
การต่อสู้ของขบวนการประชาชนที่ขับเคลื่อนในการขับไล่รัฐบาลชินวัตร โดยมี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำกับรัฐบาลนั้น ต้องต่อสู้กับการระดมยิงแก๊สน้ำตา กระสุนยาง และกระสุนจริง จนได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
การปฏิบัติการของขบวนการประชาชนจะใช้การจรยุทธ์ในการปิดล้อมสถานที่ราชการทุกกระทรวง ซึ่งถือเป็นกลไกอำนาจรัฐบาลจนเป็นอัมพาต แต่หน่วยงานที่สำคัญที่ขบวนการประชาชนต้องเผชิญด้วยชีวิต นั่นคือ หน่วยตำรวจที่ถูกส่งมาเพื่อปราบปรามขบวนการประชาชนโดยเฉพาะ โดยตำรวจที่เป็นแกนสำคัญให้กับรัฐบาลชินวัตร คือ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ในฐานะผู้บัญชาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่ประจำการอยู่ สตช. และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.) ที่ประจำการอยู่อยู่ที่ บชน. อันเป็นที่มั่นสำคัญของรัฐบาลชินวัตร หากสองที่มั่นถูกยึดและกดดันให้ยอมจำนน ย่อมจะทำให้รัฐบาลชินวัตรสิ้นสภาพโดยสิ้นเชิงในสถานะที่มีกองกำลังติดอาวุธที่จะปราบปรามขบวนการประชาชนรวมถึงที่มั่นที่ทำเนียบรัฐบาลที่รัฐบาลชินวัตรใช้เป็นฐานสั่งการข้าราชการ
ปฏิบัติการณ์วันที่ 3 ธันวาคม 2556 ถือเป็นปฏิบัติการณ์แบบเบ็ดเสร็จและให้เด็ดขาดที่จะทำการปิดล้อมและยึด บชน. และทำเนียบรัฐบาล หากปฏิบัติการณ์สำเร็จ การปฏิบัติการณ์ด้านอื่นๆ ก็จะง่ายขึ้น เพราะได้ตัดหัวและตัดแขนจนสิ้นศักยภาพของรัฐบาลชินวัตร
แต่จู่ๆ รัฐบาลชินวัตรก็มีการเปลี่ยนกลอุบายด้วยการเปิด บชน. และทำเนียบรัฐบาล ให้ขบวนการประชาชนเข้าไปควบคุมอย่างง่ายดาย แต่ปัญหาคือ การเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลนั้นไม่มีตำรวจ แต่กลับมีทหาร นับเป็นอุบายที่รัฐบาลชินวัตรหวังให้ขบวนการประชาชนปะทะกับทหาร นี่คืออุบาย “ยืมดาบฆ่าคน” แต่เมื่อขบวนการประชาชนเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาลได้แล้ว จึงไหวทันว่า นี่เป็นอุบายของรัฐบาลชินวัตรที่หลอกให้เกิดการปะทะกับพวกเดียวกัน จึงเป็นเหตุให้ขบวนการประชาชนถอนกำลังออกจากทำเนียบรัฐบาลในเวลาต่อมา เพราะขบวนการประชาชนถือว่าทหารเป็นพวกเดียวกัน
ในขณะที่ปฏิบัติการณ์ปิดล้อมและเข้ายึดกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.) รัฐบาลชินวัตรย่อมทราบดีอยู่แล้วว่า ไม่สามารถต่อต้านพลังของขบวนการประชาชนได้อีกต่อไป ในขณะที่ตำรวจที่ส่องสุมกำลังอยู่ใน บชน. เข้าสู่ความอับจนลงทุกขณะ หากไม่ยอมแพ้ ย่อมจะเกิดความสูญเสียเกิดขึ้นแน่นอน และอาจจะลุกลามไปถึงขั้นสงครามกลางเมือง นั่นย่อมจะเป็นการสุ่มเสี่ยงกับรัฐบาลชินวัตรของกลุ่มทุนผูกขาดกลุ่มนี้ที่จะต้องแลกกับทรัพย์สมบัติอันมหาศาลที่มีอยู่ในประเทศไทยของพวกเขา อาจจะไม่เหลืออะไรให้เชยชมอีกเลย
