Oak Panthongtae Shinawatra (ตัวปลอม)
นักการเมือง...ก็เป็นได้แค่นักการเมือง ....
หลังเหตุการณ์ตะลุมบอนแบบกู่ไม่กลับของม๊อบนกหวีด กำนันสุเทพต้อง “ปาดเหงื่อต่างน้ำ” ที่ยอมลงทุนหูอื้อตาลายเปาแรงปรี๊ดปร๊าด เรียกร้องพลังพิเศษให้ออกมาเพิ่มแรงส่งให้ก็ดูทีท่าว่าจะเงียบเป็นเป่าสากเสียอย่างนั้น และลงทุนเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามกลุ่มเป็น กปปส. เพื่อให้ดูสมกับ Agenda ใหม่แกะกล่องที่เหล่านักรัฐศาสตร์ต่างเก่าหัวแกรกๆ
แม้กระทั่งนักวิชาการที่ออกมาแสดงทีท่าสนับสนุนพ่อกำนันตั้งแต่แรกก็ยัง “สตั๊น ไป 20 วิ” ก่อนจะอ้อมๆแอ้มๆ เออ ออ ห่อหมก แบบต้องแอบแลบลิ้นมาหน่อยหนึ่งแล้วก็หาทางหลบฉากไม่พูดเรื่องนี้ เพราะสภาประชาชนที่ท่านกำนันสุเทพ ยกมาเป็นตัวขายกลายเป็นกางเกงลุงเชย ที่เอาเป้ามาว่าตรงกระเป๋า ขาสั้นข้างยาวข้าง ไม่มีใครกล้าเอาไปใส่นอกจากขึ้นไปแสดงละครเป็นคนบ้าบนเวทีจำอวดหน้าม่านเท่านั้น
1 ธันวาคม 2556 เลยเส้นแขวนคอตายมาแล้วหลายรอบ ก็ได้โอกาสออกแถลงการณ์ฉบับที่หนึ่ง ที่ทุกคนอึ้งกิมกี่.. เพราะไม่มีเรื่องใหม่ นอกจากเอากางเกงลุงเชยตัวเก่ามาแขวนโชว์ แล้วก็โอ่ให้คนใส่ตาม อีกทั้งบรรดาสื่อทั้งหลายก็โดนแหว๋ใส่ จนต้องออกมาแถลงต่อต้านกันวุ่นวายไปหมด แล้วบุญรักษาพาให้กำนันสุเทพมีโอกาสสานฝันให้เป็นจริง เมื่อท่าน ผบ.ทบ.ประยุทธ จันทร์โอชา จัดการประสานให้พ่อกำนันได้เข้าพบนายกยิ่งลักษณ์ ที่ดำรงตำแหน่ง รมต.กลาโหมอีกตำแหน่ง เข้ามาพูดคุยเจรจาหาทางออกให้บ้านเมืองกัน โดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพอีกท่านหนึ่งร่วมวงสนทนาด้วย ซึ่งหลังจากที่พ่อกำนันได้ออกแถลงข่าวเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 1 ธันวาคม 2556 แล้วก็แว๊บหายไปร่วมสองชั่วโมง ซึ่งพ่อกำนันได้ Warp ตัวเองเข้ามาอยู่ ร 1 พัน 1 รอ. ย่านวิภาวดี อันที่เป็นที่ตัวเองได้เคยใช้เป็นที่ตั้งรัฐบาลเทพประทานสำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่ง
ในห้องเจรจานั้นจะว่าไปแล้วเหมือนมีสามฝ่าย แต่ทว่ามันก็ไม่เชิงนักเพราะมีอดีตนายทหารใหญ่อย่างประวิตร วงศ์สุวรรณที่เคยเป็น Master mind ให้กับพ่อกำนันสุเทพ และอภิสิทธิ์ ตั้งแต่ก่อนได้ตั้งรัฐบาลและจนกระทั่งมาปราบเสื่อแดงจนตายไปร่วมร้อย ซึ่งน่าจะเป็นคนที่ “ขอแกมสั่ง” ให้บิ๊กตู่เป็น

านในเรื่องนี้ เพราะว่า พ่อกำนันาถเทพได้พลั้งปากไปแล้วเรื่องการ “ไม่เจรจา” กับรับบาลในเรื่องใดทั้งสิ้น
