้อย่างเสรีรวมทั้งการนำเข้า
6. ภารกิจของ ปตท.
• บริษัทน้ำมันแห่งชาติซึ่งมีหน้าที่บรรเทาภาระด้านราคาพลังงานให้แก่คนไทย ปตท.จึงรับภาระต่างๆ อาทิ
- ชะลอการขึ้นราคาขายปลีกน้ำมัน ทำให้ค่าการตลาดต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
- ขายก๊าซหุงต้ม (LPG) ในประเทศราคาคงที่ตามที่รัฐควบคุม ซึ่งต่ำกว่าราคาในตลาดโลก ทั้งที่ต้นทุนวัตถุดิบที่นำมาผลิตคือก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบมีราคาสูงขึ้น
- ลงทุนขยายกิจการ NGV ตามนโยบายรัฐเพื่อเป็นทางเลือกให้กับภาคขนส่งในภาวะน้ำมันแพง ปัจจุบันมีสถานีกว่า 400 สถานีทั่วประเทศ ขณะที่ขาย NGV ในประเทศราคาคงที่ตามที่รัฐควบคุม 10.50 บาท/กก ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนค่าเนื้อก๊าซฯ ค่าขนส่ง และค่าลงทุนสถานีอุปกรณ์ต่างๆ โดยต้นทุน NGV เฉลี่ยปี 2555 อยู่ที่ 16.40 บาท/กก.
- ลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทนต่างๆ เพื่อเตรียมรองรับทิศทางในอนาคตที่จะสามารถลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ
- ปตท.มีหน้าที่รับผิดชอบการจัดหาพลังงานมาตอบสนองความต้องการใช้ให้เพียงพอและในราคาที่เป็นธรรม จึงต้องจัดสรรรายได้เพื่อนำมาลงทุนลงทุนต่อยอดขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านการจัดหาพลังงานให้แก่ประเทศ โดยอีก 5 ปี ข้างหน้า ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ต้องใช้เงินลงทุนรวมกว่า 900,000 ล้านบาท
- ตั้งแต่ปี 2544-2555 ปตท. ได้ส่งเงินให้รัฐในรูปของภาษีเงินได้และเงินปันผลรวมแล้วกว่า
541,034 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นรัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้ให้กับรัฐมากที่สุด
- หาก ปตท.นำกำไรมาลดราคาขายปลีกน้ำมัน ก็จะช่วยประชาชนได้ในระยะสั้น แต่จะมีผลเสียระยะยาวคือ จะไม่เกิดสำนึกของการประหยัดและปตท.จะขาดความเข้มแข็งทางการเงินที่จะไปลงทุนเพื่อเสถียรภาพในอนาคต
- ประเทศอื่นๆ ที่ต้องนำเข้าพลังงาน จะมีนโยบายสนับสนุนให้บริษัทน้ำมันแห่งชาติของเขามีความเข้มแข็งและไปลงทุนต่างประเทศเพื่อจะสามารถรักษาประโยชน์ของประเทศได้ในระยะยาว
- บริษัทน้ำมันแห่งชาติหลายแห่งได้แปรรูปและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความคล่องตัวในการระดมทุนสำหรับการขยายธุรกิจ เช่น CNPC CNOOC และ Sinopec ของจีน Gazprom ของรัสเซีย Petrobras ของบราซิล การแปรรูป ปตท. จึงสอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากลและน่าจะเป็นแนวทางที่ถูกต้องที่จะสร้างบริษัทน้ำมันแห่งชาติของไทยให้เข้มแข็งมากขึ้น
ข้อมูลชี้แจงเรื่องน้ำมัน ลองศึกษาดู ว่าอะไรเป็นไง??
