การชุมนุมเริ่มต้นจากการคัดค้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ( เหมาเข่ง , สุดซอย ) ซึ่งมีประชาชนจำนวนมาก ทั้งฝ่ายตรงข้าม และฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล รวมตัวกันออกมาต่อต้าน พรบ. ดังกล่าว ซึ่งการชุมนุมครั้งนั้น ยังไม่มีสัญญาณขับไล่รัฐบาล ( อย่างน้อยแกนนำก็ยังไม่บอกเป้าหมายนี้ ในขณะนั้น ) และผู้ชุมนุมได้รับชัยชนะแล้ว เพรวะรัฐบาลยอมที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเสนอ พรบ ดังกล่าวอีกต่อไป ( แม้ผู้ชุมนุมบางกลุ่มอาจไม่เชื่อใจ แต่ถือว่ารัฐบาลแสดงออกแล้วว่ายอมตามข้อเรียกร้อง)
แต่ปรากฏว่า ยังมีการชุมนุมต่อเนื่อง ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ เช่น เขาพระวิหาร การแก้ รธน เรื่องที่มาของ สว. และการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายก ซึ่งเป็นประเด็นที่แกนนำใช้เลี้ยงผู้ชุมนุมไว้ จนมาถึงขั้นชุมนุมขับไล่รัฐบาล ขับไล่ตระกูลชินวัตร และจัดตั้งสภาประชาชน ซึ่งผู้ชุมนุมก็ยังเดินตามแกนนำต่อมาตามประเด็นที่แกนนำตั้งไว้
ผมขออนุญาตวิเคราะห์ และขอให้เพื่อนๆ ช่วยแลกเปลี่ยนความเห็นนะครับ
ในที่นี้จะขอวิเคราะห์ในบริบทของผู้ชุมนุมที่เป็นชนชั้นกลางในเมือง ซึ่งมีชีวิตส่วนนึงอยู่บนโลก social network เหมือนเป็นสังคมที่ 2 (บางคนอาจเป็นสังคมหลัก)
ยังไม่ขอกล่าวถึงผู้ชุมนุมจัดตั้งที่แกนนำแต่ละคนพามา (ต้องยอมรับว่ามีจริงและมีทุกฝ่าย) เพราะผมมีข้อสังเกตุว่า เหตุใด คนชั้นกลางที่มีระดับการศึกษาเฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ย้ำว่าระดับการศึกษานะครับ ไม่ใช่สติปัญญา( เพราะสติปัญญาวัดกันที่วุฒิการศึกษาไม่ได้ ยังมีปัจจัยเรื่องโอกาสในการศึกษาอีก ) ทำไมคนเหล่านั้นจึงมีแนวคิดเรื่องคนดี อย่างเช่นในปัจจุบันได้
1.เหตุใดผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมจึงคิดว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำเป็นความดีอย่างยิ่งต่อประเทศ และคิดว่าตนเองกำลังเป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศในการโค่นล้มรัฐบาล ( ภายใต้วาทกรรมระบอบทักษิณ )
- มองแบบตรงๆ ในมุมของผมเลยนะครับ ผมคิดว่าชนชั้นกลางกลุ่มนี้ มีสังคมและแวดวงการใช้ชีวิตที่เน้นการเข้าสังคมเป็นหลัก และมีแวดวงที่เชื่อมต่อกันเป็นวงกว้างและสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะออนไลน์ หรือสังคมจริงๆ และค่อนข้างจะแคร์ภาพพจน์ตัวเองที่มีต่อสังคม(กลุ่ม) อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะตามกระแสหรืออ่อนไหวต่อกระแสได้ง่าย เพราะสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สื่อต่างๆ ป้อนให้ได้มากกว่าคนกลุ่มอื่น และยังสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกที่มีต่อสื่อ หรือข่าวสารต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