รัฐบาลชินวัตรพยายามวางอุบายมาตลอดเวลาว่า การถูกต่อต้านครั้งนี้ต้องยื้อเวลาให้นานที่สุด และต้องให้ผ่านพ้นหลังวันที่ 2 ธันวาคม 2556 เพื่อเปิดทางให้กับกลุ่มบ้านเลขที่ 109 เข้ามากุมกลไกอำนาจรัฐต่อเนื่องจาก นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้จงได้ พร้อมผสมกับกลุ่มบ้านเลขที่ 111 โดยอุบายว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยอมลาออกจากนายกรัฐมนตรี แล้วให้สภาผู้แทนราษฎรที่มีพรรคเพื่อไทยเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่และรัฐมนตรีชุดใหม่จากกลุ่มบ้านเลขที่ 109 และบ้านเลขที่ 111 เมื่อเปลี่ยนหัวรัฐบาลชินวัตรสำเร็จโดยให้นางสาวยิ่งลักษณ์ลงจากเวทีทางการเมืองก็จะให้ตระกูลชินวัตรคนใหม่เข้ามาเป็นแทน จากนั้นอาจเข้าสู่การยุบสภา แล้วคณะรัฐมนตรีชุดบ้านเลขที่ 109 และบ้านเลขที่ 111 ยังคงรักษาการนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีควบคุมอำนาจต่อไป
ไม่เพียงเท่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มพวก ยังวางอุบายเตรียมการเลือกตั้งใหม่ ภายใต้การกำกับโดยรัฐบาลชินวัตรชุดบ้านเลขที่ 109 และบ้านเลขที่ 111 โดยตรง เพราะเชื่อว่า หากกลไกการเลือกตั้งที่เป็นอยู่เดิมนี้ เป็นสิ่งง่ายดายที่พวกเขาจะทุ่มทุนอย่างมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพื่อกวาดที่นั่งเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งให้จงได้ แล้วยึดทุกอย่างอย่างเบ็ดเสร็จในประเทศไทยแห่งนี้ นี่คือเป้าหมายที่พวกเขาวาดฝันอยู่ในขณะนี้
ขณะนี้รัฐบาลชินวัตรจึงอยู่ในลักษณะการวางอุบายทำสงครามจิตวิทยา ทำสงครามสลายกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลชินวัตร หากขบวนการประชาชนที่ออกมาต่อต้านไม่มีปณิธานแน่วแน่ ย่อมยอมอ่อนข้อตามอุบายที่ถูกวางไว้ก็เป็นได้
ซุนวู เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าศัตรูยื่นข้อเสนอใจกว้างให้พิจารณา…แสดงว่าเขากำลัง “ซื้อเวลา” ถ้าจู่ๆ ศัตรูเสนอให้สงบศึก…โดย “ไม่มีเหตุผลชัดเจน” แสดงว่าเขากำลัง “ออกอุบาย”
การเปิดด่านที่ บชน. ที่ทำเนียบรัฐบาล และล่าสุดที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ย่อมชี้ชัดในอุบายที่ ซุนวู เคยกล่าวไว้
ทั้งหลายทั้งปวง การวางอุบายของรัฐบาลชินวัตรจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลอกขบวนการประชาชนได้ เพราะต่างฝ่ายต่างรู้เท่าทันซึ่งกันและกันในอุบาย
เพราะฝ่ายขบวนการประชาชนมีเจตนารมณ์ของเขาที่เขารู้ว่ายังไม่บรรลุผล รู้ว่าชัยชนะเบ็ดเสร็จยังไม่เกิด และเชื่อได้ว่าเขายังมั่นคงในเป้าหมาย ว่านี่คือสงครามครั้งสุดท้ายของขบวนการประชาชน ที่พวกเขาไม่ลังเลกับปณิธานที่ตั้งมั่นไว้ เพราะการต่อสู้ของพวกเขาได้สูญเสียมามากพอแล้ว หากพวกเขาจะเหนื่อยกันอีกสักนิดจักเป็นไรไปเล่า ด้วยการต่อสู้ให้ถึงที่สุด นั่นคือที่สิ่งพวกเขาตั้งมั่นว่า จะกวาดล้าง “ระบอบทักษิณ” ให้สิ้นจากแผ่นดินไทย
เพราะพวกเขาย่อมไม่ลืมว่า นี่คือสงครามครั้งสุดท้าย ..!
