2 ธ.ค 56 วันแห่งน้ำตา


ขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เนท

วันนี้ เป็นวันที่ กปปส หรือ คณะผู้นำของกลุ่มมวลมหาประชาชน ได้ทำการเพิ่มระดับการชุมนุม เพื่อที่จะเข้าไปยัง ผบชน. ซึ่งเป็นที่ของตำรวจ หากแต่ การที่จะเข้าไปนั้น ไม่ง่าย.. เพราะต้องฝ่า Barrier เข้าไปทำให้มวลชนต้องไปติดอยู่ตรงด้านหน้า และทำให้ ตำรวจ สามารถยิงแก๊สน้ำตามาได้โดยง่าย.. ทางฝั่งผู้นำฝั่ง กปปส. ต่างบอกว่า จะเข้าไปยังพื้นที่เพื่อให้กำลังใจ และเรียกร้องให้ตำรวจ ทำงานเพื่อประชาชนเท่านั้น แต่.. ผมกลับไม่ได้มองอย่างนั้น หากพี่น้องสามารถยึดที่นี่ได้แล้ว โดยความเห็นผู้ชุมนุมคงจะใช้ที่นี่เพื่อปักหลักในการชุมนุม เพราะสถานที่ช่างไกล้กับรัฐสภา หากตัดกำลังตำรวจ และทหารไม่เอาด้วยกับรัฐบาล อีกทั้ง ข้าราชการ แข็งขืน ไม่ยอมทำตาม คำสั่งของผู้ที่เป็นผู้นำของรัฐบาลนั้น ก็หมดความหมายอีกต่อไป..
     เรื่องราว เริ่มจาก การมีอคติ ต่างความเชื่อ และไม่ยอมฟังกัน รัฐสภา กลับใช้กฎหมู่ตามระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ได้ฟังเสียงข้างน้อย และไม่ได้ยึดประโยชน์โดยส่วนรวมเป็นหลัก แน่นอน หากผู้ใด ได้มาเป็นรัฐบาลแล้ว ย่อมสามารถที่จะใช้อำนาจเปลี่ยนแปลงกฎหรือระเบียบต่างๆได้ตามแต่สมควร โดย การกระทำนั้น ควรจะคำนึงถึงคนหมู่มาก หรือประชาชนโดยส่วนใหญ่ โดยที่ต้องไม่ผิดต่อคุณธรรม และจริยธรรมพื้นฐานของการเป็นมนุษย์
     รัฐสภา และ สส. ต่างมาจากความเชื่อใจ และความไว้ใจของ ปชช. เพราะประชาชนได้ทำการเลือกท่านเหล่านั้นเข้ามาเพื่อที่จะให้ใช้สิทธิ์แทนตนเอง แต่หาก สส หรือนักการเมืองใด พูดอย่างทำอีกอย่าง ไม่รักษาสัญญา ตระบัดสัตย์เป็นว่าเล่น โกหกเป็นนิจแล้ว ปชช. ก็คงเริ่มที่จะตั้งคำถามต่อ สส หรือ นักการเมืองผู้นั้นว่า ตกลงที่ผ่านมา ท่านพูดจริง หรือหลอกเรากันแน่
     เราได้เห็นมาแล้ว..ว่าเสียงส่วนใหญ่นั้น ไม่ได้ถูกเสมอไป หากเสียงโดยส่วนมากนั้นเขลา แม้มีสติ สามารถไตรตรองได้ และทั้งๆที่รู้ว่าอะไรผิดหรือถูก แต่ไม่อยากที่จะถูกมองว่าแปลกแยก ยิ่งเป็นพรรคเดียวกันแล้ว อาจจะไม่สามารถทำอย่างที่ตนคิดได้เลย เพราะความกลัว กลัวที่จะเสียอำนาจนั้นไป ตามตรรกกะแล้ว อยากให้ลองคิดซักนิดนึงว่า... หากผู้ที่เข้าไปใช้สิทธิ์แทนเรานั้น กลับไม่ได้นึกถึงประเทศ กลับไม่ได้นึกถึงพี่น้องร่วมชาติ และกลายเป็นคนที่ยึดติดในอำนาจหน้าที่ ที่ได้มาจากประชาชน เราสามารถที่จะไว้ใจได้อยู่อีกหรือ..