และแน่นอนว่าสิ่งที่คนไทยอย่างพวกเราจะแสดงออกถึงความดีได้ เป็นสิ่งแรกๆ ที่เราคิดออกคือ ปกป้องสถาบันหลัก ได้แก่ ชาติ ศาสนา และที่สำคัญพระมหากษัตริย์ (ประเด็นนี้ขอจบไว้ตรงนี้) และคนดีต่อมาคือคนที่ปราบปรามคนชั่ว และสุดท้ายคนดีต้องช่วยเหลือสังคม นี่คือภาพของคนดีในกระแสสังคมภาพรวม(ที่มักจะนำมาแสดงออกหรือโชว์กัน) แต่สำหรับกลุ่มคนที่แคร์ภาพลักษณ์หรือแคร์กระแสสังคมแล้ว การเป็นคนดีจะยิ่งมีค่ามากขึ้นไปอีก เพราะจะสามารถแสดงออกให้ผู้อิ่นรับรู้ได้ว่าตนเป็นคนดีเพราะทำอะไรมาบ้าง (ไม่ว่าจะแสดงทางตรงหรือทางอ้อม)
คนดีแบบแรก มีไว้เพื่อเป็นเกราะที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ แต่จริงๆแล้วผมว่า point มันอยู่ตรงคนดี 2 อย่างหลัง คือ ใครคือคนชั่ว และ คนชั่วอยู่ส่วนไหน (คนดีจะได้เข้าไปช่วย)
ถ้าพูดถึงคนชั่วในด้านการเมืองสิ่งที่เราถูกป้อนข้อมูลมาทั้งทางตรง และเชิงเปรียบเทียบ ก็คือนักการเมืองนั่นเอง รองลงมาก็คนที่ขายเสียง รองลงมาอีกก็คือข้าราชการที่สมคบกับนักการเมืองเพื่อทุจริต (โดยเฉพาะตำรวจเป็นเป้าหมายหลัก)
ดังนั้นแล้ว การเป็นคนดีก็คือการกำจัดนักการเมืองชั่ว แอนตี้คนขายเสียง และด่าตำรวจ ซึ่งเราจะเห็นปรากฏการเหล่านี้อยู่เรื่อยๆ ในกลุ่มคนชั้นกลางที่สนใจการเมืองและสังคม
แต่เมื่อมีผู้สร้างวาทกรรม "ระบอบทักษิณ" ขึ้นมา มันได้สร้างภาพของ นักการเมือง(ชั่ว) หลายๆคน มารวมตัวกันภายใต้การนำของทักษิณ (ผมขอวิเคราะห์เรื่องวาทกรรมอย่างเดียวก่อนนะครับ ส่วนเรื่องโกงจริงมั๊ย อะไรยังไงเชื่อว่าหลายท่านคงคุยกันตกผลึกแล้ว) ทีนี้เมื่อนักการเมือง ที่ชนชั้นกลางได้รับข้อมูลอย่างมากมาย (กว่าคนกลุ่มอื่น) ว่าชั่ว ทุจจริต โกงกิน มารวมตัวกันภายใต้ผู้มีอำนาจคนหนึ่งซึ่งมีข่าวเกี่ยวกับการทุจจริตออกมาเนืองๆ วาทกรรมระบอบทักษิณ = ระบอบชั่ว จึงเข้าปากคนดีได้อย่างเต็มคำ โดยที่คนดีเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องติดตามข่าวสารอื่นๆ หรือข้อเท็จจริงด้านอื่นอีกเลย และพร้อมจะเผยแพร่แนวคิดนี้ออกไปสู่ชนชั้นกลางเช่นเดียวกับตนด้วยความมั่นใจว่าถูก (เหมารวมทุกเรื่องที่มีทักษิณเกี่ยวข้องว่าชั่ว) และไม่คิดที่จะศึกษาที่มาของข่าว หรืออีกด้านของข่าวอย่างเพียงพอก่อนจะเชื่อ (บางครั้งก็เชื่อถูก บางครั้งก็เชื่อข่าวลือ)