และเรื่องราวการเจรจา ก็คือนายกและผู้นำเหล่าทัพ เข้ามานั่งฟัง Presentation กางเกงลุงเชยของกำนันสุเทพอีกครั้ง ก็คือ ให้นายกยอมคืนอำนาจให้ประชาชน โดย “ท่านกำนันสุเทพ” ขออาสาขึ้นเป็นประธานสภาประชาชนด้วยตัวเอง โดยไม่ได้กล่าวถึงว่าใครเป็นนายก พอมาถึงตรงนี้ ท่านนายก พล.อ ประยุทธฯ และผู้นำเหล่าทัพอีกท่าน ถึงกับสตั้นไป 2.5 วิ และทุกคนก็ให้คำตอบว่า “มันเป็นไปไม่ได้” เพราะหากทำเช่นนั้นก็เท่ากับต้องฉีก รธน. กันทิ้งทั้งหมด และมันก็ไม่ต่างกับการทำรัฐประหารโดยที่ไม่ได้ใช้กำลังออกมาบังคบ อีกทั้งประชาชนส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้ใช้นกหวีดของท่านพ่อกำนัน จะลุดฮือชึ้นมาต่อต้านอย่างแน่นอน ซึ่งพ่อกำนันสุเทพถึงกับหน้าเปลี่ยนเป็นเคว้งคว้างสุดๆ ยิ่งกว่าล่องเรือลำพังแบบในหนัง The Life of Pi
ในเหตุการณ์นี้พ่อกำนันสุเทพ ดู “พินอบพิเทา” เรียกว่าเป็นคนละลุ๊ค กับผู้นำม๊อบนักปฏิวัติอันเกรียงไกร อย่างชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว เพราะทั้งแทบจะออดอ้อนแต่ก็ยังรักษาทรงว่าทำเพื่อชาติ ไม่ได้ทำเพื่ออย่างอื่น บลาๆๆๆๆ มีการพูดถึงเหตุการเพลี่ยงพล้ำ และการคุมมวลชนไม่ได้ของพ่อกำนันสุเทพและพวก ที่ใช้วิธี อหิงสากลับด้าน ยึดสถานที่ราขการ ซึ่งมีการต่อรองเรื่องคดีกันหลายเรื่องและหลาย Case รวมถึงการให้นักศึกษาออกมาก่อกวนที่หน้า รามฯ โดยพ่อกำนันสุเทพก็บอกแค่ว่า ตนไม่ได้อยากให้เกิดความรุนแรงอะไร แต่มันก็คุมไม่ได้จริงๆ เรื่องนี้ ทั้งนายกและผู้นำเหล่าทัพ ก็เห็นพ้องต้องกันว่าไม่น่าเกิดขึ้น ซึ่งทางฝ่ายเสื้อแดงก็ยอมถอยไม่ยอมแลกกับเรื่องนี้ ซึ่งทางทหารได้เข้าไปควบคุมให้อีกคำรบหนึ่งแล้ว เหตุการณ์จึงคลีคลาย
สรุปการพูดคุยในระยะสั้นๆ ผลที่ได้คือ “ไม่มีอะไรมากไปกว่าการรับฟัง Presentation” โดยขณะที่นายกจะเดินทางกลับ (แน่นอนว่า เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดก็ต้องได้รับเกียริต มาทีหลังกลับก่อน) ท่านกำนันสุเทพ ถึงกับเดินมาส่งที่รถชนิดที่ว่า ก้มลงไปกราบได้ลงไปกราบเลยทีเดียว อาจจะด้วยความ “เคว้งคว้าง” อย่างที่เกาะไม่ได้นั่นล่ะ