     การคานอำนาจ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะหากไร้ซึ่งการถ่วงดุลย์ วันใดวันหนึ่ง หากฝ่ายไหนโดนควบคุม ประชาชน คงจะรู้ไม่เท่าทัน และกว่าที่จะหาทางที่จะทำให้ได้มาซึ่งความถูกต้อง หรือชอบธรรม คงจะต้องบาดเจ็บ และล้มตายเป็นเบือ..
     ผู้ใดก็ตาม ที่ลุกขึ้นมา เพื่อต่อกรกับความอยุติธรรม หรือแม้นว่า จะลุกขึ้นมาเพื่อทำตามอุดมการณ์ของตน ผมขอชื่นชมจากใจ แม้นการกระทำดังกล่าว จะเพื่ออะไรก็ตาม และหากเป็นการสู้ เพื่อคงไว้ซึ่งที่อยู่ที่กิน เพื่อลูกหลานของเรา ก็ขอซูฮกยกย่องจากใจจริง ๆ
     ปัญหาในขณะนี้ คือธรรมชาติ และเป็นธรรมดา ที่จะต้องเกิดขึ้น เหมือนสายน้ำที่ไหลมายังเขื่อน หากแม้นมีความอ่อน หรือรอยรั่วขึ้นมา ย่อมทำให้สายน้ำซัดสาดออกมาได้ เป็นเรื่องธรรมดาเช่นกันที่กฎหมายสูงสุด อาจมีความอ่อนแอ แล้วใครล่ะ ที่จะอุดรอยรั่วนั้น..หากเป็น ปชช คนที่ได้ประโยชน์ย่อมเป็น ปชช หากเป็นนักการเมือง ก็ลองคิดดูว่า..ใครจะได้ประโยชน์ อันนี้ก็แล้วแต่ว่า บุคคลผู้นั้น มีเกียรติ และศักดิ์ศรีเท่าใดกัน
     จากนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็ต้องยอมรับมัน และเป็นเรา ปชช อย่างเราๆ ที่จะต้องรับผิดชอบ ต่อการกระทำของเรา เราอยากให้มันเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่ที่เราทุก ๆ คน
     สิ่งที่ผมได้พูดออกไป เป็นแค่ความรู้สึกส่วนตนเท่านั้น ใจจริงแล้วผมก็พอจะทราบว่าการเมืองย่อมต้องเป็นอย่างนี้ แม้นว่าเราไปอ่านในสามก๊ก สิ่งที่เราได้ยินซ้ำๆ ก็คือการหลอกกัน การวางอุบาย การวางแผน ตีสองหน้า หรือแม้นหากต้องทำเรื่องที่สกปรกชั่วช้า ก็ยังทำได้อย่างที่ไม่รู้สึกละอายแต่อย่างใด ..  เมื่อรู้อย่างนี้ ผมก็แทบมองมันว่า เป็นสิ่งไร้ค่าสำหรับผมเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่คิดว่า มันจะทำให้เราดีขึ้นและมันกลับทำให้คนที่เข้าไปยุ่งกลับสกปรก มีแต่การกลั่นแกล้ง เพทุบาย ทุกครั้งที่รัฐบาล หรือ สส ไม่ว่าจะพรรคไหนก็ตามพูดอะไรออกมา ผมไม่แน่ใจซักนิดว่า สิ่งที่เค้าต้องการที่จะสื่อความหมาย หรือสิ่งที่เค้าต้องการจริงๆ คืออะไรกันแน่ อำนาจในการเข้าไปบริหาร หรือเงินหรืออะไร?
     หากมีพิมพ์ผิด หรือผิดพลาดไปเรื่องอันใด ยินดีที่จะรับฟังความเห็นทุกอย่าง.. และจะยอมรับแม้นคำของท่าน จะด่าทอถึงความเขลาของผมเอง ที่ความรู้เท่าหางอึ่ง..แต่มาทำเป็นรู้ดีในเรื่องของการเมืองเช่นนี้

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและแชร์ความรู้สึกกันครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่