4 ธันวาคม 2556
http://peopleunitynews.com/web02/2013/%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B2-8/
คอลัมน์ // สยามสิน วลิตวรางค์กูร : รัฐบาลชินวัตร หวังพลิกอุบาย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ลาออก ส่งบ้านเลขที่ 109 – 111 คุมอำ
การต่อสู้ของขบวนการประชาชนที่ขับเคลื่อนในการขับไล่รัฐบาลชินวัตร โดยมี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำกับรัฐบาลนั้น ต้องต่อสู้กับการระดมยิงแก๊สน้ำตา กระสุนยาง และกระสุนจริง จนได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
การปฏิบัติการของขบวนการประชาชนจะใช้การจรยุทธ์ในการปิดล้อมสถานที่ราชการทุกกระทรวง ซึ่งถือเป็นกลไกอำนาจรัฐบาลจนเป็นอัมพาต แต่หน่วยงานที่สำคัญที่ขบวนการประชาชนต้องเผชิญด้วยชีวิต นั่นคือ หน่วยตำรวจที่ถูกส่งมาเพื่อปราบปรามขบวนการประชาชนโดยเฉพาะ โดยตำรวจที่เป็นแกนสำคัญให้กับรัฐบาลชินวัตร คือ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ในฐานะผู้บัญชาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่ประจำการอยู่ สตช. และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.) ที่ประจำการอยู่อยู่ที่ บชน. อันเป็นที่มั่นสำคัญของรัฐบาลชินวัตร หากสองที่มั่นถูกยึดและกดดันให้ยอมจำนน ย่อมจะทำให้รัฐบาลชินวัตรสิ้นสภาพโดยสิ้นเชิงในสถานะที่มีกองกำลังติดอาวุธที่จะปราบปรามขบวนการประชาชนรวมถึงที่มั่นที่ทำเนียบรัฐบาลที่รัฐบาลชินวัตรใช้เป็นฐานสั่งการข้าราชการ
ปฏิบัติการณ์วันที่ 3 ธันวาคม 2556 ถือเป็นปฏิบัติการณ์แบบเบ็ดเสร็จและให้เด็ดขาดที่จะทำการปิดล้อมและยึด บชน. และทำเนียบรัฐบาล หากปฏิบัติการณ์สำเร็จ การปฏิบัติการณ์ด้านอื่นๆ ก็จะง่ายขึ้น เพราะได้ตัดหัวและตัดแขนจนสิ้นศักยภาพของรัฐบาลชินวัตร
แต่จู่ๆ รัฐบาลชินวัตรก็มีการเปลี่ยนกลอุบายด้วยการเปิด บชน. และทำเนียบรัฐบาล ให้ขบวนการประชาชนเข้าไปควบคุมอย่างง่ายดาย แต่ปัญหาคือ การเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลนั้นไม่มีตำรวจ แต่กลับมีทหาร นับเป็นอุบายที่รัฐบาลชินวัตรหวังให้ขบวนการประชาชนปะทะกับทหาร นี่คืออุบาย “ยืมดาบฆ่าคน” แต่เมื่อขบวนการประชาชนเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาลได้แล้ว จึงไหวทันว่า นี่เป็นอุบายของรัฐบาลชินวัตรที่หลอกให้เกิดการปะทะกับพวกเดียวกัน จึงเป็นเหตุให้ขบวนการประชาชนถอนกำลังออกจากทำเนียบรัฐบาลในเวลาต่อมา เพราะขบวนการประชาชนถือว่าทหารเป็นพวกเดียวกัน
ในขณะที่ปฏิบัติการณ์ปิดล้อมและเข้ายึดกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.) รัฐบาลชินวัตรย่อมทราบดีอยู่แล้วว่า ไม่สามารถต่อต้านพลังของขบวนการประชาชนได้อีกต่อไป ในขณะที่ตำรวจที่ส่องสุมกำลังอยู่ใน บชน. เข้าสู่ความอับจนลงทุกขณะ หากไม่ยอมแพ้ ย่อมจะเกิดความสูญเสียเกิดขึ้นแน่นอน และอาจจะลุกลามไปถึงขั้นสงครามกลางเมือง นั่นย่อมจะเป็นการสุ่มเสี่ยงกับรัฐบาลชินวัตรของกลุ่มทุนผูกขาดกลุ่มนี้ที่จะต้องแลกกับทรัพย์สมบัติอันมหาศาลที่มีอยู่ในประเทศไทยของพวกเขา อาจจะไม่เหลืออะไรให้เชยชมอีกเลย
