ความในใจของเสียงข้างน้อยชาวใต้ครับ

ผมเป็นคนเสื้อแดงที่ห่างเหินห้องราชดำเนินช่วงที่ปิดตัวเองไปตั้งแต่พ.ค.53และไม่เคยเข้ามาตั้งกระทู้ใดๆอีกเลย ผมเป็นข้าราชการทำงานกระทรวงสาธารณสุขที่ไม่ใช่แพทย์แต่งานที่ทำก็ใกล้ชิดกับประชาชนผู้มารับบริการมากที่สุดเช่นกัน ทำให้ผมชอบนโยบายหลักประกันสุขภาพเพราะทำให้ผู้รับบริการเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพได้ทัดเทียมกัน ทำให้กล้ามารพ.เมื่อเจ็บป่วยเพราะไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลเป็นอันดับแรกเมื่อเจ็บป่วยแทนที่จะคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองก่อน ชึ่งปัจจุบันก็ครอบคลุมจนแทบทุกโรคแม้กระทั่งโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงมากคนธรรมดาที่โรคนี้เป็นต้องหมดเนื้อหมดตัวในการรักษาและต้องตายแน่นอนเมื่อหมดเงินคือโรคไตวาย
      - ผมเคยเลือกพรรคยอดนิยมของชาวใต้มาทุกครั้งตั้งแต่เริ่มใช้สิทธิได้ และเปลี่ยนมาเลือกคิดใหม่ทำใหม่เพราะมีความเอะใจบางอย่างว่านักการเมืองควรรักษาคำสัญญาที่ให้ไว้ตอนหาเสียง ต้องให้ความสำคัญกับประชาชนไม่ใช่เฉพาะช่วงที่จะมาขอเสียง และจะต้องทำให้นโยบายที่ประกาศไว้ปฏิบัติได้จริงรวมถึงสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้น หลังจากนั้นแน่นอนว่าในระดับจังหวัดพรรคที่ผมเลือกพ่ายแพ้อย่างราบคาบทุกครั้ง หากแต่ในระดับประเทศพรรคที่ผมเลือกกลับชนะขาดในภาพรวมทั้งสิ้น5ครั้งเช่นกัน
     - น่าแปลกมากที่คนแถวบ้านผมซึ่งรังเกียจการซื้อเสียง,รังเกียจการคอร์รัปชั่น,การโกง กลับมองให้ความสำคัญแค่ว่าการซื้อเสียงต้องไม่มีในระดับส.ส.เท่านั้น ทั้งๆที่ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นของบ้านผมเองล้วนแต่มีการซื้อเสียงกันทั้งสิ้น ตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่บ้าน,กำนัน,อบต.,สท.,สจ จนกระทั่งอบจ. การชักเปอร์เซนต์จ้างงาน,การจ่ายส่วยตั้งบ่อนการพนันฯลฯ กลับถูกมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาไป รวมถึงการเล่นพรรคเล่นพวกมาก่อนที่ไม่ต้องคำนึงว่าใครคนไหนจะมาทำงานแทนเราได้ดีที่สุดนั้นยังคงเป็นบรรทัดฐานที่แสนมั่นคง จนทำให้วลีที่เกี่ยวกับ"เสาไฟฟ้า"ก็จะได้รับเลือกถ้าพรรคสนับสนุนยังคงเข้มขลังยั่งยืนอยู่มาจนถึงปัจจุบัน แล้วเราจะไปดูถูกดูแคลนพี่น้องภาคอื่นเขาทำไมล่ะครับในเมื่อเราเองก็ไม่ได้มีวิจารณญานในการเลือก รวมถึงสำนึกแห่งประชาธิปไตยที่แท้จริงดีกว่าเขาเหล่านั้นเลย และที่สำคัญคนที่ออกมาต่อสู้กับระบอบทักษิณซึ่งเชื่อกันว่าโกงกินทำลายชาติ จะกลับไปมีบทบาทต่อสู้ต่อต้านความทุจจริตชั่วร้ายที่ยังเต็มอยู่รอบตัวเรากันอย่างไรเอาง่ายๆว่าถ้านายกอบต.ผู้ใหญ่,กำนันบ้านเราทุจจริตเราจะกล้ารวมตัวกันขับไล่ถอดถอนซึ่งเป็นอำนาจตามรัฐธรรมนูญของเราหรือไม่ ถ้ากล่าก็นับได้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้เป็นการสู้ด้วยเจตนารมณ์อุดมการณ์ต้านโกงจริงๆ อนาคตประเทศของเราก็จะมีหวังครับ แต่ถ้าไม่กล้าหรือยังคงมองไม่เห็นนั่นก็คือเราสู้เพื่ออคติรัก-หลง-เกลียดและกลัวตามใจของเราเองเท่านั้น ประเทศไทยที่รักของเราก็จะมีแต่คน"แพ้"ครับ