1. กำลังการผลิตน้ำมัน
• ปัจจุบัน ประเทศไทยยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเข้ามากลั่นเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ
• และที่ระบุว่าประเทศไทยผลิตน้ำมันได้ 1,000,000 บาร์เรล/วันนั้น เป็นกำลังการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปของโรงกลั่น (การแยกน้ำมันดิบให้เป็นน้ำมันสำเร็จรูปชนิดต่างๆ) ไม่ใช่กำลังการผลิตน้ำมันดิบในประเทศไทย จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน (สนพ.) พบว่าในปี 2555ประเทศไทยมีความสามารถในการผลิตน้ำมันดิบแค่เพียง148,977 บาร์เรลต่อวัน และ condensate อีกเพียง 81,584 บาร์เรลต่อวันเท่านั้นในขณะที่ ประเทศไทยต้องนำเข้าน้ำมันดิบสูงถึง 862,568 บาร์เรลต่อวัน
• นอกจากนี้ประเทศไทยมีความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่709,223 บาร์เรลต่อวัน มีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปบางส่วนที่เหลือจากความต้องการใช้ภายในประเทศ และมีการส่งออกน้ำมันดิบเพียงบางส่วน ประมาณ 41,149บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นน้ำมันดิบที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะกับความต้องการในประเทศ
2. ราคาขายปลีกน้ำมันเปรียบเทียบกับประเทศอื่น
• ราคาน้ำมันขายปลีกไทยไม่ได้แพงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังต่ำกว่าหลายประเทศ แต่ที่บางประเทศมีราคาต่ำกว่าไทยเนื่องจากประเทศเหล่านั้นมีปริมาณการผลิตและสำรองน้ำมันสูงกว่าไทยมาก อีกทั้ง ภาครัฐยังมีนโยบายอุดหนุนราคาพลังงานภายในประเทศและไม่เก็บภาษีและเงินกองทุนน้ำมันอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ประเทศมาเลเซียซึ่งถือเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซฯ สร้างรายได้เข้าประเทศมหาศาล จึงสามารถขายน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศได้ถูกกว่าไทย ส่วนสิงคโปร์ยังมีราคาแพงกว่าไทยเพราะเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าน้ำมันดิบและนำมากลั่นเพื่อส่งออกเป็นส่วนใหญ่ และรัฐบาลสิงคโปร์มีการเก็บภาษีในอัตราสูงเพื่อให้เกิดการประหยัด
3. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปอ้างอิงราคาสิงคโปร์
• ราคาสิงคโปร์ไม่ใช่เป็นราคาที่ประกาศโดยประเทศสิงคโปร์ แต่เป็นราคาที่สะท้อนถึงการซื้อขายของทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียเพราะมีสำนักงานตัวแทนของบริษัทน้ำมันรายใหญ่อยู่ในสิงคโปร์อยู่ถึงกว่า 300 บริษัท ทำการตกลงซื้อขายกันในปริมาณมหาศาล ราคาที่กำหนดจึงสะท้อนความสามารถในการจัดหาและความต้องการน้ำมันในภูมิภาคนี้จริงๆ
• ตลาดซื้อขายน้ำมันของโลก หลักๆ มีอยู่ 3 แห่ง คือ นิวยอร์ก ลอนดอน และ สิงคโปร์ ดังนั้น ตลาดสิงคโปร์จึงถือว่าเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียและอยู่ใกล้ไทยมากที่สุด ดังนั้นต้นทุนในการนำเข้าจึงเป็นต้นทุนที่ถูกที่สุดที่โรงกลั่นไทยต้องแข่งขันด้วย อีกทั้งปริมาณการซื้อขายน้ำมันของตลาดสิงคโปร์มีปริมาณสูงพอๆ กับตลาดสหรัฐอเมริกาหรือตลาดใหญ่ในยุโรปหรือตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของโลก ทำให้ยากต่อการปั่นราคา
4. การ Stock น้ำมัน
• ตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 มาตรา 20 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ทุกขณะโดยต้องสำรองไม่เกินร้อยละ 30 ของปริมาณการค้าประจำปี ซึ่งปัจจุบันมีอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงของภาคเอกชนอยู่ที่ร้อยละ5
• ซึ่งทางรัฐบาลได้ประกาศเพิ่มอัตราสำรองตามกฎหมายเป็นร้อยละ 6 โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีน้ำมันสำรองตามกฎหมายจากเดิม 36 วันของความต้องการใช้ในประเทศ หรือประมาณ 23.3 ล้านบาร์เรล เป็น 43 วันของความต้องการใช้ในประเทศ หรือประมาณ 28 ล้านบาร์เรล
• Stock น้ำมันตามกฎหมายกำหนด 43 วัน จะเป็นแบ่งเป็นการสำรองน้ำมันดิบสำหรับกระบวนการกลั่นในโรงกลั่นจำนวน 14 ล้านบาร์เรล และการสำรองน้ำมันสำเร็จรูปสำหรับการขายในประเทศจำนวน 14 ล้านบาร์เรลซึ่งค่าใช้จ่ายในการเก็บสำรองนี้ เอกชนเป็นผู้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด และประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกมีการผันผวนตลอดเวลา ดังนั้นผู้ประกอบการก็ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการผันผวนของราคาน้ำมันอีกด้วยจึงทำให้บ่อยครั้งที่ค่าการตลาดไม่คุ้มค่าต้นทุนที่ลงไป นั่นคือสาเหตุที่ผู้ค้าน้ำมันอื่น เช่น Jet Esso Caltex ขายกิจการหรือปิดปั๊มน้ำมัน ในส่วนของ ปตท. เองก็ขาดทุนเหมือนกัน แต่ไม่สามารถขายทิ้งได้ เพราะเป็นปัญหาที่จะกระทบต่อประชาชนและความมั่นคงของประเทศปตท. จึงยังต้องทนแบกรับการขาดทุนจากธุรกิจนี้
5. กำไร ปตท.