ต่อมา เมื่อ วาทกรรมระบอบทักษิณ = ชั่ว ติดปากแล้ว ผู้ที่สนับสนุนหรือเลือกนักการเมืองกลุ่มนี้เข้ามา ย่อมหนีไม่พ้นวาทกรรม "ขายเสียง" "จูงจมูก" "ควาย" "ขี้ข้า" และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะพวกเขาได้เหมารวมไปแล้วว่า ระบอบนี้ชั่ว กลไกต่างๆ ที่ก่อให้เกิดระบอบนี้ย่อมชั่วทั้งหมด ดังนั้น ถ้าต่อกำจัดระบอบนี้ + แอนตี้คนที่สนับสนุนระบอบนี้ = คนดี ในมุมมองของพวกเขา และค่านิยมในมุมมองแบบนี้ก็ได้แพร่ไปอย่างรวดเร็วในแวดวงของพวกเขาเอง เนื่องจากใน social network ข้อมูลจะถูกส่งต่อกลับไปกลับมาแบบไมืจำกัด คน 1 คนอาจได้รับค่านิยมนี้จากคนอื่นวันละหลายๆ รอบ จนเกิดอุปทานว่าทุกคนที่ฉันรู้จักมีแนวคิดแบบนี้ และถ้าฉันแสดงออกแบบนี้จะได้รับการยอมรับและเป็นคนดีด้วย ซึ่งแน่นอนว่าวาทกรรมจะถูกผลิตมาอย่างต่อเนื่อง ทุกๆ การกระทำที่คนที่ถูกมองว่าชั่วได้ทำสิ่งที่ผิดพลาด (เผาบ้านเผาเมือง ควายแดง ขี้ข้าทักษิณ) ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงการกระทำของบุคคลไม่กี่คน แต่เพราะกลุ่มคนดีได้เหมารวมไปแล้วด้วยวาทกรรมหลัก คือ คนเลือกหรือสนับสนุนเพื่อไทย = สนับสนุนระบอบทักษิณ = ควายแดง ทำให้นิยามคนชั่วกว้างมาก
ดังนั้น การออกมาชุมนุมของชนชั้นกลางในครั้งนี้ ในมุมมอขอพวกเขาคือคนดี 100% เพราะ 1.รักสถาบัน (ทั้งรักจริง และโหน) 2.ไล่ระบอบชั่ว 3.ช่วยเหลือสังคม (ที่คนดีคิดว่าถูกหลอกและรู้ไม่เท่าทันระบอบชั่ว ) ซึ่งเป็นมุมมองที่ใช้โลกของตัวเองเป็นศูนย์กลาง ทำให้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงมีแต่พวกตนที่ออกมา และทำไมมีคนอื่นๆ อีกมากที่ไม่คิดอยากเป็นคนดี(ตามคำนิยามของพวกเขา) จนถึงขั้น เหมารวมให้คนี่เห็นต่างเป็นคนชั่วไปหมด แม้ว่าคนที่เห็นต่างอาจจะมีมุมมองบางส่วนที่คิดเหมือนพวกเขาก็ตาม
**น่าแปลกใจที่วาทกรรมสำเร็จรูปสามารถทำให้คนที่ระดับการศึกษาสูง ละเลยถึงการหาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย หรือข้อมูลอื่นๆ ที่จะมาตรวจสอบข่าวสาร ที่ถูกครอบด้วยวาทกรรมนั้น ..... ****
ขอทราบความเห็น และวิเคราห์วาทกรรม "คนดี" และการผูกขาดความเป็นคนดี ของชนชั้นกลาง (เฉพาะที่เกี่ยวกับการเมือง )
แต่ปรากฏว่า ยังมีการชุมนุมต่อเนื่อง ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ เช่น เขาพระวิหาร การแก้ รธน เรื่องที่มาของ สว. และการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายก ซึ่งเป็นประเด็นที่แกนนำใช้เลี้ยงผู้ชุมนุมไว้ จนมาถึงขั้นชุมนุมขับไล่รัฐบาล ขับไล่ตระกูลชินวัตร และจัดตั้งสภาประชาชน ซึ่งผู้ชุมนุมก็ยังเดินตามแกนนำต่อมาตามประเด็นที่แกนนำตั้งไว้
ผมขออนุญาตวิเคราะห์ และขอให้เพื่อนๆ ช่วยแลกเปลี่ยนความเห็นนะครับ
ในที่นี้จะขอวิเคราะห์ในบริบทของผู้ชุมนุมที่เป็นชนชั้นกลางในเมือง ซึ่งมีชีวิตส่วนนึงอยู่บนโลก social network เหมือนเป็นสังคมที่ 2 (บางคนอาจเป็นสังคมหลัก)
ยังไม่ขอกล่าวถึงผู้ชุมนุมจัดตั้งที่แกนนำแต่ละคนพามา (ต้องยอมรับว่ามีจริงและมีทุกฝ่าย) เพราะผมมีข้อสังเกตุว่า เหตุใด คนชั้นกลางที่มีระดับการศึกษาเฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ย้ำว่าระดับการศึกษานะครับ ไม่ใช่สติปัญญา( เพราะสติปัญญาวัดกันที่วุฒิการศึกษาไม่ได้ ยังมีปัจจัยเรื่องโอกาสในการศึกษาอีก ) ทำไมคนเหล่านั้นจึงมีแนวคิดเรื่องคนดี อย่างเช่นในปัจจุบันได้