คล้อยหลังไม่นานหลังจากที่พ่อกำนันสุเทพ ผู้นำม๊อบมือใหม่ที่พกหัวใจปฏิวัติประชาชน รับออกมาแถลงการณ์ด่วนซ้ำอีกรอบ กับเรื่องที่ตัวเองไปปฏิบัติหน้าที่มา ซึ่งมันผิดวิสัยของคนระดับ Decision Maker ที่เอาความลับมาพูดเพื่อสร้างราคาให้ตัวเอง ว่า ได้คุยกับนายก และ ผู้นำเหล่าทัพทุกคน และตีกินว่า นายกยอมคืนอำนาจให้ประชาชน และตั้งสภาประชาชน ดูแลให้มีการเลือกตั้ง ด้วยการทิ้งติ่งเงื่อนไขภายในสองวัน และบอกว่านี่เป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายในการปฏิบัติการครั้งนี้ เมื่อฟังดูและพิจารณาดูแล้วก็จะเห็นว่า พ่อกำนันสุเทพก็แค่เล่นบท “นักการเมืองตัวแสบ” ที่แอบเอาเรื่องเจรจามาปูดกลางแจ้งด้วยวิธีแปลงสาระของเนื้อความเสียใหม่ผสมเหตุการณ์จริง โดยยกเรื่องจริงคือการไปพบนายกกับผู้นำเหล่าทัพ และเรื่องแปลงสาระคือ พูดว่าเป็นผบ.เหล่าทัพทุกเหล่า ทั้งที่จริง มีแค่ นายกฯ พล.เอกประยุทธ พล.อ ประวิตร และตัวเองเท่านั้น ผสมโรงกับวลีตีหัวนำว่า ผู้นำเหล่าทัพนั้นทำเพื่อชาติและเข้าข้างประชาชน แนวว่ทุกคนเห็นด้วยกับตน แต่ทว่า “แต่ไม่มีใครเห็นด้วยกับ Presentation ของท่านกำนันสุเทพสักคนเดียว”
มันก็เข้าอีหรอบเดิมและนิสัยเดิมของท่านสุเทพ เพราะเมื่อประเมินแล้ว ไม่มีใครเอาด้วยในเรื่องนี้ ก็สั่งม๊อบที่กำลังเย้วๆ อยู่ทั้งหน้า สตช. และหน้า บชน. กลับไปราชดำเนิน แบบชนิดที่ว่าเจ้าหน้าที่เองยังงงๆเลยว่า ทำไมมันประกาศว่าชนะรวดเร็วง่ายดายแบบนั้นทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย การแก้เกมด้วยการ “ตีกิน” กับการ “รีบชิงแถลงข่าวก่อน” เพื่อเป็นการผูกมัด ทั้ง นายก ผบ ทบ. และ ผบ เหล่าทัพ แบบชนิดที่ว่า หากไม่มีการบันทึกเทปการประชุมเลย ผู้ใหญ่ทั้งหลายรวมถึงนายกฯ ก็จะกลายเป็น “ขี้ปาก” ของบรรดาท่านกำนันฯและสมุมพลพรรคว่าเป็นคนสับปลับ
เกมการเมืองแนวถนัดของท่านกำนันสุเทพ ก็ยังคงเดิมคือ พูดก่อน ตีกินก่อน แล้วก็วิ่งหนีคำพุดตัวเองลอยตัวนิ่งๆไม่ต้องทำอะไร ปล่อยกระแสมันเล่นไปเอง เรื่องนี้ก็เกิดมาหลายครั้ง เขาเรียกว่า “วาทะกรรมสร้างราคา” ในทางการเมืองคือการตีกิน ก็ลองคิดเอาว่า จากที่ปาวๆๆ ว่า “ไม่เจรจา” จู่ๆ ก็เปิดwarp ให้ตัวเองไปคุยซะอย่างนั้น แต่พอกลับจากWarp ก็เอามาตีกินสร้างราคาต่ออย่างชนิดที่บิดเรื่องราวจากขาวเป็นดำ ..... ถึงได้จั่วหัวว่า นักการเมือง ...ก็เป็นได้แค่นักการเมือง .... เพราะแต่ละคนจะมีลีลาและเชิงมวยที่จับทางได้ไม่ยาก คงจำได้ว่าท่านกำนันเคยโอ่ว่าทักษิณบอกให้สตรีผู้สูงศักดิ์ เข้ามาเจรจากับตน มันจริงที่มีสตรีท่านนั้นเข้ามาเจรจาด้วย แต่ว่า ทักษิณไม่ได้รู้เรื่องด้วย
สรุปง่ายๆคือท่านกำนันสุเทพ พยายามหาทางลงจากการเป็นผู้นำม๊อบ ที่ยกระดับตัวเองเป็นนักปฏิวัติ แต่ลืมไปว่า วิธีการทางการเมือง แบบนักการเมืองอย่างที่ตัวเองเป็นมันใช้ไม่ได้เลยกับบริบทนี้.....