• ปตท. ไม่เคยทำกำไรสูงถึงระดับ 195,000 ล้านบาท ตามที่ถูกกล่าวหาข้อเท็จจริงคือ ปี 2554 ปตท. มีกำไรสุทธิสูงสุดคือ 105,296 ล้านบาท ล่าสุดปี 2555 กำไรสุทธิปรับลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 104,666 ล้านบาท
• กำไรของปตท.มาจากทั้งธุรกิจที่ ปตท.ดำเนินการเองและส่วนแบ่งกำไรของบริษัทที่ปตท.ลงทุน โดยการถือหุ้นในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ธุรกิจโรงกลั่น และธุรกิจปิโตรเคมี
• ปี 2555 ปตท.มีรายได้ 2.8 ล้านล้านบาท มีสินทรัพย์รวมประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท และได้กำไรสุทธิประมาณ104,700 ล้านบาท ทำให้มีสัดส่วนกำไรสุทธิต่อรายได้ (profit margin) เพียง 3.7% และสัดส่วนกำไรสุทธิต่อสินทรัพย์รวม (ROA) เพียง 6.5%
• กำไรของ ปตท. ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ ปตท. ไปลงทุนในบริษัทย่อยต่างๆ (57%) มากกว่าจากธุรกิจที่ ปตท. ดำเนินการเอง (43%)
• ปตท.จึงไม่ได้กำไรมากมายจากการกลั่นและขายน้ำมันตามที่มีการกล่าวหา ในทางตรงกันข้าม ปตท.ได้มีบทบาทสำคัญในการชะลอการขึ้นราคาขายปลีก เพื่อบรรเทาภาระผู้ใช้น้ำมันในขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันขายปลีกของไทยจะถูกปรับเพื่อให้สะท้อนราคาต้นทุนน้ำมันดิบที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน โดยผู้ขายน้ำมันรับซื้อจากโรงกลั่นและปรับราคาเป็นช่วงๆ เพื่อให้ผู้บริโภคไม่ถูกกระทบจากราคาที่ผันผวนจนเกินไป ธุรกิจการกลั่นและธุรกิจค้าปลีกน้ำมันมีการแข่งขันเสรี มีผู้ประกอบการนอกเหนือจาก ปตท. คือบริษัทข้ามชาติขนาดยักษ์ที่ใหญ่กว่า ปตท. หลายสิบเท่า ทั้งสองธุรกิจมีวัฏจักรขึ้นลงตามสภาพตลาด และจะมีผลตอบแทนการลงทุนโดยเฉลี่ยไม่สูง ทำให้บริษัทข้ามชาติขาดความสนใจที่จะลงทุน และเริ่มทยอยขายกิจการในประเทศต่างๆ รวมทั้ง ประเทศไทยด้วย เช่น Shell ขายโรงกลั่นระยอง บริษัท BP, Q8 และ ConocoPhillips ที่ขายกิจการปั๊มน้ำมัน
• นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบผลตอบแทนของ ปตท. กับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมพลังงานต่างประเทศ จะพบว่าอัตราผลตอบแทนของ ปตท. ยังต่ำกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ที่มาhttp://money.cnn.com/magazines/fortune/global500/2013/full_list/?iid=G500_sp_full, http://www.set.or.th
6. ธุรกิจ ปตท. ในโรงกลั่นน้ำมัน
• ปตท. ถือหุ้นในโรงกลั่น 5 แห่งจากทั้งหมด 6 แห่ง แต่ถ้าคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท. ในโรงกลั่นทั้งหมดจะคิดเป็นสัดส่วนการกลั่นเพียง 36% ของกำลังการกลั่นทั้งประเทศ
• ปตท.เป็นเพียงผู้ถือหุ้นรายหนึ่งและเป็นผู้ซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโรงกลั่น การดำเนินนโยบายใดๆของบริษัทโรงกลั่นน้ำมันแต่ละแห่งจะต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการบริษัทและการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทโรงกลั่นน้ำมันเหล่านั้นเอง
• โรงกลั่น 4 ใน 5 โรงกลั่นที่ ปตท.ถือหุ้นนั้น เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีประชาชนและนักลงทุนถือหุ้นอยู่ร้อยละ 50.9 ถึง 72.78 สำหรับอีก 1 โรงกลั่นที่เหลือคือ SPRC นั้น มีบริษัท Chevron เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ร้อยละ 64 และโรงกลั่น ESSO ที่ ปตท.ไม่ได้เข้าไปถือหุ้นใดๆ เลย
• การกำหนดราคาของธุรกิจการกลั่นเป็นไปอย่างเป็นธรรมตามหลักการของการแข่งขันเสรีตามกลไกตลาดและสภาพการแข่งขัน โดยมีหน่วยงานรัฐ (สนพ.) กำกับดูแล ปตท.หรือโรงกลั่นไม่มีการกำหนดเงื่อนไขบังคับอย่างไม่เป็นธรรมกับลูกค้าในการซื้อน้ำมัน ผู้ค้าน้ำมันจะเลือกซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นใดก็ได้อย่างเสรีรวมทั้งการนำเข้า
6. ภารกิจของ ปตท.