1.เหตุใดผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมจึงคิดว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำเป็นความดีอย่างยิ่งต่อประเทศ และคิดว่าตนเองกำลังเป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศในการโค่นล้มรัฐบาล ( ภายใต้วาทกรรมระบอบทักษิณ )
- มองแบบตรงๆ ในมุมของผมเลยนะครับ ผมคิดว่าชนชั้นกลางกลุ่มนี้ มีสังคมและแวดวงการใช้ชีวิตที่เน้นการเข้าสังคมเป็นหลัก และมีแวดวงที่เชื่อมต่อกันเป็นวงกว้างและสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะออนไลน์ หรือสังคมจริงๆ และค่อนข้างจะแคร์ภาพพจน์ตัวเองที่มีต่อสังคม(กลุ่ม) อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะตามกระแสหรืออ่อนไหวต่อกระแสได้ง่าย เพราะสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สื่อต่างๆ ป้อนให้ได้มากกว่าคนกลุ่มอื่น และยังสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกที่มีต่อสื่อ หรือข่าวสารต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
และแน่นอนว่าสิ่งที่คนไทยอย่างพวกเราจะแสดงออกถึงความดีได้ เป็นสิ่งแรกๆ ที่เราคิดออกคือ ปกป้องสถาบันหลัก ได้แก่ ชาติ ศาสนา และที่สำคัญพระมหากษัตริย์ (ประเด็นนี้ขอจบไว้ตรงนี้) และคนดีต่อมาคือคนที่ปราบปรามคนชั่ว และสุดท้ายคนดีต้องช่วยเหลือสังคม นี่คือภาพของคนดีในกระแสสังคมภาพรวม(ที่มักจะนำมาแสดงออกหรือโชว์กัน) แต่สำหรับกลุ่มคนที่แคร์ภาพลักษณ์หรือแคร์กระแสสังคมแล้ว การเป็นคนดีจะยิ่งมีค่ามากขึ้นไปอีก เพราะจะสามารถแสดงออกให้ผู้อิ่นรับรู้ได้ว่าตนเป็นคนดีเพราะทำอะไรมาบ้าง (ไม่ว่าจะแสดงทางตรงหรือทางอ้อม)
คนดีแบบแรก มีไว้เพื่อเป็นเกราะที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ แต่จริงๆแล้วผมว่า point มันอยู่ตรงคนดี 2 อย่างหลัง คือ ใครคือคนชั่ว และ คนชั่วอยู่ส่วนไหน (คนดีจะได้เข้าไปช่วย)
ถ้าพูดถึงคนชั่วในด้านการเมืองสิ่งที่เราถูกป้อนข้อมูลมาทั้งทางตรง และเชิงเปรียบเทียบ ก็คือนักการเมืองนั่นเอง รองลงมาก็คนที่ขายเสียง รองลงมาอีกก็คือข้าราชการที่สมคบกับนักการเมืองเพื่อทุจริต (โดยเฉพาะตำรวจเป็นเป้าหมายหลัก)
ดังนั้นแล้ว การเป็นคนดีก็คือการกำจัดนักการเมืองชั่ว แอนตี้คนขายเสียง และด่าตำรวจ ซึ่งเราจะเห็นปรากฏการเหล่านี้อยู่เรื่อยๆ ในกลุ่มคนชั้นกลางที่สนใจการเมืองและสังคม