Oak Panthongtae Shinawatra (ตัวปลอม)
3ชั่วโมงสุเทพหายไปพบใคร..ในห้องมีใครอยู่บ้าง..เเล้วพูดอะไรกัน..มาดูกัน
นักการเมือง...ก็เป็นได้แค่นักการเมือง ....
หลังเหตุการณ์ตะลุมบอนแบบกู่ไม่กลับของม๊อบนกหวีด กำนันสุเทพต้อง “ปาดเหงื่อต่างน้ำ” ที่ยอมลงทุนหูอื้อตาลายเปาแรงปรี๊ดปร๊าด เรียกร้องพลังพิเศษให้ออกมาเพิ่มแรงส่งให้ก็ดูทีท่าว่าจะเงียบเป็นเป่าสากเสียอย่างนั้น และลงทุนเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามกลุ่มเป็น กปปส. เพื่อให้ดูสมกับ Agenda ใหม่แกะกล่องที่เหล่านักรัฐศาสตร์ต่างเก่าหัวแกรกๆ
แม้กระทั่งนักวิชาการที่ออกมาแสดงทีท่าสนับสนุนพ่อกำนันตั้งแต่แรกก็ยัง “สตั๊น ไป 20 วิ” ก่อนจะอ้อมๆแอ้มๆ เออ ออ ห่อหมก แบบต้องแอบแลบลิ้นมาหน่อยหนึ่งแล้วก็หาทางหลบฉากไม่พูดเรื่องนี้ เพราะสภาประชาชนที่ท่านกำนันสุเทพ ยกมาเป็นตัวขายกลายเป็นกางเกงลุงเชย ที่เอาเป้ามาว่าตรงกระเป๋า ขาสั้นข้างยาวข้าง ไม่มีใครกล้าเอาไปใส่นอกจากขึ้นไปแสดงละครเป็นคนบ้าบนเวทีจำอวดหน้าม่านเท่านั้น
1 ธันวาคม 2556 เลยเส้นแขวนคอตายมาแล้วหลายรอบ ก็ได้โอกาสออกแถลงการณ์ฉบับที่หนึ่ง ที่ทุกคนอึ้งกิมกี่.. เพราะไม่มีเรื่องใหม่ นอกจากเอากางเกงลุงเชยตัวเก่ามาแขวนโชว์ แล้วก็โอ่ให้คนใส่ตาม อีกทั้งบรรดาสื่อทั้งหลายก็โดนแหว๋ใส่ จนต้องออกมาแถลงต่อต้านกันวุ่นวายไปหมด แล้วบุญรักษาพาให้กำนันสุเทพมีโอกาสสานฝันให้เป็นจริง เมื่อท่าน ผบ.ทบ.ประยุทธ จันทร์โอชา จัดการประสานให้พ่อกำนันได้เข้าพบนายกยิ่งลักษณ์ ที่ดำรงตำแหน่ง รมต.กลาโหมอีกตำแหน่ง เข้ามาพูดคุยเจรจาหาทางออกให้บ้านเมืองกัน โดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพอีกท่านหนึ่งร่วมวงสนทนาด้วย ซึ่งหลังจากที่พ่อกำนันได้ออกแถลงข่าวเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 1 ธันวาคม 2556 แล้วก็แว๊บหายไปร่วมสองชั่วโมง ซึ่งพ่อกำนันได้ Warp ตัวเองเข้ามาอยู่ ร 1 พัน 1 รอ. ย่านวิภาวดี อันที่เป็นที่ตัวเองได้เคยใช้เป็นที่ตั้งรัฐบาลเทพประทานสำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่ง
ในห้องเจรจานั้นจะว่าไปแล้วเหมือนมีสามฝ่าย แต่ทว่ามันก็ไม่เชิงนักเพราะมีอดีตนายทหารใหญ่อย่างประวิตร วงศ์สุวรรณที่เคยเป็น Master mind ให้กับพ่อกำนันสุเทพ และอภิสิทธิ์ ตั้งแต่ก่อนได้ตั้งรัฐบาลและจนกระทั่งมาปราบเสื่อแดงจนตายไปร่วมร้อย ซึ่งน่าจะเป็นคนที่ “ขอแกมสั่ง” ให้บิ๊กตู่เป็น