     - ผมก้าวข้ามทักษิณมาได้ตั้งนานแล้วเพราะผมเองก็ไม่ได้เชื่อว่าเขาจะบริสุทธิ์ผุดผ่องไปทั้งหมด(เช่นเดียวกันกับที่ผมไม่เชื่อสุเทพที่ประกาศว่าเขาไม่เคยทุจจริตคอร์รัปชั่นเลยตั้งแต่เล่นการเมืองมา) เพียงแต่ผมก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปเกลียดเขาเหมาเข่งทั้งๆที่นโยบายที่ดีของเขาก็มีมากมายแม้ว่าวันนี้เขาจะอยู่ในประเทศไทยไม่ได้ก็ใช่ว่าจะมีแต่เขาคนเดียว หากแต่คนที่ดีกว่าเขามีบุญคุณต่อประเทศชาติกว่าเขาเช่น อ.ปรีดี อ.ป๋วย ก็ยังอยู่ประเทศนี้ไม่ได้เช่นกันแค่คิดแค่นี้ผมก็ก้าวข้ามทักกี้ไปได้นานนมแล้ว ส่วนคนที่ยังก้าวไม่ข้ามเฝ้าคิดถึงจนนำมาซึ่งความแตกแยกทางความคิดของคนทั้งประเทศนี้คือใครก็คิดเอานะครับ
     - ผู้คนในสังคมเราได้ถูกอัตตา คือความเป็นตัวกูของกู,ภาคกู,พรรคกู,พวกกู ได้ครอบงำจิตจนแทบหมดสิ้นแล้วดังนั้นคำว่าทิฏฐิซึ่งแปลว่าความเห็นจึงอาจจะไม่ใช่สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบเสมอไป เพราะถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้วนั่นก็คือการเห็นผิดแล้วทีนี้ อวิชชา-เวทนา-ตัณหา-อุปาทาน-ภพ-ชาติแล้วก็เป็นทุกข์ตามมากันอย่างที่เป็นอยู่ น้องที่ทำงานคนนึงสามีไม่ไปรับลูกระดับอนุบาลตอนเลิกเรียนเพราะต้องไปปิดศาลากลาง,ลูกของพี่ระดับมัธยมต้องนั่งมอเตอร์ไซค์ตากฝนกลับบ้านเองตอนค่ำเพราะแม่ต้องไปช่วยชาติที่ศาลากลางลูกต้องช่วยเหลือตนเองไปก่อนเพราะเรื่อง"ชาติ"สำคัญกว่านี่คือความร้ายกาจของความยึดมั่นในทิฏฐิแห่งตนจนผลักดันให้ต้องกระทำในเรื่องราวที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้มาก่อนในชีวิตนี้
    - คนเรารักสิ่งใดก็เป็นทุกข์กับสิ่งนั้นเกลียดสิ่งใดก็เป็นทุกข์กับสิ่งนั้น นั่นคือความยึดความอยากทั้งหลายเป็นเหตุแห่งทุกข์ และทุกข์นั้นก็มาจากการเบียดเบียนตนเองโดยไม่รู้ตัวแล้วจึงไปเบียดเบียนผู้อื่นอีกที ต้องขอโทษด้วยสำหรับท่านที่อ่านแล้วอาจไม่เห็นด้วยทำให้ขัดเคืองใจ แต่หากว่ามองให้ดีว่าจะมีส่วนถูกหรือไม่เพียงใดเราก็สามารถหาประโยชน์ได้ในเรื่องทั้งนั้น จึงขอฝากไว้ว่า เราจะคลุกคลีกับอะไรต่างๆเป็นต้นว่าเรื่องการเมือง เราจะต้องรู้ประโยชน์ของมัน,เราจะต้องรู้โทษของมัน และที่สำคัญเราจะต้องรู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับมันอย่างไรไม่ให้เป็นทุกข์จึงจะดีที่สุด เพราะเท่ากับว่าเราไม่ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของบวก-ลบ,ดี-ชั่ว,คนดี-คนเลวฯลฯ และเืมื่อนั้นเจ้าศัตรูตัวร้ายที่แท้จริงก็คือกิเลสโลภ,โกรธ,หลงในใจของเราก็จะถูกรู้ทันและจนไม่สามารถสร้างความทุกข์นั้นๆให้ใจเราได้อีก รวมถึงเราจะมีชีวิตที่สงบ-เย็นและเป็นประโยชน์ควรค่าแก่การเป็นมนุษย์ซึ่งแปลว่าผู้มีจิตใจสูงอันได้มาจากการฝึกตนนั่นเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่