รัฐบาลชินวัตรพยายามวางอุบายมาตลอดเวลาว่า การถูกต่อต้านครั้งนี้ต้องยื้อเวลาให้นานที่สุด และต้องให้ผ่านพ้นหลังวันที่ 2 ธันวาคม 2556 เพื่อเปิดทางให้กับกลุ่มบ้านเลขที่ 109 เข้ามากุมกลไกอำนาจรัฐต่อเนื่องจาก นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้จงได้ พร้อมผสมกับกลุ่มบ้านเลขที่ 111 โดยอุบายว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยอมลาออกจากนายกรัฐมนตรี แล้วให้สภาผู้แทนราษฎรที่มีพรรคเพื่อไทยเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่และรัฐมนตรีชุดใหม่จากกลุ่มบ้านเลขที่ 109 และบ้านเลขที่ 111 เมื่อเปลี่ยนหัวรัฐบาลชินวัตรสำเร็จโดยให้นางสาวยิ่งลักษณ์ลงจากเวทีทางการเมืองก็จะให้ตระกูลชินวัตรคนใหม่เข้ามาเป็นแทน จากนั้นอาจเข้าสู่การยุบสภา แล้วคณะรัฐมนตรีชุดบ้านเลขที่ 109 และบ้านเลขที่ 111 ยังคงรักษาการนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีควบคุมอำนาจต่อไป
ไม่เพียงเท่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มพวก ยังวางอุบายเตรียมการเลือกตั้งใหม่ ภายใต้การกำกับโดยรัฐบาลชินวัตรชุดบ้านเลขที่ 109 และบ้านเลขที่ 111 โดยตรง เพราะเชื่อว่า หากกลไกการเลือกตั้งที่เป็นอยู่เดิมนี้ เป็นสิ่งง่ายดายที่พวกเขาจะทุ่มทุนอย่างมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพื่อกวาดที่นั่งเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งให้จงได้ แล้วยึดทุกอย่างอย่างเบ็ดเสร็จในประเทศไทยแห่งนี้ นี่คือเป้าหมายที่พวกเขาวาดฝันอยู่ในขณะนี้
ขณะนี้รัฐบาลชินวัตรจึงอยู่ในลักษณะการวางอุบายทำสงครามจิตวิทยา ทำสงครามสลายกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลชินวัตร หากขบวนการประชาชนที่ออกมาต่อต้านไม่มีปณิธานแน่วแน่ ย่อมยอมอ่อนข้อตามอุบายที่ถูกวางไว้ก็เป็นได้
ซุนวู เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าศัตรูยื่นข้อเสนอใจกว้างให้พิจารณา…แสดงว่าเขากำลัง “ซื้อเวลา” ถ้าจู่ๆ ศัตรูเสนอให้สงบศึก…โดย “ไม่มีเหตุผลชัดเจน” แสดงว่าเขากำลัง “ออกอุบาย”
การเปิดด่านที่ บชน. ที่ทำเนียบรัฐบาล และล่าสุดที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ย่อมชี้ชัดในอุบายที่ ซุนวู เคยกล่าวไว้
ทั้งหลายทั้งปวง การวางอุบายของรัฐบาลชินวัตรจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลอกขบวนการประชาชนได้ เพราะต่างฝ่ายต่างรู้เท่าทันซึ่งกันและกันในอุบาย
เพราะฝ่ายขบวนการประชาชนมีเจตนารมณ์ของเขาที่เขารู้ว่ายังไม่บรรลุผล รู้ว่าชัยชนะเบ็ดเสร็จยังไม่เกิด และเชื่อได้ว่าเขายังมั่นคงในเป้าหมาย ว่านี่คือสงครามครั้งสุดท้ายของขบวนการประชาชน ที่พวกเขาไม่ลังเลกับปณิธานที่ตั้งมั่นไว้ เพราะการต่อสู้ของพวกเขาได้สูญเสียมามากพอแล้ว หากพวกเขาจะเหนื่อยกันอีกสักนิดจักเป็นไรไปเล่า ด้วยการต่อสู้ให้ถึงที่สุด นั่นคือที่สิ่งพวกเขาตั้งมั่นว่า จะกวาดล้าง “ระบอบทักษิณ” ให้สิ้นจากแผ่นดินไทย
เพราะพวกเขาย่อมไม่ลืมว่า นี่คือสงครามครั้งสุดท้าย ..!
4 ธันวาคม 2556
http://peopleunitynews.com/web02/2013/%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B2-8/