และเรื่องราวการเจรจา ก็คือนายกและผู้นำเหล่าทัพ เข้ามานั่งฟัง Presentation กางเกงลุงเชยของกำนันสุเทพอีกครั้ง ก็คือ ให้นายกยอมคืนอำนาจให้ประชาชน โดย “ท่านกำนันสุเทพ” ขออาสาขึ้นเป็นประธานสภาประชาชนด้วยตัวเอง โดยไม่ได้กล่าวถึงว่าใครเป็นนายก พอมาถึงตรงนี้ ท่านนายก พล.อ ประยุทธฯ และผู้นำเหล่าทัพอีกท่าน ถึงกับสตั้นไป 2.5 วิ และทุกคนก็ให้คำตอบว่า “มันเป็นไปไม่ได้” เพราะหากทำเช่นนั้นก็เท่ากับต้องฉีก รธน. กันทิ้งทั้งหมด และมันก็ไม่ต่างกับการทำรัฐประหารโดยที่ไม่ได้ใช้กำลังออกมาบังคบ อีกทั้งประชาชนส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้ใช้นกหวีดของท่านพ่อกำนัน จะลุดฮือชึ้นมาต่อต้านอย่างแน่นอน ซึ่งพ่อกำนันสุเทพถึงกับหน้าเปลี่ยนเป็นเคว้งคว้างสุดๆ ยิ่งกว่าล่องเรือลำพังแบบในหนัง The Life of Pi
ในเหตุการณ์นี้พ่อกำนันสุเทพ ดู “พินอบพิเทา” เรียกว่าเป็นคนละลุ๊ค กับผู้นำม๊อบนักปฏิวัติอันเกรียงไกร อย่างชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว เพราะทั้งแทบจะออดอ้อนแต่ก็ยังรักษาทรงว่าทำเพื่อชาติ ไม่ได้ทำเพื่ออย่างอื่น บลาๆๆๆๆ มีการพูดถึงเหตุการเพลี่ยงพล้ำ และการคุมมวลชนไม่ได้ของพ่อกำนันสุเทพและพวก ที่ใช้วิธี อหิงสากลับด้าน ยึดสถานที่ราขการ ซึ่งมีการต่อรองเรื่องคดีกันหลายเรื่องและหลาย Case รวมถึงการให้นักศึกษาออกมาก่อกวนที่หน้า รามฯ โดยพ่อกำนันสุเทพก็บอกแค่ว่า ตนไม่ได้อยากให้เกิดความรุนแรงอะไร แต่มันก็คุมไม่ได้จริงๆ เรื่องนี้ ทั้งนายกและผู้นำเหล่าทัพ ก็เห็นพ้องต้องกันว่าไม่น่าเกิดขึ้น ซึ่งทางฝ่ายเสื้อแดงก็ยอมถอยไม่ยอมแลกกับเรื่องนี้ ซึ่งทางทหารได้เข้าไปควบคุมให้อีกคำรบหนึ่งแล้ว เหตุการณ์จึงคลีคลาย
สรุปการพูดคุยในระยะสั้นๆ ผลที่ได้คือ “ไม่มีอะไรมากไปกว่าการรับฟัง Presentation” โดยขณะที่นายกจะเดินทางกลับ (แน่นอนว่า เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดก็ต้องได้รับเกียริต มาทีหลังกลับก่อน) ท่านกำนันสุเทพ ถึงกับเดินมาส่งที่รถชนิดที่ว่า ก้มลงไปกราบได้ลงไปกราบเลยทีเดียว อาจจะด้วยความ “เคว้งคว้าง” อย่างที่เกาะไม่ได้นั่นล่ะ
คล้อยหลังไม่นานหลังจากที่พ่อกำนันสุเทพ ผู้นำม๊อบมือใหม่ที่พกหัวใจปฏิวัติประชาชน รับออกมาแถลงการณ์ด่วนซ้ำอีกรอบ กับเรื่องที่ตัวเองไปปฏิบัติหน้าที่มา ซึ่งมันผิดวิสัยของคนระดับ Decision Maker ที่เอาความลับมาพูดเพื่อสร้างราคาให้ตัวเอง ว่า ได้คุยกับนายก และ ผู้นำเหล่าทัพทุกคน และตีกินว่า นายกยอมคืนอำนาจให้ประชาชน และตั้งสภาประชาชน