แต่เมื่อมีผู้สร้างวาทกรรม "ระบอบทักษิณ" ขึ้นมา มันได้สร้างภาพของ นักการเมือง(ชั่ว) หลายๆคน มารวมตัวกันภายใต้การนำของทักษิณ (ผมขอวิเคราะห์เรื่องวาทกรรมอย่างเดียวก่อนนะครับ ส่วนเรื่องโกงจริงมั๊ย อะไรยังไงเชื่อว่าหลายท่านคงคุยกันตกผลึกแล้ว) ทีนี้เมื่อนักการเมือง ที่ชนชั้นกลางได้รับข้อมูลอย่างมากมาย (กว่าคนกลุ่มอื่น) ว่าชั่ว ทุจจริต โกงกิน มารวมตัวกันภายใต้ผู้มีอำนาจคนหนึ่งซึ่งมีข่าวเกี่ยวกับการทุจจริตออกมาเนืองๆ วาทกรรมระบอบทักษิณ = ระบอบชั่ว จึงเข้าปากคนดีได้อย่างเต็มคำ โดยที่คนดีเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องติดตามข่าวสารอื่นๆ หรือข้อเท็จจริงด้านอื่นอีกเลย และพร้อมจะเผยแพร่แนวคิดนี้ออกไปสู่ชนชั้นกลางเช่นเดียวกับตนด้วยความมั่นใจว่าถูก (เหมารวมทุกเรื่องที่มีทักษิณเกี่ยวข้องว่าชั่ว) และไม่คิดที่จะศึกษาที่มาของข่าว หรืออีกด้านของข่าวอย่างเพียงพอก่อนจะเชื่อ (บางครั้งก็เชื่อถูก บางครั้งก็เชื่อข่าวลือ)
ต่อมา เมื่อ วาทกรรมระบอบทักษิณ = ชั่ว ติดปากแล้ว ผู้ที่สนับสนุนหรือเลือกนักการเมืองกลุ่มนี้เข้ามา ย่อมหนีไม่พ้นวาทกรรม "ขายเสียง" "จูงจมูก" "ควาย" "ขี้ข้า" และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะพวกเขาได้เหมารวมไปแล้วว่า ระบอบนี้ชั่ว กลไกต่างๆ ที่ก่อให้เกิดระบอบนี้ย่อมชั่วทั้งหมด ดังนั้น ถ้าต่อกำจัดระบอบนี้ + แอนตี้คนที่สนับสนุนระบอบนี้ = คนดี ในมุมมองของพวกเขา และค่านิยมในมุมมองแบบนี้ก็ได้แพร่ไปอย่างรวดเร็วในแวดวงของพวกเขาเอง เนื่องจากใน social network ข้อมูลจะถูกส่งต่อกลับไปกลับมาแบบไมืจำกัด คน 1 คนอาจได้รับค่านิยมนี้จากคนอื่นวันละหลายๆ รอบ จนเกิดอุปทานว่าทุกคนที่ฉันรู้จักมีแนวคิดแบบนี้ และถ้าฉันแสดงออกแบบนี้จะได้รับการยอมรับและเป็นคนดีด้วย ซึ่งแน่นอนว่าวาทกรรมจะถูกผลิตมาอย่างต่อเนื่อง ทุกๆ การกระทำที่คนที่ถูกมองว่าชั่วได้ทำสิ่งที่ผิดพลาด (เผาบ้านเผาเมือง ควายแดง ขี้ข้าทักษิณ) ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงการกระทำของบุคคลไม่กี่คน แต่เพราะกลุ่มคนดีได้เหมารวมไปแล้วด้วยวาทกรรมหลัก คือ คนเลือกหรือสนับสนุนเพื่อไทย = สนับสนุนระบอบทักษิณ = ควายแดง ทำให้นิยามคนชั่วกว้างมาก
ดังนั้น การออกมาชุมนุมของชนชั้นกลางในครั้งนี้ ในมุมมอขอพวกเขาคือคนดี 100% เพราะ 1.รักสถาบัน (ทั้งรักจริง และโหน) 2.ไล่ระบอบชั่ว 3.ช่วยเหลือสังคม (ที่คนดีคิดว่าถูกหลอกและรู้ไม่เท่าทันระบอบชั่ว ) ซึ่งเป็นมุมมองที่ใช้โลกของตัวเองเป็นศูนย์กลาง ทำให้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงมีแต่พวกตนที่ออกมา และทำไมมีคนอื่นๆ อีกมากที่ไม่คิดอยากเป็นคนดี(ตามคำนิยามของพวกเขา) จนถึงขั้น เหมารวมให้คนี่เห็นต่างเป็นคนชั่วไปหมด แม้ว่าคนที่เห็นต่างอาจจะมีมุมมองบางส่วนที่คิดเหมือนพวกเขาก็ตาม
**น่าแปลกใจที่วาทกรรมสำเร็จรูปสามารถทำให้คนที่ระดับการศึกษาสูง ละเลยถึงการหาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย หรือข้อมูลอื่นๆ ที่จะมาตรวจสอบข่าวสาร ที่ถูกครอบด้วยวาทกรรมนั้น ..... ****