• บริษัทน้ำมันแห่งชาติซึ่งมีหน้าที่บรรเทาภาระด้านราคาพลังงานให้แก่คนไทย ปตท.จึงรับภาระต่างๆ อาทิ
- ชะลอการขึ้นราคาขายปลีกน้ำมัน ทำให้ค่าการตลาดต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
- ขายก๊าซหุงต้ม (LPG) ในประเทศราคาคงที่ตามที่รัฐควบคุม ซึ่งต่ำกว่าราคาในตลาดโลก ทั้งที่ต้นทุนวัตถุดิบที่นำมาผลิตคือก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบมีราคาสูงขึ้น
- ลงทุนขยายกิจการ NGV ตามนโยบายรัฐเพื่อเป็นทางเลือกให้กับภาคขนส่งในภาวะน้ำมันแพง ปัจจุบันมีสถานีกว่า 400 สถานีทั่วประเทศ ขณะที่ขาย NGV ในประเทศราคาคงที่ตามที่รัฐควบคุม 10.50 บาท/กก ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนค่าเนื้อก๊าซฯ ค่าขนส่ง และค่าลงทุนสถานีอุปกรณ์ต่างๆ โดยต้นทุน NGV เฉลี่ยปี 2555 อยู่ที่ 16.40 บาท/กก.
- ลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทนต่างๆ เพื่อเตรียมรองรับทิศทางในอนาคตที่จะสามารถลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ
- ปตท.มีหน้าที่รับผิดชอบการจัดหาพลังงานมาตอบสนองความต้องการใช้ให้เพียงพอและในราคาที่เป็นธรรม จึงต้องจัดสรรรายได้เพื่อนำมาลงทุนลงทุนต่อยอดขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านการจัดหาพลังงานให้แก่ประเทศ โดยอีก 5 ปี ข้างหน้า ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ต้องใช้เงินลงทุนรวมกว่า 900,000 ล้านบาท
- ตั้งแต่ปี 2544-2555 ปตท. ได้ส่งเงินให้รัฐในรูปของภาษีเงินได้และเงินปันผลรวมแล้วกว่า
541,034 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นรัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้ให้กับรัฐมากที่สุด
- หาก ปตท.นำกำไรมาลดราคาขายปลีกน้ำมัน ก็จะช่วยประชาชนได้ในระยะสั้น แต่จะมีผลเสียระยะยาวคือ จะไม่เกิดสำนึกของการประหยัดและปตท.จะขาดความเข้มแข็งทางการเงินที่จะไปลงทุนเพื่อเสถียรภาพในอนาคต
- ประเทศอื่นๆ ที่ต้องนำเข้าพลังงาน จะมีนโยบายสนับสนุนให้บริษัทน้ำมันแห่งชาติของเขามีความเข้มแข็งและไปลงทุนต่างประเทศเพื่อจะสามารถรักษาประโยชน์ของประเทศได้ในระยะยาว
- บริษัทน้ำมันแห่งชาติหลายแห่งได้แปรรูปและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความคล่องตัวในการระดมทุนสำหรับการขยายธุรกิจ เช่น CNPC CNOOC และ Sinopec ของจีน Gazprom ของรัสเซีย Petrobras ของบราซิล การแปรรูป ปตท. จึงสอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากลและน่าจะเป็นแนวทางที่ถูกต้องที่จะสร้างบริษัทน้ำมันแห่งชาติของไทยให้เข้มแข็งมากขึ้น