ดูแลให้มีการเลือกตั้ง ด้วยการทิ้งติ่งเงื่อนไขภายในสองวัน และบอกว่านี่เป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายในการปฏิบัติการครั้งนี้ เมื่อฟังดูและพิจารณาดูแล้วก็จะเห็นว่า พ่อกำนันสุเทพก็แค่เล่นบท “นักการเมืองตัวแสบ” ที่แอบเอาเรื่องเจรจามาปูดกลางแจ้งด้วยวิธีแปลงสาระของเนื้อความเสียใหม่ผสมเหตุการณ์จริง โดยยกเรื่องจริงคือการไปพบนายกกับผู้นำเหล่าทัพ และเรื่องแปลงสาระคือ พูดว่าเป็นผบ.เหล่าทัพทุกเหล่า ทั้งที่จริง มีแค่ นายกฯ พล.เอกประยุทธ พล.อ ประวิตร และตัวเองเท่านั้น ผสมโรงกับวลีตีหัวนำว่า ผู้นำเหล่าทัพนั้นทำเพื่อชาติและเข้าข้างประชาชน แนวว่ทุกคนเห็นด้วยกับตน แต่ทว่า “แต่ไม่มีใครเห็นด้วยกับ Presentation ของท่านกำนันสุเทพสักคนเดียว”
มันก็เข้าอีหรอบเดิมและนิสัยเดิมของท่านสุเทพ เพราะเมื่อประเมินแล้ว ไม่มีใครเอาด้วยในเรื่องนี้ ก็สั่งม๊อบที่กำลังเย้วๆ อยู่ทั้งหน้า สตช. และหน้า บชน. กลับไปราชดำเนิน แบบชนิดที่ว่าเจ้าหน้าที่เองยังงงๆเลยว่า ทำไมมันประกาศว่าชนะรวดเร็วง่ายดายแบบนั้นทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย การแก้เกมด้วยการ “ตีกิน” กับการ “รีบชิงแถลงข่าวก่อน” เพื่อเป็นการผูกมัด ทั้ง นายก ผบ ทบ. และ ผบ เหล่าทัพ แบบชนิดที่ว่า หากไม่มีการบันทึกเทปการประชุมเลย ผู้ใหญ่ทั้งหลายรวมถึงนายกฯ ก็จะกลายเป็น “ขี้ปาก” ของบรรดาท่านกำนันฯและสมุมพลพรรคว่าเป็นคนสับปลับ
เกมการเมืองแนวถนัดของท่านกำนันสุเทพ ก็ยังคงเดิมคือ พูดก่อน ตีกินก่อน แล้วก็วิ่งหนีคำพุดตัวเองลอยตัวนิ่งๆไม่ต้องทำอะไร ปล่อยกระแสมันเล่นไปเอง เรื่องนี้ก็เกิดมาหลายครั้ง เขาเรียกว่า “วาทะกรรมสร้างราคา” ในทางการเมืองคือการตีกิน ก็ลองคิดเอาว่า จากที่ปาวๆๆ ว่า “ไม่เจรจา” จู่ๆ ก็เปิดwarp ให้ตัวเองไปคุยซะอย่างนั้น แต่พอกลับจากWarp ก็เอามาตีกินสร้างราคาต่ออย่างชนิดที่บิดเรื่องราวจากขาวเป็นดำ ..... ถึงได้จั่วหัวว่า นักการเมือง ...ก็เป็นได้แค่นักการเมือง .... เพราะแต่ละคนจะมีลีลาและเชิงมวยที่จับทางได้ไม่ยาก คงจำได้ว่าท่านกำนันเคยโอ่ว่าทักษิณบอกให้สตรีผู้สูงศักดิ์ เข้ามาเจรจากับตน มันจริงที่มีสตรีท่านนั้นเข้ามาเจรจาด้วย แต่ว่า ทักษิณไม่ได้รู้เรื่องด้วย
สรุปง่ายๆคือท่านกำนันสุเทพ พยายามหาทางลงจากการเป็นผู้นำม๊อบ ที่ยกระดับตัวเองเป็นนักปฏิวัติ แต่ลืมไปว่า วิธีการทางการเมือง แบบนักการเมืองอย่างที่ตัวเองเป็นมันใช้ไม่ได้เลยกับบริบทนี้.....
Oak Panthongtae Shinawatra (ตัวปลอม)